เหตุการณ์สำคัญในเดือนร่อญับ
ค่ำวันที่ 27 เดือนร่อญับ ปีที่ 10 นับจากการแต่งตั้งท่านศาสดา (ซ.ล.) (ตามสายรายงานที่เป็นที่รู้กัน ( มัชฮู๊ร)
เกิดเหตุการณ์การเสด็จอิสรออฺ ( หมายถึง การเดินทางในยามค่ำคืน) ของท่านศาสดา (ซ.ล.) จากนครมักกะฮฺ สู่ นครบัยติลมักดิส ( อัลกุดส์ ) เยรูซาเล็มแผ่นดินปาเลสไตน์ และเสด็จขึ้นสู่ฟากฟ้า ( เมียะอฺรอจ) เพื่อรับบัญญัติการละหมาด เหตุการณ์อิสรออฺและเมียะอฺรอจของท่านศาสดา (ซ.ล.) เกิดขึ้นภายหลังการเรียกร้องของท่านศาสดา (ซ.ล.) ต่อชาวเมืองตออิ๊ฟ (เมืองสำคัญในแคว้นอัลฮิญาซฺ) ให้เข้ารับอิสลาม
แต่ปรากฏว่าไม่มีการตอบรับอีกทั้งชาวเมืองตออิ๊ฟซึ่งมีความเกี่ยวพันทางเครือญาติกับท่านศาสดา (ซ.ล.) ยังได้กระทำทารุณ ขว้างปา ขับไล่และสบถด่าทอท่านศาสดา (ซ.ล.) อีกด้วย พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงทรงปลอบประโลมท่านศาสดา (ซ.ล.) ด้วยเหตุการณ์อิสรออฺและเมียะอฺรอจนี้เอง
ในหนังสืออัลบีดายะห์-วันนิฮายะห์ของท่านอิบนุ กะซีร (ร.ฮ.) กล่าวว่า : ท่านอิบนุ อ่าซากิร ได้กล่าวรายงานต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการอิสรออฺไว้ในตอนต้นๆ ของการแต่งตั้งท่านศาสดา (ซ.ล.) เป็นศาสนทูตประกาศศาสนา ส่วนท่านอิบนุ อิสหากได้กล่าวรายงานต่าง ๆ ดังกล่าวในช่วงหลังการแต่งตั้งท่านศาสดา (ซ.ล.) ประมาณ 10 ปี ให้หลัง
และท่านอัล-บัยหะกีย์ได้รายงานจากสายรายงานของท่านมูซา อิบนุ อุกบะห์ (ร.ฮ.) จากท่านซุฮรีย์ (ร.ฮ.) ว่าท่านซุฮฺรีย์กล่าวว่า : ท่านศาสดา (ซ.ล.) ถูกนำเสด็จอิสรออฺก่อนการหลบออกจากนครมักกะห์สู่นครม่าดีนะห์ (ฮิจเราะห์) -อพยพ- เป็นเวลา 1 ปี ท่านอัลบัยหะกีย์ กล่าวว่า : ท่านอิบนุ ละฮีอะห์ (ร.ฮ.) ก็ได้กล่าวถึงเช่นกันจากท่านอบี อัล-อัสวัด (ร.ฮ.) จากท่านอุรวะห์ (ร.ฮ.)
ส่วนท่านอัล-ฮากิมได้รายงานจากท่านอัล-อะซอม จากท่านอะฮฺหมัด อิบนิ อับดิลญับบ๊าร จากท่านยูนุส อิบนิ บ่ากีร จากท่านอัซบาฎ อิบนิ นัซรฺ จากท่านอิสมาแอล อัสซุดดีย์ ท่านกล่าวว่า : ละหมาด 5 เวลานั้นได้ถูกบัญญัติแก่ท่านศาสนทูต (ซ.ล.) ณ บัยติลมักดิส คืนที่ท่านถูกนำเสด็จอิสรออฺก่อนการฮิจเราะห์ของท่าน 16 เดือน
ฉนั้นตามคำกล่าวของท่านซุดดีย์นั้นก็ปรากฏว่าการอิสรออฺนั้นอยู่ในเดือนซิลเกาะอฺดะห์ และตามคำกล่าวของท่านอัซซุฮรีย์และอุรวะห์ การอิสรออฺอยู่ในเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ลและท่านอบูบักร อิบนุ อบีชัยบะห์ได้กล่าวว่า ท่านอุสมานได้เล่าให้เราทราบจากท่านสะอีด อิบนิ มีนา จากท่าน ญาบิรและอิบนิอับบาสว่า
ทั้งสองท่านกล่าวว่า : ท่านศาสนทูต (ซ.ล.) ได้ถือกำเนิดในปีช้าง วันที่ 12 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล และในวันนี้ท่านถูกแต่งตั้งให้ประกาศศาสนา และในวันที่ 12 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ลท่านได้เมียะอ์รอจขึ้นสู่ฟากฟ้า และท่านอพยพในวันนี้และในวันนี้ท่านเสียชีวิต” ในสายรายงานนี้มีการขาดตอนของสายรายงาน และท่านฮาฟิซ อับดุลฆอนีย์ อิบนุ สุรุร อัลมักดิซีย์ ระบุรายงานนี้ในตำราประวัติของท่าน
และท่านได้รายงานเล่าฮะดีษบทหนึ่งที่สายรายงานไม่ซอเฮียะห์ (ไม่ถูกต้อง) เราได้กล่าวหะดีษบทนี้ไว้ใน “ความประเสิรฐทั้งหลายของเดือนร่อญับ” ว่าแท้จริงการอิสรออฺนี้เกิดขึ้นในคืนที่ 27 จากเดือนร่อญับ และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรู้ยิ่ง และผู้คนบางคนกล่าวอ้างว่า การอิสรออฺนั้นเกิดในคืนวันศุกร์แรกของเดือนร่อญับ คือ ค่ำคืนอัรรอฆออิบซึ่งมีการอุตริกรรมการละหมาดที่เป็นที่รู้กัน (ละหมาดอัรรอฆออิบ) ในค่ำคืนนี้คือค่ำวันศุกร์แรกของเดือนร่อญับซึ่งไม่ปรากฏว่ามีต้นตอที่มาในเรื่องดังกล่าว (เรื่องการละหมาดอัรร่อฆออิบ) และพระองค์อัลลอฮฺทรงรู้ยิ่ง จบคำพูดของท่านอิบนุ กะซีรในหนังสืออัลบิดายะห์ หน้า 107 เล่มที่ 2
เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ส่งท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญะห์ชิน อิบนิ ริอ๊าบ อัลอะสะดีย์ และชาวมุฮาญิรีนจำนวน 8 ท่าน ออกสอดแนมทางการทหารและท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงเขียนสาส์นให้กับท่านอับดุลลอฮฺ และมีคำสั่งห้ามเปิดผนึกสาส์นจนกว่าจะเดินทางได้ 2 วันเสียก่อน จึงค่อยเปิดผนึกสาส์น และจะไม่มีการบังคับผู้ใดจากเหล่าอัครสาวกที่ร่วมเดินทาง (ในการดำเนินภารกิจดังกล่าว)
ท่านอับดุลลอฮฺ (รฎ.) ได้ดำเนินการและเมื่อท่านได้เปิดผนึกสาส์นดังกล่าวก็พบว่าในสาส์นมีใจความดังนี้” เมื่อท่านได้ดูสาส์นนี้ของข้าพเจ้าแล้ว จงดำเนินต่อไปจวบจนลงพัก ณ ตำบลนัคละห์ (อยู่ระหว่างนครมักกะห์และเมืองตออิ๊ฟ) และจงเฝ้าสังเกตการณ์เหล่ากุเรช ณ ตำบลนั้นและท่านจะต้องแจ้งให้เรารู้ถึงข่าวคราว (การเคลื่อนไหว) ของพวกเหล่านั้นให้ทราบ”
ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญะห์ชินก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านศาสดา (ซ.ล.) และได้มุ่งหน้าพร้อมกับเหล่าพรรคพวกของท่านทั้ง 8 ท่านจนกระทั่งลงพัก ณ ตำบลนัคละห์ ซึ่งต่อมากองคาราวานอูฐ (บรรทุกสินค้า) ของเหล่ากุเรชก็ได้ผ่านมา การณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือนร่อญับและเหล่ามุสลิมก็ได้ทำการหารือกันถึงความเหมาะควรทางหลักการในการทำสงครามในช่วงเดือนฮ่ารอม (ต้องห้าม) และเห็นเป็นมติในการทำสงคราม (มุสลิมเหล่านี้หมายถึง เหล่าสาวกที่ถูกส่งไปในการสอดแนมพร้อมกับท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญะห์ชิน)
ครั้นต่อมาสาวกท่านหนึ่งจากกองสอดแนมได้ยิงธนูเข้าใส่ อัมรฺ อิบนุ อัลฮัฎร่อมีย์ (ผู้เป็นนายกองคาราวาน) จนเป็นเหตุถึงแก่ความตายและยังได้รุมจับตัวอุสมาน อิบนุ อับดิลลาฮฺ อิบนิล มุฆีเราะห์ และอัลฮ่ากัม อิบนุ กัยซาน บ่าวของตระกูลอัลมุฆีเราะห์ ( ซึ่งทั้งสองร่วมกองคาราวานมาด้วย) และมุ่งรุดหน้าพร้อมด้วยกองคาราวานและเชลยศึกทั้ง 2 คนนั้น นอกเสียจากว่า ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ปฏิเสธไม่เห็นชอบด้วยถึงการกระทำของเหล่าสาวกในการปฏิบัตินอกเหนือภารกิจ ที่ทรงมอบหมาย (คือเพียงแค่สอดแนมและหาข่าวการเคลื่อนไหวของกองคารวานเท่านั้น) ภายหลังได้มีโองการอัลกุรอ่านถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 9
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ปลุกระดมชาวเมืองมะดีนะห์และเขตปริมณฑลรอบ ๆ จากชาวอาหรับพื้นเมืองให้ทำการญิฮาด (ต่อสู้เพื่อพลีชีพในทางศาสนา) และท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงแจ้งให้ชาวเมืองมะดีนะห์ทราบถึงการสงครามกับเหล่าทหารโรมัน และท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (รฎ.) ได้ออกค่าใช้จ่ายในการแต่งทัพออกศึก ซึ่งเรียกว่า กองทัพอัลอุสเราะห์ด้วยทรัพย์สินจำนวนมาก
และท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ออกร่วมทัพกับเหล่าทหารหาญจำนวนประมาณ 30,000 นายและแต่งตั้งให้ท่านมุฮัมมัด อิบนุ มัสละมะห์เป็นผู้ดูแลเมืองมะดีนะห์ ท่านศาสดา (ซ.ล.) พร้อมเหล่าทหารหาญได้เดินทัพจวบจนกระทั่งถึงตำบลตะบู๊ก ณ แผ่นดินชาม (ซีเรีย) แต่ไม่มีการรบพุ่งระหว่างสองฝ่ายแต่อย่างใดและในระหว่างเคลื่อนทัพกลับท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงกระชับมิตรกับยุฮันนะห์ อิบนุ รุอฺบะห์ ผู้ครองเมืองอัยละห์ และทรงส่งท่านคอลิด อิบนุล วะลิด ไปยังอะกีดุรเดามะห์และนำตัวมาในที่สุด
ในวันที่ 4 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 12
ท่านค่อลีด อิบนุ อัลวะลีด โจมตีทัพเปอร์เซียในเมืองอัลอันบาร (อิรัก) จึงเป็นผลให้แม่ทัพเปอร์เซียนามว่า “ชีราซาด” จำต้องยอมสงบศึก แต่มีเงื่อนไขว่าต้องอนุญาตให้ตนพร้อมผู้สนิทสามารถเดินทางสู่เมืองอัลมะดาอิน (เมืองหลวงของเปอร์เซียในอิรัก) ได้โดยไม่นำพาทรัพย์สินใด ๆ ติดตัวไปด้วย ท่านคอลิดก็ยอมรับข้อเสนอนั้น
วันที่ 11 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 12
กองทหารของมุสลิมภายใต้การบัญชาการของท่านค่อลีด อิบนุ อัลวะลีด เข้าทำศึกกับเหล่ากองทหารของเปอร์เซียภายใต้การบัญชาการของมิฮฺรอน อิบนุ บะห์รอม ญุบีนและอักเกาะห์ อิบนุ อบีอักเกาะห์ พร้อมด้วยผู้คนจำนวนมากจากชาวอาหรับตระกูลอันน่ามิร (ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเปอร์เซีย) กองทัพของเปอร์เซียกับเหล่าพันธมิตร ได้ประสบกับความปราชัยอย่างย่อยยับและล่าถอยทัพในที่สุด สมรภูมิครั้งนี้ถูกเรียกว่า สมรภูมิอัยนฺอัตตัมรฺ ซึ่งเป็นนามชื่อของป้อมปราการที่กองทหารเปอร์เซียล่าถอยจากป้อมนั้น
วันที่ 15 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 14
ท่านค่อลีด อิบนุ อัลวะลีด เข้าโจมตีนครดามัสกัส จากทางประตูทิศเมืองตะวันออก หลังจากการปิดล้อมอันหนักหน่วงของกองทหารมุสลิม และโรมันก็ไม่เหลือกำลังทางทหารในการเผชิญหน้ากับท่านคอลิดอีกต่อไป เหล่าทหารโรมันประจำป้อมรักษาการณ์ต่าง ๆ ที่ปักหลักสู้ตามประตูเมืองดามัสกัสก็ยอมแพ้และเปิดประตูเมืองด้านต่าง ๆ เพื่อให้กองทหารมุสลิมยาตราเข้าสู่ตัวเมืองชั้นใน โดยเรียกร้องให้มีการสงบศึก ท่านอบู อุบัยดิมะห์ อิบนุ อัลญัรรออฺ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ตอบรับเหล่าทหารโรมันที่ยอมจำนนในการทำสัญญาสงบศึกภายหลังขออนุมัติเรื่องจากท่านอมีรุ้ล มุอฺมีนีน อุมัร อิบนุ อัลคอตต๊อบ โดยที่ท่านอุมัร (รฎ.) ได้มอบความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สินและโบสถ์ทางศาสนาคริสต์แก่พวกเขา
วันที่ 24 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 12
กองทหารมุสลิมภายใต้การนำของท่านคอลิด อิบนุ อัลวะลีดสามารถพิชิตเดามะตุ้ล-ญันดัล
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 60
อมีรุ้ล มุอฺมีนีน มุอาวียะห์ อิบนุ อบีซุฟยาน (รฎ.) ได้เสียชีวิต ท่านเคยเป็นเสมียนบันทึกวะฮีย์ของท่านศาสดา (ซ.ล.) ถือกำเนิด ณ นครมักกะห์ ก่อนการแต่งตั้งท่านศาสดา (ซ.ล.) ประกาศศาสนา 5 ปี และเข้ารับอิสลามในวันพิชิตนครมักกะห์ และท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงให้ท่านมุอาวียะห์เป็นเสมียนบันทึกวะฮีย์ (โองการแห่งอัลกุรอ่าน) อายุของท่านขณะนั้น 26 ปีโดยประมาณ และท่านมุอาวียะห์ได้รับการสัตยาบันในการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์ในเดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ปีที่ 41 แห่งฮิจเราะห์ศักราช และท่านยะซีด อิบนุ มุอาวียะห์ ผู้เป็นรัชทายาทก็ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์สืบมาภายหลัง
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 82
ท่านอัลมุฆีเราะห์ อิบนุ อัลมุฮัลลับ อิบนิ อบีซุฟเราะห์ ได้เสียชีวิต ท่านเคยเป็นข้าหลวงว่าราชการเมือง”มัรวะห์” ซึ่งเป็นหนึ่งจากหัวเมืองของแคว้นคุรอซาน อันเป็นเมืองที่ท่านอัลมุฮัลลับ อิบนุ อบีซุฟเราะห์ เคยว่าราชการอยู่ การเสียชีวิตของท่านมุฆีเราะห์นั้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากท่านอัลมุฮัลลับ ผู้เป็นบิดาเพราะเป็นการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 101
อมีรุ้ล มุอฺมีนีน อุมัร อิบนุ อัลดิลอาซีซ (รฎ.) ได้สิ้นพระชนม์ และท่านยะซีด อิบนุ อับดิลมะลิก ดำรงตำแหน่งการปกครองสืบต่อมาในภายหลัง
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 218
ค่อลีฟะห์ อัลมะอฺมูน อิบนุ ฮารูน อัรร่อชีด แห่งราชวงศ์อัลอับบาซียะห์ได้สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้รับการสัตยาบันในการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์อย่างสมบูรณ์เพียงผู้เดียวภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระอนุชา อัลอามีน ในวันที่ 25 เดือนมุฮัรรอม ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 198 และพระอนุชานามว่า อบูอิสหาก มุฮัมมัด อัลมุอฺตะซิม อิบนุ ฮารูน อัรร่อชีดดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์สืบมา ซึ่งเหล่าทหารต่างก็ปฏิเสธไม่ยอมกระทำสัตยาบันต่ออัลมุอฺตะซิมในการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์ในเบื้องแรก
โดยเหล่าทหารมีความต้องการให้อัลอับบาส อิบนุ อัลมะอฺมูน ดำรงตำแหน่งแทน แต่ทว่าท่านอัลอับบาสผู้นี้ได้ชิงให้สัตยาบันต่อพระเจ้าอาในการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะห์เสียก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อพินัยกรรมของพระบิดาที่สั่งเสียไว้ เหล่าทหารในกองทัพก็เลยปฏิบัติตามท่านอัลอับบาส ในการสัตยาบันต่ออัลมุอฺตะซิมในที่สุด
และในรัชกาลของอัลมุอฺตะซิมนั้นได้เกิดความวุ่นวายอย่างรุนแรง อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในเรื่องสถานภาพของคัมภีร์อัลกุรอ่านซึ่งพวกมัวะอฺตะซิละฮฺได้ดำเนินการอยู่เบื้องหลังและทำให้อิหม่ามอะหฺหมัดต้องถูกคุมขังและถูกเฆี่ยนตีเนื่องจากไม่ยอมรับทัศนะของพวกมัวะอฺตะซิละฮฺในเรื่องดังกล่าวซึ่งเป็นทัศนะที่ค่อลีฟะฮฺเองก็สนับสนุน
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 461
อัลมุกัรรอม อะห์หมัด อิบนุ อาลี อัซซุลัยฮีย์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรอัซซุลัยฮียะห์ ซึ่งนิยมในนิกายชีอะห์ แห่งเมืองยะเมน (ยะมัน) ได้เข้าสู่นครซอนอาอ์ ภายหลังปราบปรามเหล่าปรปักษ์ผู้คิดก่อการกบฎแย่งชิงอำนาจซึ่งพวกกบฎเกือบที่จะยึดนครซอนอาอ์ได้สำเร็จแต่ถูกปราบปรามเสียก่อน (อนึ่งนครซอนอาอฺเป็นราชธานีของอาณาจักรอัซซุลัยฮียะห์ในเยเมน)
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 479
อัลมุอฺตะมิด อิบนุ อับบ๊าดเจ้าครองนครอิชบีลียะห์ ( ซีวิลล่า, Sevilla) และพันธมิตรของตนคือ ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีน ประสบความสำเร็จในการสร้างความปราชัยแก่กองทหารของอัลฟังซัวที่ 6 (Alphonse ที่ 6) กษัตริย์แห่งอาณาจักรกิชตาละห์ (คาสติลล่า) ทั้ง 2 ฝ่าย -มุสลิมและคริสเตียน- ต่างก็เห็นด้วยกับข้อตกลงตามข้อเสนอของอัลฟังซัวที่ 6 ต่อการพักรบในช่วงวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อความสำคัญทางศาสนาของช่วงวันเหล่านี้
แต่ทว่าอัลฟังซัวกับทำลายสัญญาข้อตกลงนั้นและยกกองกำลังของพระองค์เข้าจู่โจมกองทหารมุสลิมในวันศุกร์ ทว่าพวกคริสเตียนก็ต้องพบกับความประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงต่อการเตรียมพร้อมรับมือของอัลมุอฺตะมิดและอิบนุ ตาชฟินซึ่งคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าอัลฟังซัวอาจคิดไม่ซื่อ
ในวันที่ 22 ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 484
เจ้าชายซัยรีย์ อิบนุ อบีบักร อัลลัมตูนีย์ ผู้สำเร็จราชการของท่านยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนในแคว้นเอ็นดาลูเซียได้เข้ายึดครองเมืองอิชบีลียะห์ (ซีวิลล่า) และจับกุมเจ้าเมืองอิชบีลียะห์ คือ อัลมุอฺตะมิด อิบนุ อับบ๊าดและครอบครัว และส่งไปเป็นเชลยศึกยังแอฟริกาเหนือ (เนรเทศ) อิบนุ อับบ๊าดผู้นี้หวั่นเกรงการมีอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของอิบนุ ตาชฟีนซึ่งพยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นของหัวเมืองต่าง ๆ ในแคว้นเอ็นดาลูเซียภายใต้การนำทางการทหารของตนเพื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังคริสเตียนจากทางเหนือซึ่งกำลังพยายามระดมสรรพกำลังเพื่อเข้ายึดครองหัวเมืองในแคว้นเอ็นดาลูเซียอย่างแข็งขัน
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 543
ค่อลีฟะห์อัซซอฟิร แห่งราชวงศ์ฟาฎิมีย์ (อียิปต์) ได้แต่งตั้งอัลม่าลิก อัลอาดิ้ล ซัยฟุดดีน อิบนุ อัซซัลล๊ารขึ้นเป็นมหาเสนาบดี (วาซิร, วาเซียร์) บุรุษท่านนี้ (ซัยฟุดดีน) มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงในการนำเอามัซฮับ (นิกาย) ซุนนีย์ กลับมาเผยแผ่ในอียิปต์ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อัลฟาฎีมีย์ (ซึ่งนิยมในนิกายชีอะห์)
และท่านผู้นี้ยังนิยมในสำนักกฎหมายทางนิติศาสตร์อิสลามสายชาฟิอีย์ อันเป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่สร้างความวิตกให้แก่ค่อลีฟะห์แห่งราชวงศ์ฟาฎีมีย์ ดังนั้นพระองค์จึงมอบให้คนสนิทของพระองค์บางคน ซึ่งก็คือ นัซรฺ อิบนุ อับบาส ลอบสังหารอิบนุ อัซซัลล๊าร นัซรฺ ผู้นี้จึงทำการสังหารอิบนุ อัซซัลล๊าร และสังหารท่านค่อลีฟะห์อัซซอฟิรด้วยในเวลาเดียวกัน
ในวันที่ 14 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 493
ค่อลีฟะห์ อัลมุซตัฎฮิร บิลลาฮฺ ( ฮ.ศ.487-510 ) องค์ที่ 28 แห่งราชวงศ์อับบาซียะห์ ได้สถาปนามุฮัมมัด อิบนุ มาลิก ชาฮฺ ขึ้นเป็นสุลฏอน แห่งอาณาจักรซัลจูก (เซลจูก เติร์ก) แทนบัรกียา รูกผู้เป็นพี่ชายและประทานนามว่า “ฆียาซุดดุนยาวัดดีน (غياث الدنياوالدين ) และกล่าวขอพรให้ในคุฏบะห์ เหนือธรรมาสน์ของมัสยิดสถานทั้งหมดในกรุงแบกแดด
ในวันที่ 14 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 554
อิบนุ อัลมะฮฺดีย์ (ابن المهدي ) ได้สถาปนาอาณาจักรอัลมะห์ดียะห์ (الدولةالمهندية ) ในเมืองซะบีด (زبيد ) ในแคว้นติฮามะห์ (تهامة ) แห่งยะมัน (เยเมน)
ในวันที่ 27 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 582
ท่านซ่อลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ (สลาดิน) -ผู้สถาปนาราชวงศ์อัลอัยยูบีย์- ได้ยึดบัยตุ้ลมักดิส (เยรูซาเล็ม) คืนได้จากกองทหารครูเสดซึ่งเรียกร้องให้มีการประนีประนอมภายหลังการปิดล้อมเมืองอย่างหนักหน่วงนับตั้งแต่วันที่ 15 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 583 ท่านซ่อลาฮุดดีนได้ตอบตกลงตามคำเรียกร้องของเหล่าทหารครูเสดเพื่อทำสัญญาประนีประนอมภายหลังการขู่ว่าจะทำลายเมืองอันศักดิ์สิทธิให้ราบพนาสูญหากพวกครูเสดไม่ยอมจำนน
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 848
กองทหารของสุลตอนมุร็อด ข่านที่ 2 แห่งราชวงศ์อุษมานีย์ (ออตโตมานเติร์ก) ได้รับชัยชนะในการศึกเหนือกองทหารของฮังการีในสมรภูมิวารนะห์ (Varna เมืองหนึ่งในบัลแกเรีย ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลดำ ปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง) หลังจากที่ฝ่ายฮังการีละเมิดสนธิสัญญาสงบศึกที่กระทำระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ในวันที่ 26 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 848
การณ์ดังกล่าวเป็นผลจากการยุยงปลุกปลั่นของพระคาร์ดินัล ซีซารีนีย์ ผู้แทนสูงสุดทางคณะสงฆ์แห่งคริสตจักรวาติงกัน ประจำฮังการี ซึ่งพระคาร์ดินัลผู้นี้ได้ประกาศว่าสัญญาที่กระทำกับเหล่ามุสลิม (ซึ่งเป็นพวกนอกรีต) นั้นไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามและสามารถละเมิดได้ทุกเมื่อ และในสมรภูมิวารนะห์ นี้เองที่กษัตริย์ลาดิซลาส ( -Ladislas) แห่งฮังการี ได้สิ้นพระชนม์กลางสมรภูมิพร้อมด้วยซีซารีนีย์ ผู้แทนสูงสุดแห่งกรุงวาติงกัน
ในวันที่ 2 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 920
ซุลตอนซ่าลีมที่ 1 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์สามารถสร้างความปราชัยให้กับชาฮฺ อิสมาแอล แห่งราชวงศ์ซอฟาวีย์ ผู้เป็นชาฮฺแห่งอิหร่าน ณ ที่ราบญาลดารอน เมืองตับรีซ (-เมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่านใกล้ทะเลสาบอุรมียะห์ ในแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออก-) ซึ่งเป็นราชธานีแห่งราชวงศ์ซอฟาวีย์ ชาฮ์ อิสมาแอล ผู้นี้พยายามปลุกปั่นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิอุษมานียะห์ (ออตโตมานเติร์ก) ให้ก่อการกบฎและสร้างความไม่สงบเนื่องจากกลัวการขยายอิทธิพลของจักรวรรดิอุษมานีย์
ดังนั้นชาฮ์ อิสมาแอล จึงยุยงเหล่าพระประยูรญาติที่ใกล้ชิดของสุลต่านซ่าลีม ให้มีใจออกห่างและแย่งชิงอำนาจในการปกครอง และชาฮฺอิหร่านยังได้ส่งคณะทูตไปยังสุลต่านแห่งอียิปต์ เพื่อเรียกร้องให้ร่วมเป็นพันธมิตรในการหยุดยั้งการแผ่ขยายแสนยานุภาพของจักรวรรดิอุษมานียะห์อีกด้วย
ในวันที่ 14 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 920
สุลตอนซ่าลีม ที่ 1 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์เข้าตีเมืองตับรีซ ราชธานีแห่งอิหร่านและยึดครองได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมเข้ายึดครองคลังสมบัติของชาฮฺ อิสมาแอล แห่งราชวงศ์ซอฟาวียะห์ภายหลังที่ซุลตอนซ่าลีมที่ 1 สร้างความปราชัยแก่ชาฮ์อิสมาแอลมาแล้วในสมรภูมิญาลดีรอน
ในวันที่ 25 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 922
สุลตอนซ่าลีมที่ 1 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ได้สร้างความปราชัยเป็นครั้งแรกแก่สุลตอนกอนสุวะห์ อัลฆูรีย์ แห่งราชวงศ์อัลมัมลูกียะห์ (ม่ามาลีก) แห่งอียิปต์ ในสมรภูมิมัรญ์ ดาบิ๊ก (อยู่ใกล้กับเมืองฮัลบ์ (อะเล็บโป) ในแคว้นชาม-ซีเรีย-) โดยที่สุลต่านอัลฆูรีย์ แห่งราชวงศ์อัลมัมลูกีย์ ในอียิปต์ผู้นี้เป็นพันธมิตรกับชาฮฺอิสมาแอลแห่งราชวงศ์ซอฟาวีย์ในอิหร่านเพื่อร่วมกันหยุดยั้งการแผ่แสนยานุภาพของจักรวรรดิอุษมานียะห์อันนำไปสู่การขัดแย้งกันระหว่างแม่ทัพของสุลตอนอัลฆูรีย์
กองทหารปืนใหญ่ของกองทหารแห่งจักรวรรดิอุษมานียะห์มีบทบาทสำคัญยิ่งในการได้รับชัยชนะของสุลตอนซ่าลีมที่ 1 และการมีชัยของพวกอุษมานีย์ (ออตโตมานเติร์ก) ในสมรภูมิมัรญ์ ดาบิ๊กนี้เป็นประตูนำไปสู่การเข้ายึดครองอียิปต์ของพวกอุษมานีย์ในที่สุด โดยกองทหารของพวกอุษมานีย์ยาตราทัพเข้าสู่กรุงไคโร (Cairo) ในวันที่ 8 เดือนมุฮัรรอม ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 923
ในเดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 924
สุลตอน ซ่าลีมที่ 1 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ยกทัพกลับสู่กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล (อิสตันบูล) หลังจากที่สามารถผนวกเอาแคว้นชามและอียิปต์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอุษมานียะห์
ในวันที่ 12 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1012
สุลตอนมุฮัมมัด ข่านที่ 3 โอรสของสุลตอนมุร็อดที่ 3 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ได้สิ้นพระชนม์และสุลตอนอะห์หมัดที่ 1 ครองราชย์สมบัติสืบมา (สุลตอนมุฮัมมัด ข่านที่ 3 ประสูติในวันที่ 7 เดือนซุลกิอฺดะห์ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 987 ตรงกับ 16 พฤษภาคม ปีคศ.1566 เป็นพระโอรสในสุลต่านมุร็อดที่ 3 อันเกิดจากพระสนมซอฟียะห์ ผู้มีเชื้อชาติอิตาเลียน สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชนมายุได้ 37 พรรษา ปกครองจักรวรรดิ 9 ปี)
ในวันที่ 9 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1031
กองทหารอิงกิชารียะห์ (เจนเนสรีย์) (กองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ของจักรวรรดิอุษมานียะห์) ได้ถอดซุลตอนอุสมาน ข่านที่ 2 แห่งราชวงศ์อุษมานีย์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงเริ่มดำเนินการปราบกองทหารดังกล่าวเพื่อกำจัดกองทหารที่ชอบกบฎนี้ให้สิ้นซาก หลังจากที่เหล่ากองทหารเจนนิสรีย์ ล่าถอยทัพในการศึกกับกองทหารโบโลเนีย (Polska, หรือโปร์แลนด์)
และเป็นเหตุนำไปสู่การจำยอมทำสัญญาประนีประนอมของซุลตอน ซึ่งพระองค์ทรงกริ้วเหล่าทหารเจนนิสรีย์อย่างมาก นอกเสียแต่ว่ากองทหารเจนนิสรีย์รู้ตัวเสียก่อน จึงจู่โจมเข้าจับกุมซุลตอนในพระราชวังของพระองค์ และคุมตัวไปยังกองบัญชาการของพวกเขาและปลงพระชนม์และนำเอาสุลตอนองค์ก่อน ผู้มีพระนามว่า มุสตอฟา ข่านที่ 1 กลับขึ้นครองจักรวรรดิซึ่งซุลตอนมุสตอฟาองค์นี้เคยถูกเหล่าทหารเจนนิสรีย์ถอดจากราชสมบัติมาแล้วเช่นกัน
วันที่ 18 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1041
กองทหารเจนนิสรีย์ (อิงกิชารียะห์) บุกพระตำหนักสุลตอนมุร็อด ข่านที่ 2 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์และสังหารมหาเสนาบดี (อัซซอดรุ้ล – อะอฺซอม) ฮาฟิซ ปาชา หลังการปฏิเสธของซุลตอนต่อคำเรียกร้องของกองทหารเจนนิสรีย์ที่ต้องการนำคุสโร ปาชา มหาเสนาบดีคนก่อนกลับสู่ตำแหน่ง (อนึ่ง คุสโร ปาชาผู้นี้เคยนำทัพอุษมานียะฮฺเข้าปิดล้อมกรุงแบกแดดแต่กลับออกคำสั่งให้ทหารเลิกทัพเพราะถูกพวกกองทหารเจนนิสรีย์กดดันเป็นผลให้กองทหารของชาฮฺแห่งอิหร่านสามารถยึดกรุงแบกแดดได้)
ครั้นเมื่อสุลตอนมุร็อด ข่านที่ 2 ทราบข่าวการสังหารฮาฟิซ ปาชา พระองค์ก็ทรงมีบัญชาให้สังหารคุสโร ปาชาผู้ชักใยเบื้องหลังความวุ่นวายในครั้งนี้และแต่งตั้งให้บัยรอม มุฮัมมัด ปาชา ขึ้นเป็นมหาเสนาบดี
วันที่ 8 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1048
กองทัพของอุษมานียะห์ (ออตโตมาน) ภายใต้การนำของสุลตอนมุร็อด ข่านที่ 4 ทำการปิดล้อมกรุงแบกแดดและสามารถตีคืนจากพวกอิหร่านได้หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการโจมตีอย่างหนักหน่วงใน เช้าของวันที่ 18 เดือนชะอฺบาน ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1048
วันที่ 18 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1058
กองทหารเจนนิสรีย์ก่อการกบฏต่อสุลตอนอิบรอฮีม ข่านที่ 1 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์หลังการล่วงรู้ของกองทหารเจนนิสรีย์ถึงพระประสงค์ของสุลตอนที่จะปลดเหล่าแม่ทัพของกองทหารอันเนื่องจากสาเหตุการเข้าแทรกแซงของเหล่าแม่ทัพในการบริหารราชการแผ่นดินของราชสำนักและไม่สนองตามพระบรมราชโองการของซุลตอน โดยมีเหล่านักปราชญ์เข้าร่วมกับเหล่าแม่ทัพ โดยมีมุฟตีย์ อับดุรร่อฮีม อะฟันดีย์เป็นหัวเรือใหญ่ และกองทหารเจนนิสรีย์ได้ตั้งมุฮัมมัด ข่านที่ 4 ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา อิบรอฮีม ข่านที่ 1
และในวันที่ 28 เดือนร่อญับในปีเดียวกัน ทหารเจนนิสรีย์บางนายพยายามนำเอาสุลตอนอิบรอฮีม กลับขึ้นครองราชย์อีกครั้งหนึ่ง แต่ทหารเจนนิสรีย์จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย ซ้ำร้ายเหล่าทหารเจนนิสรีย์ยังได้ปลงพระชนม์สุลตอน อิบรอฮีม โดยการแขวนคอ เนื่องจากเกรงว่าพระองค์จะกลับมาครองราชย์และแก้แค้นพวกเขา
วันที่ 24 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1110
มีการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์ และรุสเซียเวนิสและโบโลเนีย (โปร์แลนด์) เรียกกันว่าสนธิสัญญาสงบศึกคาร์ลูฟิตซ์ ในสนธิสัญญาดังกล่าวจักรวรรดิอุษมานียะห์ (ออตโตมาน) ต้องยอมเสียฮังการีและทรานซิลวาเนียแก่ออสเตรีย และเมืองท่าอาซอฟ ที่ตั้งบนฝั่งทะเลดำแก่รุสเซีย และสูญเสีย กามนิก, โบโดเลียและอูเครวินแก่โบโลเนีย และเกาะโมราห์จรดแม่น้ำฮิกซามีลูน และแคว้นเด็ลมาเซีย ที่ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเอเดรียติกแก่เวนิสและยังกำหนดระยะสงบศึกเป็นลายลักษณ์อักษรมีระยะเวลา 25 ปี
และกำหนดว่า กลุ่มประเทศยุโรปที่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ไม่ต้องจ่ายสิ่งใดแก่จักรวรรดิอุษมานียะห์ ไม่ว่าในฐานะส่วยหรือบรรณาการหรือของกำนัล ด้วยสนธิสัญญาฉบับนี้จักรวรรดิอุษมานียะห์ต้องสูญเสียอาณาเขตมิใช่น้อยจากดินแดนในการปกครองของจักรวรรดิในฝั่งยุโรป และความละโมบของกลุ่มประเทศยุโรปต่อดินแดนในการปกครองของจักรวรรดิก็เพิ่มมากขึ้น
วันที่ 6 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1115
สุลตอนอะห์หมัด ข่านที่ 3 แห่งอุษมานียะห์ได้ปราบปรามกองทหารเจนนิสรีย์และสังหารทหารเจนนิสรีย์เป็นจำนวนมากและปลดมหาเสนาบดีนาชัญญีย์ อะห์หมัด ปาชาหุ่นเชิดของกองทหารเจนนิสรีย์และแต่งตั้งดามาด ฮาซัน ปาชา พระราชบุตรเขยดำรงตำแหน่งแทน
วันที่ 12 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1144
การทำสัญญาสงบศึกระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์ในรัชสมัยของสุลตอนมะฮฺหมูด ข่านที่ 1 และพระเจ้าชาฮ์แห่งเปอร์เซีย เฎาะห์มาซิบที่ 1 ซึ่งพระองค์ได้เรียกร้องให้มีการสงบศึกภายหลังการพ่ายแพ้การศึกครั้งแล้วครั้งเล่าต่อกองทัพของจักรวรรดิอุษมานียะห์
สนธิสัญญาประนีประนอมครั้งนี้ได้กำหนดว่าเปอร์เซีย (อิหร่าน) จะต้องสละดินแดนแห่งที่เข้ายึดครองแก่จักรวรรดิ ยกเว้น เมืองตับรีซ, อัรดาฮาน ฮัมซาน และบางส่วนของแคว้นลูริซตาน แต่ปรากฏว่านาดิร ข่าน ข้าหลวงใหญ่ของอิหร่านคัดค้านต่อจักรวรรดิอุษมานียะห์ในสนธิสัญญาประนีประนอมครั้งนี้และนำไพร่พลทหารมุ่งสู่เมืองอิสฟาฮานและถอดชาฮฺ เฎาะห์มาซิบ ออกจากราชสมบัติและสถาปนาอับบาสที่ 3 พระโอรสขึ้นครองราชย์โดยนาดิร ข่านดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
วันที่ 12 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1203
สุลตอนอับดุลฮามีดที่ 1 แห่งอุษมานียะห์สิ้นพระชนม์พระองค์ทรงครองจักรวรรดิหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเชษฐาสุลตอน มุสตอฟาที่ 3 ในวันที่ 8 เดือนซิลกิอ์ดะห์ ปีฮิจเราะหศักราชที่ 1187 ซึ่งสุลตอนซ่าลีม ข่านที่ 3 พระโอรสของสุลตอนมุสตอฟาที่ 3 ก็เสด็จครองราชสมบัติสืบมาภายหลัง
วันที่ 10 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1222
กองกำลังของอังกฤษถอนทัพออกจากอียิปต์ซึ่งกองกำลังดังกล่าวเคยเข้าโจมตีตามชายฝั่งของอียิปต์โดยการบัญชาการของนายพลเฟรเซอร์ ในวันที่ 10 มุฮัรรอม ปีฮ.ศ.1222 ซึ่งภายหลังจำต้องล่าถอยเนื่องจากการต่อสู้ของฝ่ายอียิปต์เป็นไปอย่างเข้มแข็ง
วันที่ 5 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1239
สุลตอนมะห์มูด ข่านที่ 2 แห่งอุษมานียะห์ทรงมีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งมูฮัมมัด อาลี ปาชา อุปราชผู้ครองอียิปต์ให้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งเกาะครีตและมณฑลโมราฮฺ อีกเช่นกัน และทรงมอบหมายภารกิจให้มูฮัมมัด อาลี ปาชา ปราบปรามชาวกรีกในเกาะครีตและมณฑลดังกล่าวที่ก่อการปฏิวัติลุกฮือต่อจักรวรรดิ
วันที่ 12 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1256
อังกฤษได้ส่งกองเรือรบสู่ชายฝั่งกรุงเบรุตเพื่อสนับสนุนกองเรือรบของอังกฤษที่ประจำการอยู่ ณ ที่นั่น โดยมีเป้าหมายที่จะบังคับหรือบีบให้มุฮัมมัด อาลี ปาชา ถอนทัพจากแคว้นชามอันเป็นการดำเนินตามมติต่าง ๆ ของการประชุมหารือ ณ กรุงลอนดอน ปีคศ.1840 โดยที่กองเรือรบของอังกฤษได้ยิงโจมตีกรุงเบรุตอย่างหนัก
และในวันที่ 14 เดือนร่อญับ ปีเดียวกัน ก็มีการยกพลขึ้นบกของทหารอังกฤษจำนวน 1,500 นายและทหารตุรกี 8,000 นายทางตอนเหนือของกรุงเบรุต อิบรอฮีม ปาชา ก็ไม่สามารถทานเหล่าทหารดังกล่าวได้อันเนื่องจากการโจมตีทางปืนใหญ่ของกองเรือรบอังกฤษซึ่งโจมตีจุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ทั้งหมดของแคว้นชามและเผาจุดยุทธศาสตร์เหล่านั้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะขจัดมุฮัมมัด อาลี ปาชาจากแคว้นชาม และนำแคว้นชามกลับสู่พระราชอำนาจของสุลตอนแห่งอุษมานียะห์อีกครั้ง
วันที่ 22 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1265
รุสเซียเข้ายึดครองแคว้นอัฟลาก (หรือรัฐฟาลาเฟีย Valachie ในลุ่มแม่น้ำดานูบ แคว้นนี้รวมกับมอลตาเฟียเป็นประเทศโรมาเนียปีคศ.1858) และแคว้นบุฆดาน (เป็นเขตทางทิศตะวันออกของชายแดนโรมาเนียที่ประชิดพรมแดนกับรุสเซีย หรือแคว้นโรมาเนียนั่นเอง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากอาณาเขตในการปกครองของจักรวรรดิอุษมานียะห์
ภายหลังความพยายามของชนพื้นเมืองในการประกาศเอกราชและผนวกรวมกับทรานซิลวาเนียและบีโกเฟ่น เพื่อตั้งประเทศโรมาเนียใหม่ จักรวรรดิอุษมานียะห์ได้ทักท้วงรัสเซียต่อการเข้ายึดครองอาณาเขตของจักวรรดิในครั้งนี้ และมีการเจรจากันระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งจบลงด้วยการลงนามในข้อตกลง บัลเฎาะห์ ลีมาน (-อันหมายถึงท่าจอดเรือตรงช่องแคบบอสฟอร์จากตุรกีฝั่งยุโรปใกล้อิสตันบูลเป็นสถานที่ที่ดำเนินการสนธิสัญญาฉบับนี้- ) ซึ่งระบุว่าจักรวรรดิอุษมานียะห์จะต้องดำเนินการแต่งตั้งผู้ปกครอง 2 คนจากทางฝ่ายตนดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อนแล้ว พร้อมกับการประจำการของกองทหารผสมตุรกี-รุสเซียเพื่อดูแลความสงบในระยะเวลา 7 ปี
วันที่ 26 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1269
เจ้าชายปรินส์ มันชีกอฟ ทูตรุสเซียประจำกรุงอิสตันบูล ได้มีสาส์นถึงราชสำนึกของอุษมานียะห์ โดยเรียกร้องให้รื้อฟื้นเงื่อนไขต่าง ๆ ของสนธิสัญญาพักรบฮิงการ์ อิสกิลาซีย์ ซึ่งกำหนดว่ารุสเซียมีสิทธิอันชอบธรรมในการให้การพิทักษ์เหล่าคริสเตียนที่มีหลักแหล่งอยู่ในรัฐต่าง ๆ ของจักรวรรดิอุษมานียะห์และเรียกร้องให้ทางราชสำนักของอุษมานียะห์ให้คำตอบตามคำร้องนั้นภายในเวลา 5 วัน สุลตอนแห่งราชวงศ์อุษมานีย์ทรงปฏิเสธคำร้องดังกล่าว
วันที่ 12 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1270
ฝรั่งเศสและอังกฤษยินยอมตามข้อตกลงในสนธิสัญญาลุนดาเราะห์ ( -สนธิสัญญากรุงลอนดอน- ) ต่อการรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตของจักรวรรดิอุษมานียะห์และปฏิเสธการผนวกเอาส่วนหนึ่งของอาณาเขตดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรุสเซีย การดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการโจมตีของกองทัพเรือรุสเซียต่อกองเรือรบของอุษมานียะห์ในทะเลดำและทำลายล้างกองเรือดังกล่าวในสมรภูมิซีนูบ (อันเป็นเมืองที่มีป้อมปราการทางตอนเหนือของอนาโตเลีย บนฝั่งทะเลดำมีท่าเรือกว้างขวาง)
จักรวรรดิอุษมานียะห์ยึดเอาเมืองนี้เป็นจุดพักของกองเรือรบของตน ในปีคศ.1853 รุสเซียได้ทำลายโดนานเมฮฺ (กองเรือ) ของอุษมานียะห์จนราบคาบก่อนก่อนประการสงครามไครเมีย ซึ่งขัดกับการกระทำสนธิสัญญาคราวก่อนของรุสเซียที่รับรองว่าจะไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นการคุกคามทางการทหารในเขตน่านน้ำทะเลดำ
วันที่ 23 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1272
มีการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกแห่งกรุงปารีส (สนธิสัญญาปารีส) ซึ่งให้การรับรองและป้องกันอาณาเขตของจักรวรรดิอุษมานียะห์จากภัยคุกคามของรุสเซีย และจักรพรรดิแห่งรุสเซียทรงลงนามในสนธิสัญญารับรองว่าจะมอบคืนเขตมณฑลต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงยึดครองแก่จักรวรรดิอุษมานียะห์
(สนธิสัญญาปารีสมี 34 ข้อตกลงพร้อมด้วยภาคผนวก ลงวันที่ 30 เดือนมีนาคม ปีคศ.1856 ภายหลังลงนามสนธิสัญญาฉบับนี้ฝ่ายต่าง ๆ ก็ร่วมประชุมหารือในช่วงต้นเดือนเมษายนและมีมติให้ยกเลิกการปิดล้อมทางทะเลจากเมืองท่าต่าง ๆ ของรุสเซียและฝรั่งเศส อังกฤษ และบีโมนตี (ซาร์ดีเนีย) จะต้องถอนทัพออกจากแหลมไครเมีย ภายในระยะเวลา 6 เดือนและให้เวลาแก่ออสเตรีย ภายในเวลา 6 เดือนในการเคลียร์เขตมณฑลวาลาเชียและโรมาเนียให้เรียบร้อย และระยะเวลา 3 เดือนในการส่งมอบเมืองกอริส พร้อมป้อมปราการคืนแก่จักรวรรดิอุษมานียะห์
และคณะกรรมาธิการซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำเนินการในเรื่องแบ่งแยกเส้นเขตแดนระหว่างจักรวรรดิกับรุสเซียทางด้านซาราเบียจะต้องมีการประชุมหารือภายในวันที่ 1 รอมาฎอน ปีคศ.1272 ตรงกับ 6 พ.ค.ปีคศ.1856 ในเมืองฆาลาติส (Galati บนฝั่งแม่น้ำดานูบทางตะวันออกเฉียงเหนือจากกรุงบูคาเรสต์ ณ ปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลดำ)
ในวันที่ 18 เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1351
กองทหารของกษัตริย์อับดุลอาซีซ อิบนุ อับดิรเราะห์มาน อัลฟัยซอล อาลซุอูด กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียได้โจมตีแคว้นญีซาน (-เป็นเมืองท่าของซาอุฯบนฝั่งทะเลแดงในมณฑลอาซีร-) เพื่อปราบปรามการกบฏลุกฮือของพวกอิดรีส ภายใต้การนำของซัยยิด ฮะซัน อัลอิดรีซีย์ ซึ่งจำต้องหลบหนีพร้อมกับพรรคพวกบางคนยังเมืองซอบียา ในเวลาต่อมาและหันไปพึ่งอิหม่ามยะห์ยา ผู้ปกครองเมืองยะมันในที่สุด
เดือนร่อญับ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 1367
กลุ่มยิวไซออนิสต์ ประกาศตั้งประเทศอิสราเอลเหนือดินแดนปาเลสไตน์ ภายหลังกลุ่มยิวไซออนิสต์กลุ่มต่าง ๆ มีการรณรงค์ในการอพยพชาวยิวจากทั่วโลกสู่ดินแดนปาเลสไตน์และการเข้าครอบครองที่ดินของชาวปาเลสไตน์ โดยการสนับสนุนและให้การคุ้มครองของอังกฤษผู้เป็นเจ้าอาณานิคมเหนือปาเลสไตน์
อังกฤษได้ดำเนินการในช่วงที่ปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้อาณัติของตนในการกีดกันการมีกรรมสิทธิครอบครองอาวุธทุกชนิดของชาวปาเลสไตน์เพื่อเป็นการปูทางแก่การก่อสงครามของพวกยิวไซออนิสต์ จนกระทั่งว่าถือเป็นเรื่องลำบากยิ่งสำหรับชาวปาเลสไตน์ ที่จะมีอุปกรณ์ทำครัวจำพวกมีดหั่นในครอบครอง แถลงการณ์ดังกล่าวประมวลถึงการประกาศตั้งประเทศอิสราเอลอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พฤษภาคม คศ.1948 และลงนามโดยเหล่าผู้นำขององค์กรไซออนิสต์สากล ภายใต้การนำของนายเดวิด เบนกูเรียน ถึงการสิ้นสุดในการเป็นเจ้าอาณานิคมของอังกฤษเหนือดินแดนปาเลสไตน์ เนื้อหาส่วนหนึ่งในมติการประกาศตั้งประเทศอิสราเอลก็คือ”….
และประเทศอิสราเอลจะเปิดประตูรับการอพยพของชาวยิวเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ชาวยิวผู้ถูกเนรเทศทั้งหลายและจะทำนุบำรุงในการพัฒนาประเทศให้รุดหน้าเพื่อประโยชน์สุชแก่พลเมืองทั้งหลายโดยไม่มีการแบ่งแยกทางศาสนา เชื้อชาติ หรือสัญชาติใด ๆ และอิสราเอลจะประกันถึงความมีเสรีภาพทางศาสนา ความเชื่อ ภาษา การศึกษาและวัฒนธรรม และอิสราเอลจะให้การพิทักษ์แก่สถานที่อันศักดิ์สิทธิของทุกศาสนาและจะเป็นผู้รักษาหลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติอย่างเข้มงวด …
และเราให้สัตย์ยืนยันแก่พลเมืองเชื้อสายอาหรับว่าพวกเขาจะต้องรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ และในการมีส่วนร่วมในการสร้างประเทศบนพื้นฐานของความเป็นพลเมืองอย่างเต็มขั้นที่ตั้งอยู่บนความเสมอภาคและการเป็นตัวแทนที่เหมาะสมในทุก ๆ องค์กรของรัฐทั้งถาวรและชั่วคราว …” ช่างเป็นการโป้ปดอย่างไร้สิ่งเคลือบแคลงเสียเหลือเกิน อิสราเอลไม่เคยรักษาสัญญาและไม่เคยพอใจในสันติภาพเลยแม้แต่น้อย