โต้ตอบหนังสือ ตาลาติ๊ต่ำปง (ภาค ๒)

บทความ โต้ตอบหนังสือ ตาลาติ๊ต่ำปง ของ พิชัยยุทธ์ สยามพันธกิจ
พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยสำนักพิมพ์ สยามมิส พับลิชชิ่ง เฮ้าส์

ภาค ๒
          ตอนท้ายของบทนำ พิชัยยุทธิ์ผู้เขียนหนังสือ “ตาลิติ๊ต่ำปง” ได้ขมวดปมเพื่อปูทางเข้าสู่เนื้อหาของหนังสือว่า เมื่อมุสลิมในทุกระดับชั้นไม่สามารถใช้กำลังทหารหรือกองทัพได้ จึงใช้กลยุทธ์ในการแทรกซึมแทน ซึ่งผู้เขียนอ้างว่ามีขั้นตอนหรือวิธีการอยู่หลายสิบประการ แต่หนังสือเล่มนี้จะตัดให้กระชับเหลือ ๒๕ ประการ โดยผู้เขียนจะเสนอวิธีป้องกันและแก้ไขเอาไว้ตามความคิดของผู้เขียนเอง ทั้งนี้ “เพื่อให้รัฐบาลและประชาชนชาวไทยที่รักชาติ ศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์ จะได้ร่วมมือกันต่อต้านศัตรูอย่างกว้างขวางและจริงจังที่สุด” (หน้า ๑๗-๑๘)

:: ข้อสังเกต ::  นี่ขนาดผู้เขียนระบุว่าตัดให้กระชับแล้ว ยังคิดข้อหามายัดเยียดให้กับชาวมุสลิมได้ถึง ๒๕ ประการ! แสดงว่าถ้าว่ากันโดยละเอียดมุสลิมคงโดนข้อหาอีกหลายกระทงความ สุดแต่พี่แกจะคิดเอามาใส่ความ และประโยคช่วงท้ายของบทนำนี้ก็มุ่งหมายแบ่งแยกพลเมืองของชาติด้วยการเอาเรื่อง “ศาสนา” มาเป็นฐานความคิดสำคัญ โดยได้ข้อสรุปว่า  ถ้าเป็นคนต่างศาสนาที่มิใช่ชาวพุทธก็ถือว่าเป็นศัตรูที่ต้องได้รับการต่อต้านอย่างกว้างขวางและจริงจังที่สุด ถึงแม้ว่าคนต่างศาสนาเหล่านั้นจะเป็นคนไทยด้วยกันก็ตาม หากจะกล่าวว่า

          นี่คือการปลุกระดมและเสี้ยมให้คนไทยด้วยกันหวาดระแวงและมองคนที่ถือศาสนาต่างกับตนเป็นศัตรูก็คงไม่ผิด ลองคิดและตรองดูเอาก็แล้วกันว่าถ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ในสังคมไทยแพร่สะพัดออกไป อะไรจะเกิดขึ้น! “เห็นทีประเทศไทยคงต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นแน่แท้! และเมื่อสิ่งที่น่าวิตกนี้เกิดขึ้นเพราะการเสี้ยมของบ่างช่างยุอย่างผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คนไทยไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฯลฯ คงต้องประสบกับภาวะบ้านแตกกันโดยถ้วนทั่ว เพราะศัตรูของชาติที่แท้จริงมิใช่ผู้ใดเลย นอกจากคนที่มีความคิดอย่างผู้เขียนนั่นแล!

          ผู้เขียนบทความตอบโต้หนังสือเล่มนี้จึงขอเรียกร้องรัฐบาลและประชาชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนาที่รักในศาสนาของตนและเทอดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ร่วมมือกันต่อต้านความคิดเช่นนี้อย่างกว้างขวางและจริงจังเป็นที่สุด และต้องมีดวงตาที่เห็นธรรม ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นคนชั่วเป็นคนดี ถึงแม้ว่าคนชั่วนั้นจะกล่าวตู่ตนว่ารักชาติและปรารถนาดีแต่เจือยาพิษเอาไว้ในทุกอณูแห่งลมปากนั้น! และน้ำคำของคนคลั่งที่คราครั่งไปด้วยความชิงชังและอคติย่อมมิอาจปกปิดความคิดในกมลสันดานดิบของตนที่ส่งกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนได้ฉันใด น้ำครำที่เน่าเสียก็ย่อมมิอาจสะกดกลิ่นเน่าเหม็นของน้ำนั้นเอาไว้เพียงแต่ใต้ถุนบ้านได้ฉันนั้น! และคนที่เคยชินกับกลิ่นเหม็นของขี้หมูก็ย่อมไม่แปลกจมูกเมื่อสัมผัสกับกลิ่นที่เคยชินนั้น เฉกเช่น คนที่มีความคิดเส็งเคร็งจนชินชาก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่าความคิดนั้นมันโสโครกเพียงใด!  

          ในบทที่ ๑ หน้า ๑๙ เป็นต้นไป ผู้เขียนระบุว่า ส่วนหนึ่งจากกลยุทธิ์อันชั่วร้ายของมุสลิมก็คือ “การยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย” โดยยัดเยียดข้อหาว่า มุสลิมอยู่เบื้องหลังแผนการดังกล่าวอย่างแนบเนียนเพื่อไม่ให้ถูกหวาดระแวง (หน้า ๒๒ ย่อหน้าที่ ๒) และตั้งสมมุติฐานเอาไว้ ๒ ข้อ เพื่อสนับสนุนความคิดอันบรรเจิดของตน คือ

          ๑) ดูไบให้ที่พักพิงแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อใช้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเครื่องมือ ซึ่งต่อไปถ้าได้กลับมามีอำนาจในประเทศอีกครั้ง ดูไบและกลุ่มประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางก็จะได้อาศัย พ.ต.ท.ทักษิณในการเอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับการทำธุรกิจในรูปต่างๆ โดยเฉพาะการกว้านซื้อที่ดินในการทำนาข้าว (หน้า ๒๓-๒๔)

          ๒) เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการปลุกระดมและการปลูกฝังความคิดของผู้คนในพื้นที่ให้เกลียดชังคนไทยพุทธ เพื่อให้การปกครองของรัฐไทยเป็นไปได้ยากขึ้น ฯลฯ (หน้า ๒๔-๒๕)

:: ข้อแก้ต่าง :: ถ้าดูไบซึ่งเป็นประเทศมุสลิมมีแผนการเช่นนั้น แล้วประเทศกัมพูชา (เขมร) ซึ่งเป็นเมืองพุทธเล่าจะว่าอย่างไร? ดูไบอาจจะให้ที่พักพิง แต่ฮุนเซ็นตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาและพูดจาแทรกแซงกิจการภายในของไทย จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาทางการฑูตและการเมืองที่ยุ่งอิรุงตุงนังตามมาอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ถ้าถือตามสมมุติฐานของนายพิชัยยุทธ์ข้อนี้ก็ต้องหมายความว่าทุกประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องมีกลยุทธิ์ “ตาลาติ๊ต่ำปง” ในการยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยและหวังยึดครองประเทศไทยเช่นกัน และกัมพูชา (เขมร) ก็คือหนึ่งในประเทศเหล่านั้น

          และถ้าดูไบมีความคิดเช่นนั้นแล้วเหมารวมว่ามุสลิมในประเทศไทยก็ต้องมีความคิดเช่นนั้นเหมือนดูไบ จะว่าอย่างไร? กับกรณีของกัมพูชา อย่างนี้ไม่เหมารวมเอาคนไทยเชื้อสายเขมรแถวศีรษะเกษ สุรินทร์ ว่ามีความคิดเช่นเดียวกับกัมพูชาไปด้วยเหรอ? ดูไบเป็นเรื่องปลายเหตุ กัมพูชาก็เช่นกัน แต่สังคมไทยแตกแยกกันมาตั้งแต่ก่อนหน้าการรัฐประหาร ๑๑ ก.ย. มาก่อนแล้ว สีเหลืองของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น แล้วสีแดงก็เกิดตามมา มุสลิมไทยก็มีอยู่ในทุกสีไม่ว่าเหลือง-แดง ชาวพุทธก็มีอยู่ในทุกสีไม่ว่าเหลือง-แดง มุสลิมที่ชอบทักษิณก็มีมาก ที่ไม่ชอบก็เยอะ ชาวพุทธที่ชอบทักษิณก็มีพะเรอ ที่เกลียดก็มาก ตกลงมุสลิมอยู่เบื้องหลังสีเหลือง-สีแดงกระนั้นหรือ? และที่ว่าแนบเนียนน่ะ! เนียบเนียนอย่างไร

           ส่วนกรณีความรุนแรงของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น โปรดอย่าเหมารวม! คนมุสลิมในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่มีใครเห็นด้วย ทุกคนอยากให้เรื่องจบและสงบสุข เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จนถึงวันนี้ก็ยังแก้กันไม่จบ และจะไม่มีวันจบถ้าคิดบ้องตื้นอย่างผู้เขียน การปลุกระดม การปลูกฝังที่ว่ามานั้นมีแน่ เราไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ใช่ว่ามุสลิมทั้งหมดจะคิดหรือเห็นตามไปด้วยเสียหมด อย่าเอาสิ่งที่ขบวนการและแนวร่วมซึ่งมีอยู่เพียงส่วนน้อยมาตีขลุมเหมารวมว่าคนมุสลิมส่วนใหญ่ต้องมีความคิดอย่างนั้น

          และใช่ว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มขบวนการไปทั้งหมด ผู้เขียนอ้างข้อมูลข่าวสาร (หน้า ๒๔) โดยหลงลืมข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่เราได้รู้จากข่าวบางทีมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ถ้าผู้เขียนเป็นพุทธศาสนิกชนจริงก็ลองไปอ่านเกสปุตสูตรหรือที่เรียกกันว่า กาลามสูตรให้ถ่องแท้เถิดแล้วจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร? คนที่ปลุกระดมให้เกลียดชาวพุทธในพื้นที่นั้นมีแน่ ข้อนี้ไม่ปฏิเสธ! ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปฏิเสธด้วยว่า คนที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธอย่างผู้เขียนปลุกระดมและสร้างความเกลียดชังต่อมุสลิมก็มีอยู่!

          มุสลิมที่เป็นอุสต๊าซฺบางคนปลูกฝังเด็กให้มีความรู้สึกเกลียดชังคนต่างศาสนาในบางโรงเรียนนั่นก็มีอยู่ เฉกเช่นที่ชาวพุทธบางคนไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์บางรูปก็ปลุกระดมพุทธบริษัทให้เกลียดชังคนมุสลิมและคนต่างศาสนาในบางวัด บางธรรมสถานก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้รักสันติและปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของศาสนาไม่ว่าพุทธหรือมุสลิมจะปล่อยให้คนเพียงหยิบมือมาสร้างความแตกแยกให้กับสังคมส่วนรวมไม่ได้ แต่ละฝ่ายก็ต้องเอาหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่แท้จริงมาบอกกล่าว มาอธิบายให้ประจักษ์ว่าความคิดสุดโต่ง ตกขอบของคน ๒ กลุ่มนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบและไม่นำพาต่อหลักคำสอนของศาสนา นี่แหละคือทางออกของปัญหาซึ่งผู้เขียนหนังสือคิดไม่ออก!

          ในบทที่ ๒ หน้า ๒๙-๓๒ ผู้เขียนกล่าวว่า “การนำเด็กชาวไทยที่ยากจนไปศึกษาต่อยังมาเลเซียหรือตะวันออกกลาง” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์อุบาท โดยอ้างว่าเป้าหมายสำคัญก็คือ “เด็กยากจนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ปัจจุบันกระจายตัวไปเกือบจะทุกภูมิภาค ทั้งเด็กไทยพุทธและมุสลิม….หากเป็นเด็กมุสลิมก็จะนำไปปลูกฝังความเกลียดชังรัฐบาลไทยที่ต่างประเทศ (ตะวันออกกลางหรือมาเลเซีย) รวมทั้งการก่อการร้าย โดยอ้างว่าไปเรียนศาสนาเพื่อบังหน้า หากเป็นเด็กไทยพุทธก็จะนำไปปลูกฝังให้เปลี่ยนศาสนามาเป็นมุสลิม เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นกลับเข้ามาในเมืองไทย บางส่วนก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย หรือกลายเป็นเครือข่ายขององค์กรอิสลามโลกไปโดยปริยาย ซึ่งไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไทยอีกแล้ว

:: ข้อแก้ต่าง :: ก็ในเมื่อว่า ผู้เขียนรู้ถึงกลยุทธิ์ในการปลูกฝังของขบวนการและแนวร่วมในบทที่ ๑ ว่าเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนในโรงเรียนของพื้นที่แล้ว ทำไมจะต้องถ่อไปถึงต่างประเทศให้เมื่อยตุ้มอีกเล่า การจะปลูกฝังให้คนเกลียดชังสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่จำเป็นต้องไปต่างประเทศ ที่บ้าน ในครัว ร้านกาแฟ หรือในวัดก็ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าจริงดังคำสมอ้างนั้นหรือไม่? และเด็กที่ไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้หมายความว่าต้องยากจน เด็กที่ครอบครัวมีฐานะดีก็มีมิใช่น้อย การก่อการร้ายก็ไม่ต้องถ่อไปต่างประเทศ แค่เปิดเวบไซด์ในอินเตอร์เน็ตก็เหลือพอที่จะทำระเบิดได้แล้ว

          รัฐบาลของประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางก็ต่างเผชิญกับปัญหาการก่อการร้ายเหมือนกัน ไม่มีรัฐบาลใดที่จะพอใจและยอมให้คนต่างชาติมาซ่องสุมกันฝึกอาวุธในบ้านของเขา อย่านึกว่าเราคิดเป็นคนเดียว เอาเข้าจริง ประเทศไทยเราเองเสียอีกที่เป็นสวรรค์ของพวกขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นพยัฆทมิฬ มอสสาร์ท และเคจีบี ตลอดจนซี.ไอ.เอ. คนที่ไปร่ำเรียนต่างประเทศกลับถูกมองว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้าย แต่พวกสะพายเป้แต่งตัวเป็นพวกยิปปี้เดินกันเกลื่อนเมืองท่องเที่ยวในไทยทั้งๆ ที่เป็นผู้ก่อการร้ายในคราบนักท่องเที่ยวกลับถูกมองว่าเป็นพวกช่วยเศรษฐกิจของชาติ

          หากมองและคิดได้เพียงแค่นี้ก็แย่ยอดแย่ ไม่มีอะไรเกิน! เพราะถ้าคนๆ หนึ่งจะเป็นผู้ก่อการร้ายให้ไปเรียนอังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลีย มันก็มีสิทธิเป็นได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปตะวันออกกลางหรือมาเลเซียเพียงอย่างเดียวหรอก ดูอย่างผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ปะไร! ตะวันออกกลางก็ไม่ได้ไปเรียน มาเลเซียก็ไม่ได้ไปเรียนยังมีความคิดเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้ายไปได้สียถนัดหรือจะเถียงว่าความคิดของตนเป็นผู้ก่อการดีเล่า!  

          ในบทที่ ๓ หน้า ๓๔-๔๐ ว่าด้วยแผนการ “ให้ชาวมุสลิมที่ภาพพจน์ดีแทรกซึมเข้าไปมีบทบาทในสถาบันหลักของไทย” เช่น ให้เข้ารับราชการมากขึ้นโดยเฉพาะในกองทัพต่างๆ (หน้า ๓๖) ให้กลุ่มนักวิชาการ นักธุรกิจหรือองค์กรการกุศลของชาวมุสลิมที่มีชื่อเสียงในสังคมเข้ามาทำงานกับองค์กรของศาสนาพุทธมากขึ้น อีกทั้งบริจาคเงินในกิจกรรมต่างๆ ของสถาบันหลักด้วย (หน้า ๓๖) ในหน้า ๓๗ ผู้เขียนระบุว่า “ปัจจุบันมีแขกมุสลิมที่ขายโรตีหรือกลุ่มที่ปล่อยเงินกู้เถื่อนกระจายตัวอยู่ในเขตชุมชนและวัดต่างๆ ของศาสนาพุทธอยู่ทั่วประเทศ” ทั้งนี้เพื่อจะได้รู้ถึงการเคลื่อนไหวของวัดต่างๆ อย่างลึกซึ้ง….

          ข้อแก้ต่าง มุสลิมที่เป็นชายไทยอายุครบกำหนดก็ต้องเป็นทหารรับใช้ชาติ ถ้าจะป้องกันไม่ให้มุสลิมเป็นทหารในกองทัพต่างๆ ก็คงต้องแก้ไขกฏหมายกันขนานใหญ่ ไม่ต้องให้มุสลิมรับการเกณฑ์ทหารหรือห้ามมิให้นักศึกษามุสลิมศึกษาวิชาทหาร เพราะถ้าปล่อยให้มุสลิมรับราชการ มุสลิมก็อาจจะก่อการกบฏ หรือมีส่วนเข้ามาแฝงอำนาจทุกครั้งไป (หน้า ๓๘) ผู้เขียนน่าจะเสนอหนทางแก้ไขเช่นนี้เสียเลย ถ้าทำได้จะขอบคุณหลาย เรื่องหลบหนีการเกณฑ์ทหารอย่างที่รู้กันจะได้ไม่ต้องเกิดขึ้น ว่าแต่ว่าทำได้หรือเปล่าละ!   

          อีกอย่างดูเหมือนว่า ผู้เขียนจะสับสนกับคำว่า “แขก” กับคนมุสลิมไทยเห็นได้ชัดว่า ผู้เขียนแยกไม่ออกระหว่างแขกที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบกับคนมุสลิมทั่วไป เพราะมุสลิมจริงๆ เขาไม่ทำกันเพราะขัดหลักศาสนา พวกปล่อยเงินกู้นอกระบบมีทั้งแขกซิกข์ แขกฮินดู แล้วก็คนจีน การรับราชการก็ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมปรารถนาเพราะในท้ายที่สุดก็จะเหินห่างศาสนาได้ในรายที่มีความรู้ทางศาสนาน้อย คนมุสลิมประกอบอาชีพอิสระหรือเป็นลูกจ้างในโรงงานมากกว่าคนที่รับราชการเป็นไหนๆ บางทีคนมุสลิมเลือกที่จะขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างมากกว่าด้วยซ้ำไป และเพราะเหตุใดที่มุสลิมจะต้องไปสืบถึงความเคลื่อนไหวของวัดต่างๆ ด้วย ในเมื่อมุสลิมไม่เกี่ยวข้องกับวัดอยู่แล้ว! หรือว่ามุสลิมจะเข้าไปจองกฐินหรือเป็นมัคนายก ช่วยบอกทีเถอะ! 

          ในบทที่ ๔ ผู้เขียนระบุถึง “การต่อต้านหรือขัดขวางไม่ให้ชาวมุสลิมใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้เข้ามาศึกษาในระบบของรัฐบาลไทย” เนื้อหาในบทนี้คล้ายๆ กับเนื้อหาของบทที่ ๒ ซึ่งได้แก้ต่างไปบ้างแล้ว แต่มีข้อความปรากฏในหน้าที่ ๔๕ ว่า “เมื่อก่อนดินแดนในภาคใต้ล้วนนับถือศาสนาพุทธทั้งสิ้น แต่พอมีเจ้าเมืองบางคนไปเปลี่ยนศาสนาเข้าปัญหาจึงเกิดขึ้นเรื่อยมา เนื่องจากไปเอาวัฒนธรรมที่ป่าเถื่อนของชาวตะวันออกกลางมาใช้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับชาวเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง”

:: ข้อแก้ต่าง ::  ข้อที่ว่าเมื่อก่อนดินแดนในภาคใต้ล้วนนับถือศาสนาพุทธทั้งสิ้นนั้น ก็มีส่วนถูกอยู่ ถ้าจะเอาเรื่องเปลี่ยนศาสนามาว่ากันก็ต้องอย่าลืมว่า เดิมทีเดียวคนไทยไม่ว่าภาคใดล้วนนับถือผีมาก่อนทั้งสิ้น แล้วก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพราหมณ์ ต่อมากลับรับเอาศาสนาพุทธมายึดถือ ซึ่งถึงแม้ว่าจะถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังมีความเชื่อในการถือผีและผสมปนเปกับคติพราหมณ์อยู่ดี และเมื่อศาสนาอิสลามข้ามาถึง ผู้คนในภูมิภาคนี้ก็รับอิสลามเอาไว้เป็นสรณะ ในแหลมมลายูตอนล่าง หมู่เกาะมลายู ชวา สุมาตรา แม้กระทั่งในอินโดจีน คืออาณาจักรจามปาก็ล้วนเป็นมุสลิมหาใช่เฉพาะเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครรัฐเท่านั้นที่เป็นมุสลิม  

          หลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าศาสนาอิสลามมีหลักคำสอนที่เหมาะสมกับผู้คนในภูมิภาคนี้ก็คือ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่มีมุสลิมอยู่หนาแน่นมากที่สุดในโลกนอกเหนือจากเอเซียใต้ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าชาวตะวันออกกลางมีวัฒนธรรมอันป่าเถื่อน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเขลาของผู้เขียนเองที่ขาดความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะโลกอิสลามที่กว้างใหญ่ไพศาลและมีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่รุ่งเรืองตลอดช่วงยุคกลาง ความเขลาของผู้เขียนทำให้ผู้เขียนมืดบอดจนแยกแยะไม่ออกว่าความจริงคืออะไร?

          เพราะในขณะที่ตะวันตกยังอยู่ในช่วงยุคมืดหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันนั้น มุสลิมในตะวันออกกลางคือผู้ส่องดวงประทีปแห่งสรรพวิทยาและเป็นผู้สรรค์สร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่และยาวนานตลอดช่วงยุคกลาง หากไม่มีอารยธรรมอิสลามในตะวันออกกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรปก็คงไม่เกิดขึ้นตามมา และในขณะที่อารยธรรมของมุสลิมกำลังรุ่งโรจน์อยู่นั้น ชนเผ่าไท(ย) หรือไตยังไม่มีอารยธรรมหรือความเจริญอันใดเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าจะย้อนเวลากลับไปในอดีตว่าชนชาติไตรวมตัวกันสร้างอาณาจักรอ้ายลาวหรือน่านจ้าวในแผ่นดินจีนตอนใต้ว่าเป็นการมีอารยธรรมของคนเผ่าไต นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากที่ศาสนาอิสลามและอารยธรรมของมุสลิมเจริญถึงขีดสุดไปแล้วหลายร้อยปี! 

          ในบทที่ ๕ ตั้งแต่หน้า ๔๙-๕๗ ผู้เขียนหนังสือ “ตาลาติ๊ต่ำปง” อ้างว่าส่วนหนึ่งจากกลยุทธ์ในการทำลายล้างประเทศไทยของชาวมุสลิมคือ “เพิ่มประชากรชาวมุสลิมในทุกๆ วิถีทางเพื่ออำนาจต่อรอง”

:: ข้อแก้ต่าง ::  เรื่องเพิ่มประชากรมุสลิมนั้นไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นคำสอนของศาสนาอิสลาม แต่ที่ว่าในทุกๆ วิถีทางนั้นคงไม่ใช่ เพราะต้องเป็นการเพิ่มในกรอบของศาสนา จะใช้วิธีที่ผิดต่อหลักศาสนาไม่ได้ และการอนุญาตให้มีภรรยาได้ ๔ คนในคราวเดียวกันก็ไม่ได้มีส่วนทำให้อัตราประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิมสักเท่าไหร่? เพราะมุสลิมโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงมีภรรยาเพียง ๑ คน หรืออย่างมากก็ ๒ คน ส่วนที่มีภรรยามากกว่า 4 คนนั้นหาได้ยากมาก เพราะการมีภรรยาในคราเดียวกันถึง ๔ คนมิใช่เรื่องง่าย และมิใช่แค่อยากมีก็มีได้ ผู้เขียนยังระบุอีกด้วยว่า “ชาวมุสลิมในประเทศไทยได้ให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ในการนำผู้อพยพชาวต่างด้าวที่นับถือศาสนาอิสลามจากประเทศเพื่อนบ้านและจากทวีปอื่นๆ ให้เข้ามาอยู่ทั่วประเทศไทย” (หน้า ๕๑)  

          ก็ต้องถามว่าชาวต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นใคร? ตอบได้เลยว่า เป็นชาวพม่า , เขมร และลาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ จะมีมุสลิมปะปนมาบ้างก็เล็กน้อยมาก ฉะนั้นคำพูดที่ว่า “ให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ” ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้เขียนตั้งสมมุติฐานเอาเอง ไม่มีข้อมูลที่เป็นสถิติหรือข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่รับผิดชอบมาอ้างอิง หรือสนับสนุนทฤษฎีของผู้เขียนแต่อย่างใด และการอ้างว่าองค์กรมุสลิมคอยช่วยเหลือให้ชนต่างด้าวที่เป็นมุสลิมให้ได้รับสัญชาติไทยในหลากหลายรูปแบบ (หน้า ๕๑) ก็ไม่มีการอ้างอิงว่าเป็นองค์กรมุสลิมใด และที่ว่าทำได้ในหลากหลายรูปแบบนั้น ก็ไม่มีตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมแม้เพียงตัวอย่างเดียว และถ้าองค์กรมุสลิมมีศักยภาพมากขนาดนั้น ป่านนี้โรฮิงญาก็แปลงสัญชาติเป็นคนไทยไปหมดแล้ว!

          ในบทที่ ๖ ผู้เขียนระบุว่า มุสลิมมีเป้าหมายตามกลยุทธ์ที่วางแผนเอาไว้ในการครอบงำระบบเศรษฐกิจของสังคมไทย โดยการกว้านซื้อที่ดิน , ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ต , ธุรกิจในตลาดหุ้น และกว้านซื้อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผลิตอาหาร (ดูหน้า ๖๑-๖๒)

:: ข้อแก้ต่าง ::  ถ้ามุสลิมทำได้ตามแผนหรือกลยุทธ์ที่ว่านี้ได้จริงก็ถือว่าสุดยอดแล้ว เพราะถ้าใครหรือชนกลุ่มใดกุมเศรษฐกิจของชาติเอาไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จก็แสดงว่าสัมฤทธิ์ผลสูงสุดในการทำธุรกิจ แต่เรื่องมันกลับกลายเป็นว่ากลุ่มคนที่ครอบงำเศรษฐกิขของสังคมไทยจริงๆ คือคนไทยเชื้อสายจีน เช่น เจ้าสัว C.P. และคนไทยเชื้อสายอินเดีย (แขกซิกข์) เช่นคนกลุ่มเดียวกับนายราเกซ ศักดิ์เสนา เป็นต้น มุสลิมเองเสียอีกที่ขายที่ดินของปู่ยาตายาย พอใช้เงินหมดก็ไปอยู่ที่วากัฟหรือไม่ก็เป็นลูกจ้างในโรงงานที่คนจีนเป็นเจ้าของ 

          ผู้เขียนระบุในบทที่ ๗ ว่าส่วนหนึ่งจากแผนครอบงำประเทศไทยก็คือ “สนับสนุนให้ชาวมุสลิมให้เข้ามาอยู่ในเขตกรุงเทพฯมากๆ ขึ้น” แล้วก็อ้างว่าหลักฐานที่บ่งชี้ถึงแผนการข้อนี้คือการมีแก๊งขอทานมาใช้เมืองหลวงเป็นแหล่งหากิน (หน้า ๗๒)

          ข้อแก้ต่าง หากจะว่าไปแล้ว กลยุทธิ์ในบทที่ ๗ นี้น่าจะมีมาตั้งแต่ตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาโน่นแล้ว เพราะผู้ที่นำชาวมุสลิมเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามรายทางของคลองแสนแสบก็คือกองทัพไทยที่ลงไปปราบปรามหัวเมืองมลายูและกวาดต้อนชาวมุสลิมมลายูขึ้นมาไว้ ณ กรุงเทพมหานครหลายระลอกด้วยกัน แสดงว่าแผนการตาลาติ๊ต่ำปงมีมาตั้งแต่สมัยโน้น (๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว) ส่วนแก๊งขอทานที่ว่านั้นถ้าผู้อ่านได้รับรู้ข่าวสารการกวาดล้างขอทานในกรุงเทพฯล่าสุดก็จะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวเขมรมากที่สุด! ก็แสดงว่าผู้ที่ใช้แผนบทที่ ๗ นี้คือรัฐบาลฮุนเซ็น ไม่ใช่รัฐบาลตะวันออกกลางหรือองค์กรอิสลามที่ไหน? 

          บทที่ ๘ คือ “การให้กลุ่มนายทุนชาวมาเลเซียเข้ามาครอบงำระบบหวยเถื่อนของไทย”

:: ข้อแก้ต่าง ::  แสดงว่าผู้เขียนไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามเลยแม้แต่น้อยในเรื่องนี้ เพราะหวยเถื่อนหรือหวยถูกฏหมายจะอยู่บนดินหรือใต้ดินเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ถือเป็นการพนัน และกลุ่มนายทุนชาวมาเลเซียที่ถูกยัดเยียดข้อหาก็ไม่ใช่มุสลิมแต่เป็นคนจีนสัญชาติมาเลเซีย คนมุสลิมไม่เล่นหวย แต่คนมุสลิมชอบนกกรงหัวจุก ฉะนั้นต้องเขียนว่า ชาวมุสลิมมีแผนการครอบงำการเล่นนกกรงหัวจุกจึงจะถูก!

          บทที่ ๙ “สนับสนุนให้คนมุสลิมชั้นสูงแต่งงานกับคนชั้นสูงของไทย”
:: ข้อแก้ต่าง ::  เรื่องนี้ไม่มีการสนับสนุนแต่อย่างใด เพราะถ้าเป็นคนมุสลิมประเภทไฮโซ เรื่องศาสนาก็จะอ่อนและบางเหมือนเปลือกกระเทียม และเมื่อมุสลิมประเภทนี้ไปแต่งงานกับชนชั้นสูงของไทยก็จะถูกกลืนไปในที่สุด และคนพวกนี้ก็ไม่ให้ความสำคัญต่อศาสนาอยู่แล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสถาปนารัฐอิสลามอะไรเลย!

       บทที่ ๑๐ “การจัดตั้งสถาบันทางการเงินของอิสลาม”
:: ข้อแก้ต่าง ::   ถึงแม้ว่ามุสลิมจะมีสถาบันทางการเงินในระบบอิสลาม เช่น ธนาคารอิสลาม เป็นต้น ก็ใช่ว่ามุสลิมจะสามารถครอบครองระบบการเงินของไทยเอาไว้ได้ เพราะอีกหลาย ๑๐ ธนาคารและสถาบันการเงินล้วนแต่เป็นของบรรดาเจ้าเจ้าสัวทั้งหลายหรือไม่ก็เป็นของบรรดาฝรั่งต่างชาติ เหตุที่มุสลิมต้องผลักดันเรื่องสถาบันการเงินนี้ก็เพื่อหลีกหนีจากระบบดอกเบี้ยที่ขูดรีดคนจนและลูกหนี้ และเมื่อมีระบบสถาบันการเงินแบบอิสลามในรูปแบบธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็ใช่ว่ามุสลิมจะใช้ธนาคารแห่งนี้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ธนาคารนะครับ มิใช่โรงรับจำนำ!

          บทที่ ๑๑ ว่าด้วย “การสร้างสถานการณ์ว่าคนไทยพุทธรังแกข่มเหงชาวมุสลิมต่อชาวโลก” บทนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับบทก่อนๆ เพราะผู้เขียนเหมารวมชาวมุสลิมโดยทั่วไปโดยไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร ระหว่างชาวบ้านตาดำๆ กับกลุ่มขบวนการ!

          บทที่ ๑๒ ว่าด้วย “การจัดทำแผนที่สภาพทางยุทธศาสตร์หรือสถานที่สำคัญของประเทศไทย” โดยอ้างว่ากลุ่มองค์กรอิสลามใช้เงินจ้างนักศึกษาชาวมุสลิมที่อยู่ในประเทศไทยให้เป็นคนทำแผนที่หรือจุดยุทธศาตร์สำคัญๆ ของประเทศอย่างลับๆ (หน้า ๙๖) ข้อนี้ก็โบราณไปเสียหน่อย แค่เข้า “กูเกิ้ล” ก็หาข้อมูลของแผนที่ได้จากดาวเทียมโดยละเอียดแล้ว ไม่ต้องเสียสะตุ้งสตางค์จ้างด้วยซ้ำไป!

บทที่ ๑๓ ว่าด้วย “การส่งคนเข้าไปปลุกระดมในชมชนมุสลิมในจังหวัดต่างๆ” บทนี้ก็เข้าอีหรอบเดิม!

บทที่ ๑๔ ว่าด้วย “การกลืนสังคมไทยให้เหมือนกับการไหลของสายน้ำ” บทนี้ใช้สำนวนเพราะดี เข้าทำนองน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงอะไรทำนองนั้น!

บทที่ ๑๕ คือ “แผนการคัดเลือกเด็กมุสลิมที่มีศักยภาพสูงเพื่อสืบทอดแผนการลับตาลาติ๊ต่ำปง” เขียนไปเขียนมาชักเริ่มวกวนกลับไปเรื่องเดิมที่กล่าวมาแล้ว

บทที่ ๑๖ คือ “การทำลายธุรกิจของคนไทยพุทพใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้” เนื้อหาวกวนอีกครั้ง!

          บทที่ ๑๗ “ชักชวนจูงใจให้คนไทยไปเล่นในบ่อนคาสิโนที่มีชาวมาเลเซียหรือชาวมุสลิมเป็นเจ้าของ” บทนี้จั่วหัวก็รู้ว่ามั่วแล้ว เพราะเจ้าของบ่อนคาสิโนมิใช่มุสลิม และบ่อนยอดฮิตของผีพนันชาวไทยก็คือ ฝั่งเขมรกับเกาะสองของพม่าที่ระนองโน่น! 

         บทที่ ๑๘ “เรียกร้องให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองพิเศษ” บทนี้เป็นการพูดซ้ำในเรื่องที่กล่าวมาแล้วในบทนำ ซึ่งตอบโต้ไปแล้วในภาคที่ ๑ แต่ประเด็นใหม่ที่ผู้เขียนระบุเพิ่มเติมในหน้า ๑๒๗-๑๒๘ ว่า “นอกจากเราจะไม่ยอมเสียดินแดนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว…เราจะต้องนำดินแดนของไทยอีก ๔ รัฐกลับคืนมาทุกตารางนิ้วอีกด้วย…นี่เป็นพันธสัญญาและภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยรุ่นใหม่จะต้องประกาศให้พวกป่าเถื่อนได้รับรู้เอาไว้…”

:: ข้อแก้ต่าง ::  เอาเป็นว่าทุกตารางนิ้วที่เป็นแผ่นดินไทยทุกวันนี้รักษาให้อยูครบเสียดีกว่า เพราะถ้าจะเอา ๔ รัฐของมาเลเซียคืนก็คงไม่พ้นสงครามเป็นแน่แท้ ทั้งๆ ที่พื้นที่ด้านนี้ไม่เคยมีสงครามระหว่างกันเลยในยุคใหม่ แต่พื้นที่ซึ่งติดต่อกับพม่า , ลาว และกัมพูชามีสงครามในยุคใหม่เกิดขึ้นมาตลอด และถ้าจะเอา ๔ รัฐของมาเลเซียคืนก็น่าจะเอาลาวและกัมพูชาที่เป็นฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืนมาให้หมดทุกตารางนิ้วเสียด้วย เพราะไทยก็เสียดินแดนส่วนนี้ไปนับแต่ยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้ว สรุปก็คือข้อเสนอของผู้เขียนเป็นสิ่งที่สักแต่พูดแต่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าไทยทำอย่างที่เสนอมาคนที่จะกลายเป็นพวกป่าเถื่อนก็คือ ประเทศไทยเสียเอง! 

          บทที่ ๑๙ “การเรียกร้องให้รัฐบาลถอนกองทัพออกจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้”

:: ข้อแก้ต่าง ::  คนที่ทำเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เอาทหารออกนอกพื้นที่ ยุบ ป.ต.ท.๔๓ แล้วเอาตำรวจเข้าไปแทนที่ ยุบ ศอ.บ.ต. ความจริงเรื่องนี้จะยัดเยียดข้อหาว่ามุสลิมอยู่เบื้องหลังก็คงจะไม่ถูกและเรื่องนี้ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ แต่ในช่วงหลังมานี้ข้อเรียกร้องเช่นนี้จางลงไปมากแล้ว เพราะผู้คนในพื้นที่เริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร? ผู้คนให้ความร่วมมือมากขึ้น การประท้วง การเดินขบวนแทบจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว และยุทธการณ์ในการปราบปรามกลุ่มขบวนการก็ได้ผลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทหารที่ดีมีระเบียบวินัยและเข้าใจประชาชนก็มีมาก แต่ทหารที่ออกนอกแถวก็มีเป็นเรื่องธรรมดา  

          ข้อเรียกร้องให้ถอนทหารเป็นข้อเรียกร้องที่มีในช่วงต้นๆ ของการแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อเมื่อเริ่มมีความเข้าใจในระหว่างกัน ก็สามารถเข้าถึง และพัฒนาร่วมกันได้ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เวลาและการบ่มเพาะตลอดจนความสุกงอมทางความคิด เมื่อทหารไม่สร้างเงื่อนไขในเชิงลบ กลุ่มขบวนการก็ย่อมไร้ข้ออ้างในการปลุกระดมผู้คนที่เป็นชาวบ้าน สังเกตได้ว่า ในช่วงหลังมานี้จะเป็นการปะทะกันโดยตรงระหว่างทหารกับกองกำลัง R.K.K. และแนวร่วม นั่นแสดงว่าการปลุกระดมมวลชนและการสร้างแนวร่วมจากชาวบ้านของขบวนการทำไม่ได้ผลแล้ว การสร้างความรุนแรงและสถานการณ์ในช่วงหลังๆ มานี้จึงเป็นการกระทำโดยตรงของขบวนการโดยไม่มีชาวบ้านมาอยู่ตรงกลาง และในท้ายที่สุดทหารก็ต้องกลับเข้ากรมกองซึ่งก็มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นั่นเอง ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของทุกฝ่ายที่ต้องช่วยกัน ไม่ใช่มาใส่ไฟกันหรือยัดเยียดข้อหากันแบบเหมารวม! 

          บทที่ ๒๐ “การกดดันให้ชาวพุทธอพยพออกจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” บทนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับบทก่อนๆ เป็นการเหมารวมว่ามุสลิมในพื้นที่คิดและมีแผนการเช่นนั้นไปเสียทั้งหมด โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า คนมุสลิมไทยในพื้นที่กับชาวไทยพุทธที่อยู่กันอย่างปกติสุข และช่วยกันประคับประคองความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดำเนินต่อไปได้ยังมีอยู่มากมาย แต่ผู้เขียนก็ไม่ใส่ใจได้แต่มุ่งจะกล่าวหาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วก็ใช่แต่ว่าคนที่ถูกกดดันจะมีแต่ชาวไทยพุทธเท่านั้น มุสลิมก็ถูกกดดันเช่นกัน ครั้นจะอพยพออกนอกพื้นที่ก็จะกลายเป็นว่าใช้กลยุทธ์แทรกซึมตามที่ผู้เขียนกล่าวหาเอาไว้อีกในหน้า ๑๓๗ ของบทนี้  

          ผู้เขียนยังระบุอีกด้วยว่า “และสิ่งที่พวกเขาพยายามจะทำไปพร้อมกับการก่อการร้ายก็คือ การกดดันให้ชาวไทยพุทธอพยพออกไปเสียจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้ทั้งการฆ่ารายวัน การเผาวัด การเผาโรงเรียน การวางระเบิดย่านที่อยู่อาศัยของชาวไทยพุทธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจะทำให้ ๓ จังหวัดเหลือแต่ชาวมุสลิม….นอกจากนี้พวกเขายังได้หาทางที่จะนำชาวมุสลิมจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย อาทิเช่น มาเลเซีย กัมพูชา อินโดนีเซีย อาเจะห์ ฯลฯ ให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อก่อการร้ายและเพิ่มปริมาณของชาวมุสลิม” 

:: ข้อแก้ต่าง ::  ถ้าจะเอาสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ว่ามาดูกันจริงๆ ชาวมุสลิมในพื้นที่นั่นแหละคือผู้ที่บอบช้ำมากที่สุด และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เกิดในทุกฝ่ายไม่ใช่เฉพาะในฝ่ายของชาวไทยพุทธเท่านั้น และข้อกล่าวหาที่ว่ามีการหาทางนำชาวมุสลิมจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยเข้ามาในพื้นที่ก็ไม่สมเหตุสมผลเพราะเจ้าของบ้านยังอยู่กันไม่เป็นสุข แล้วคนอื่นจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่ทำไม เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยง เสี่ยงไปหมดไม่ว่าจะเป็นไทยมุสลิมหรือไทยพุทธ คนในพื้นที่ก็อยู่กันลำบาก มีชีวิตอยู่บนเส้นด้าย จะตายเช้าตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ แล้วจะไปรับเอาคนอื่นมาอยู่ด้วยกันอย่างไร? เขาอยู่บ้านเขาไม่ดีกว่าหรือ? 

          บทที่ ๒๑ ว่าด้วย “การนำสารเสพติดเข้ามาทำลายสังคมไทย” เอาเข้าไป! ยัดเยียดเข้า เอากับแกสิ!

          บทที่ ๒๒ ว่าด้วย “ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางส่งออกอาหารฮาราล (เรียกก็ยังไม่ถูกเลย) เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชาวมุสลิมในประเทศไทยและความมั่งคั่งด้านอาหารแก่ชาวมุสลิมโลก” ดูเอาเถิด! อาหารหะล้าลพี่ก็ไม่เว้น! 

          บทที่ ๒๓ ว่าด้วย “การเปลี่ยนชื่อกิจการต่างๆ ของชาวมุสลิมให้เป็นภาษาสากลเพื่อลดความหวาดระแวง” ข้อนี้เห็นทีจะไม่จริงดังว่า เพราะมุสลิมนิยมใช้ชื่อกิจการที่บ่งชัดว่าเป็นมุสลิม สังเกตง่ายๆ แค่ร้านอาหารทั่วๆ ไปก็ยังใช้คำว่า “อิสลาม” ตามหลัง เช่นไก่อบอิสลาม ไก่หมุนอิสลาม, อิบรอฮีมหะล้าลฟู๊ด , ฟารีดาคาร์เปท , มุฮำหมัดรสเด็ด ฯลฯ ชื่อบ่งออกโทนโท่ขนาดนั้น ยังนึกไม่ออกอีก!  

          บทที่ ๒๔ คือแผน “ใช้กลยุทธ์ทางการเงินโจมตีระบบเศรษฐกิจและการเงินของไทย” กลายเป็นงั้นไป! และเจ้าจอร์ช โซรอส เอาไปไว้เสียที่ไหน? ละคนนี้

          บทสุดท้าย บทที่ ๒๕นายพิชัยยุทธ์ ก็ยัดเยียดอีก ๑ ข้อหาคือ “แผนการบริจาคเงินให้ชาวมุสลิมเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหลักทุกพรรค” (หน้า ๑๕๘ จนจบ) ข้อนี้คงต้องฟ้อง กกต. สะแล้วกระมัง! เหนื่อยใจกับผู้เขียนจริงๆ ดูเหมือนว่า มุสลิมจะไม่มีดีอะไรเลยในความคิดของบุคคลผู้นี้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกจนคาดไม่ถึง เอาเป็นว่าผู้อ่านที่เป็นมุสลิมและพี่น้องชาวพุทธที่มีใจเป็นกลางลองใช้วิจารณญาณไตร่ตรองดูอย่างมีสติเถิดแล้วจะเกิดปัญญาว่าข้อเท็จจริงคืออะไร? ถ้าชาติไทยมีคนประเภทนี้อยู่มากแล้วอะไรจะเกิดขึ้น?  

          การยอมรับซึ่งกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่นับถือศาสนาอะไร อยู่ภาคไหน? เป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ชาติไทยยืนยงอยู่มาได้เพราะคนไทยรักกัน มีทัศนคติที่ดีต่อกัน อย่าปล่อยให้บ่างช่างยุมาเสี้ยมให้แตกแยกกัน เพราะถ้าคนไทยแตกแยกกัน ศาสนาใดๆ ก็ย่อมอยู่ลำบาก แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคน มิใช่กรรมสิทธิ์ของคนหมู่หนึ่งหมู่ใดหรือศาสนาใดเป็นการเฉพาะ บรรพบุรุษไทยมิใช่ชาวพุทธเพียงผู้เดียว หากแต่ยังหมายรวมถึงศาสนิกชนอื่นๆ ด้วย ลูกหลานคนไทยที่เป็นพุทธในทุกวันสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่เป็นมุสลิมก็มีออกดาษดื่น ในขณะที่มุสลิมไทยก็มีเป็นจำนวนมิใช่น้อยที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวพุทธ แล้วจะแตกสามัคคีกันไปเพื่ออะไร? เอวังด้วยประการฉะนี้ !

 

ศานติจงมีแด่ผู้ปฏิบัติตามทางนำ

๒๑ มกราคม ๒๕๕๓
สวนหลวง กรุงเทพฯ