ข้อเท็จจริงจากถ้อยคำซึ่งปรากฏในคลิปวีดีโอของพระธรรมกิตติเมธี (โฆษกมหาเถรสมาคม)

بسم الله الرحمن الرحيم
الحمدلله الذى بين للناس آياته لعلهم يتفكرون وفرق بين الحق والباطل لعلهم يعقلون

والصلاة والسلام على محمدعبدالله المصطفى ورسوله المجتبى ونبيه المر تضى وعلى آله أولى النهى وصحابته نقلة الهدى وبعد

พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม

สืบเนื่องจากมีคลิปวีดีโอ 2 ชุดปรากฏเผยแพร่อยู่ในสื่ออินเตอร์เน็ตชื่อดังเว็บไซด์หนึ่ง ชุดแรกมีความยาวไม่กี่นาทีและชุดที่สองมีความยาวพอสมควร ทั้งสองชุดเป็นคลิปวีดีโอบันทึกภาพการบรรยายของพระสงฆ์ 2 รูป ในชุดแรกบรรยายโดย พระธรรมกิตติเมธี ซึ่งพระเดชพระคุณเป็นโฆษกมหาเถรสมาคม เป็นพระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์ ส่วนชุดที่สองเป็นพระสงฆ์ผู้มีสมณศักดิ์เช่นกัน คือ พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะภาค 14 และเป็นเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ต่อมามีชุดที่ 3 ปรากฏเผยแพร่ทางสื่ออินเตอร์เน็ต

 

อีกหนึ่งชุด เป็นไฟล์เสียงบันทึกการบรรยายของพระสงฆ์หนุ่มนิรนามรูปหนึ่ง ซึ่งมีเวลายาวมากที่สุด ข้าพเจ้าได้รับชมและรับฟังทั้ง 3 ชุดแล้วก็ปริวิตกอยู่ในที ด้วยผู้บรรยายเป็นเจ้าของภาพและเสียงเป็นพระสงฆ์ในบวรพุทธศาสนา เป็นภิกษุผู้ทรงศีลหนึ่งในพุทธบริษัท 4 ซึ่งมีอิทธิพลต่อการชักนำทางความคิด ความเชื่อ และความเข้าใจของอุบาสก อุบาสิกา  แลญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่ให้ความเคารพเชื่อถือ

 

สิ่งที่น่าวิตกก็คือ เนื้อหาที่ใช้เดินเรื่องและข้อมูลที่ถูกนำมาประกอบเรื่องในการบรรยายของพระสงฆ์ทั้ง 3 รูปอาจเข้าข่ายผิดพระธรรมวินัยต้องอาบัติปาจิตตีย์ข้อที่ 1 คือ ภิกษุพูดปด และไม่ยินดีในศีล ไม่รักษาซึ่งธรรมวินัย คือ เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียดและคำยุแหย่แตกร้าวกัน และเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ กล่าวคือ ไม่พูดแต่ความจริง ไม่ดำรงคำสัตย์ ไม่มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน (คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้)

 

ไม่พูดถูกกาล ไม่พูดแต่คำที่เป็นจริง ไม่อิงอรรถ ไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย ไม่มีหลักฐาน และไม่กอปรด้วยประโยชน์ อีกทั้งไม่เว้นขาดจากติรัจฉานกถา (คือคำพูดจาเรื่องทางโลก) ไม่ละนิวรณ์ในการพยาบาท และความฟุ้งซ่าน มีวาจาบ่งชี้ว่ายังมีทิฏฐุปาทาน คือความยึดถืออยู่กับความคิดเห็น และอัตตวาทุปาทาน คือความยึดถืออยู่ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตนหรือเป็นของตน

 

คำบรรยายที่ปรากฏทั้ง 3 ชุด หากผู้บรรยายมิใช่พระภิกษุซึ่งถือในเพศบรรพชิต ครองกาสาวพัตร์ และเคร่งครัดในสัมมาปฏิบัติแล้วไซร้ก็คงพอทำเนา ไม่น่าวิตก แต่ผู้บรรยายคือผู้ครองสมณเพศ ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพุทธบริษัทซึ่งจะไม่ยินดีในวาจาไม่คล้อยตามในการชี้นำก็คงมิใช่ 

 

ยิ่งไปกว่านั้น พระภิกษุสองในสามรูปนั้นเป็นพระผู้ใหญ่มีสมณศักดิ์ย่อมมีศิษยานุศิษย์และญาติโยมเป็นจำนวนมิใช่น้อย  ครั้นเมื่อแสดงวาจาให้ปรากฏแก่สาธารณชนที่สดับรับฟังด้วยจริตนิยมและศรัทธาแล้ว ก็ย่อมต้องคล้อยตามและเห็นเป็นจริงไปด้วยเป็นแน่แท้ เหตุนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เขียนจำต้องแจกแจงและอธิบายข้อเท็จจริงที่ปะปนกันในเนื้อหาและข้อมูลที่ถูกนำเสนอแก่พุทธศาสนิกชนในสื่อทั้ง 3 ชุด เพื่อมิให้เกิดสามัคคีเภท อันเป็นผลมาจากมิจฉาทิฐิและอุปทานของผู้บรรยาย 

 

ด้วยในกาลสมัยนี้ย่อมเป็นที่รับรู้สำหรับประชาชนคนไทยว่า ชาติบ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย รัฐบาลไร้เสถียรภาพ พลเมืองคนไทยแตกสามัคคี แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ถือทิฐิเข้าหากันด้วยยึดติดในความเชื่อและอุดมการณ์ทางการเมืองอันเป็นโลกียะของตนเป็นใหญ่ ครั้นเมื่อมีพระสงฆ์องค์เจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในพระเถรานุเถระและมีบทบาทสำคัญในองค์กรพระพุทธศาสนาออกมาพูดเรื่องที่สับสนในข้อเท็จจริงแก่สาธารณชนโดยพาดพิงถึงชาวมุสลิม และศาสนาอิสลามในเชิงเป็นภัยคุกคามต่อพระพุทธศาสนา และความมั่นคงของชาติ ก็เท่ากับเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ของบ้านเมืองในเพลานี้ให้เกิดอาการทุรนทุรายและทรุดหนักลงไปอีก

 

เพราะเป็นการดึงเอาเรื่องของศาสนามาเป็นสิ่งปลุกเร้าให้พุทธศาสนิกชนเกิดอุปาทานและปลุกกระแสคลั่งชาติในเรื่องความหวงแหนแผ่นดินโดยพุ่งเป้าไปยังศาสนิกในศาสนาอื่นว่าเป็นผู้คิดประทุษร้ายต่อชาติบ้านเมืองและเป็นภัยต่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาด้วยขาดปัญญารู้คิดว่าไม่มีศัตรูใดหรือมารตนใดจะเป็นภัยต่อชาติบ้านเมืองและพระศาสนาเท่ากับพลเมืองและศาสนิกชนของตนที่บ่อนทำลายและฟาดฟันกันเอง

 

ผู้เขียนจึงถือเอาเรื่องนี้เป็นธุระและได้ไหว้วานให้ผู้เป็นศิษย์ได้ช่วยเหลือในการถอดข้อความจากสื่อทั้ง 3 ชุดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งก็รับเป็นธุระและกระทำกิจสำคัญได้ลุล่วง จึงขอขอบคุณเธอผู้เป็นศิษย์ที่ช่วยอนุเคราะห์ให้กิจอันสำคัญนี้ประจักษ์เป็นถ้อยความในรูปลายลักษณ์อักษร ขอเอกองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิบาลได้โปรดประทานความดีงามอันเปี่ยมด้วยอานิสงค์มหาศาลแก่เธอผู้เป็นศิษย์ทั้งในดุนยาสถานและภพอาคิเราะฮฺ

 

การซึ่งจะแจกแจงและอธิบายข้อเท็จจริงในบทความนี้จะขอเริ่มด้วยคลิปวีดีโอชุดแรก ซึ่งสั้นนักแต่ใจความเชือดเฉือนสะเทือนใจ ด้วยผู้เอ่ยวาจานั้นเป็นถึงโฆษกของมหาเถรสมาคม เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่นั่นเลยทีเดียว ข้อความสีแดงจะเป็นวาจาที่ถอดออกมาจากคลิปวีดีโอเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนข้อความที่มิใช่ สีแดงจะเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งผู้เขียนจะได้แจกแจงด้วยการเอื้ออำนวยของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ต่อแต่นี้จึงขอเริ่มเรื่องด้วยคำบรรยายของ พระธรรมกิตติเมธี เป็นปฐม

 

 

“เขาบอกว่า 5 ปีหลังจากทำปฏิวัติแล้ว ตั้งแต่ปี 49 มาจะต้องให้มีมัสยิดทุกจังหวัด 10 ปีต้องให้มีทุกอำเภอ 15 ปีให้มีทุกตำบล แล้วมาเมื่อปีที่แล้ว 2551 บอกว่ามันช้าไป 15 ปีทุกตำบล ปี 2557 ให้มันมีทุกตำบลเลยครับ วิธีหาทุนของเขาก็คือหาทุนจากต่างประเทศ ทุนที่ผ่านมาคือเข้าผ่านธนาคารอิสลาม ที่น่าเป็นห่วง ที่ดิน 350,000 ไร่ ตอนนี้ก็คือ ที่พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร กำแพงเพชร?”

ข้อเท็จจริง  “เขา” ที่พระเดชพระคุณเอ่ยถึงนั้นคือ ผู้ใดเล่า! หรือ “เขา” ที่ว่า หมายถึง “บิ๊กบัง” หัวหน้าคณะปฏิวัติที่ทำรัฐประหารรัฐบาลอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร แล้ว “บิ๊กบัง” แกไปพูดโพล่งเรื่องพรรอย่างนี้ที่ใดเล่า? พระคุณเจ้าสำคัญผิดไปเสียแล้วล่ะขอรับ! บุคคลอย่างนายทหารกองทัพบกผู้นี้ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมอย่างที่รู้กันก็มิได้หมายความว่ามีจริตนิยมอิสลามหรือฝักใฝ่อิสลามถึงขั้นจะสร้างรัฐอิสลามบนผืนแผ่นดินไทย

 

หรือแม้กระทั่งจะมีความคิดตามแผนที่ว่านั้นก็หาไม่เพราะไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใดในการนำมาเป็นข้ออ้างชักจูงนายทหารเหล่าอื่นซึ่งล้วนเป็นพุทธศาสนิกชนให้มาร่วมกระทำรัฐประหารเพื่อทำให้แผนที่ว่าสัมฤทธิผล กอปรกับอดีตนายกทักษิณเองก็เป็นที่นิยมชมชอบของชาวไทยมุสลิมเองเป็นจำนวนไม่น้อย และมีความจำเป็นขนาดถึงขั้นต้องทำรัฐประหารเพื่อปูทางสู่การดำเนินแผนที่ว่านั้นเชียวหรือ? เพราะถ้าพลาดก็คือ ขบถ! หมดสิ้นอนาคตเลยทีเดียวนะขอรับ!

 

และนับตั้งแต่ปฏิวัติสำเร็จนั้นมีจำนวนมัสยิดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกกี่มัสยิด กระผมเรียนให้ท่านทราบได้เลยว่าแทบจะไม่มีเลยขอรับ เพราะเท่าที่มีอยู่นี้ก็ขาดปัจจัยในการสร้างให้เสร็จสิ้น ค้างคากันอยู่หลายมัสยิด พี่น้องมุสลิมต้องจัดงานน้ำชาการกุศลตั้งโต๊ะรับบริจาคกันแทบทุกปี ก็ยังสร้างไม่เสร็จเสียที พี่น้องมุสลิมในต่างจังหวัดบางพื้นที่ต้องยอมเสียสละทุนทรัพย์วันละบาทเพื่อรวมทุนในการก่อสร้างมัสญิดในหมู่บ้านของตน หลายปีผ่านไปก็ยังไม่สัมฤทธิผล

 

แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เพราะเมื่อใช้ทำละหมาดได้คุ้มฟ้ากันฝนได้ก็พอใจแล้ว ครั้นจะไประดมทุนผ่านการสร้างวัตถุมลคล พระเครื่อง ตะกรุดเครื่องรางของขลังสไตล์มุสลิมก็ทำมิได้อีกด้วย ขัดกับหลักศาสนาที่ตนนับถือศรัทธาในขั้นรุนแรงถึงตกศาสนาเป็นธรรมจาคะ จึงได้แต่เพียงอุตสาหะรวบรวมเงินบริจาคที่ได้ไม่มากมาสร้างมัสญิดในหมู่บ้านของตนกันต่อไป เพราะไม่มีผู้ใจบุญที่มีกำลังทรัพย์มากๆ มาถวายเป็นปัจจัยเฉกเช่นพุทธบริษัทที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาถวายปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงวัดวาอารามกันจนใหญ่โตอลังการงานสร้าง

 

กุฏิของพระสงฆ์บางรูปใหญ่เกิน 7×12 คืบพระสุคตด้วยเพราะเป็นพระเถระ ผู้อุดมด้วยสมณศักดิ์มีญาติโยมที่มั่งมีร่ำรวยมากราบไหว้ขอเป็นศิษย์ เรื่องปัจจัยที่คุณโยมถวายให้แก่วัดแต่โอนใส่บัญชีธนาคารของพระท่านไม่ต้องเช็คดูก็รู้ว่ามากกว่า 5 มาสกไปไหนๆ ผิดกับมัสยิดของชาวมุสลิมซึงไม่ได้มีรายรับอะไรเป็นกิจลักษณะ ด้วยเพราะเป็นศาสนสถานสำหรับการนมัสการละหมาดเป็นหลัก ที่สำคัญมัสญิดในประเทศไทยนี้ร้อยละ 90 สร้างจากเงินบริจาคของชาวมุสลิมในพื้นที่ของมัสยิดนั้นหรือพี่น้องมุสลิมจากกรุงเทพฯ ที่มีกำลังทรัพย์อยู่พอควร

 

ครั้นจะได้เงินทุนจากกลุ่มประเทศอาหรับผู้ร่ำรวยก็พอมีให้บ้างแต่ก็ไม่มาก และเวลาชาวอาหรับจะนำเงินมาสร้างมัสญิดในประเทศก็มักจะหิ้วกระเป๋าเงินมามอบให้โดยตรง รายที่ผ่านธุรกรรมกับธนาคารนั้นก็มีแต่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะธนาคารอิสลาม หากแต่ผ่านธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไป ซึ่งเป็นที่นิยมยิ่งกว่าธนาคารอิสลามด้วยซ้ำไปเพราะมีสาขาทั่วประเทศ ในขณะที่ธนาคารอิสลามมีสาขาไม่มาก (ขณะนี้มีอยู่เพียง 30 กว่าสาขาเท่านั้น)  สาขาที่มีอยู่ก็มักอยู่ในตัวเมือง จะไปทำธุรกรรมกับธนาคารอิสลามก็ไม่ได้สะดวกเท่ากับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป

 

กระนั้นกระผมก็ขอยืนยันกับพระคุณเจ้าและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเลยว่าวิธีหาทุนของชาวมุสลิมในการสร้างมัสญิดเกือบทั้งหมดคือจัดงานน้ำชาการกุศลและออกร้านขายอาหารตลอดจนรับบริจาคจากชาวมุสลิมในประเทศไทยนี่เอง ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระคุณเจ้าว่ามาเลย จะมีบ้างก็น้อยมากจนแทบจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เสียเลย ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ป่านนี้มัสญิดในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ยังสร้างไม่เสร็จก็คงได้จัดงานฉลองเปิดป้ายกันไปหมดแล้ว แต่นี่ยังมีที่สร้างค้างยังไม่เสร็จอยู่อีกไม่ใช่น้อย ขนาดในกรุงเทพฯยังเป็นอย่างนี้ ต่างจังหวัดที่ไกลปืนเที่ยงไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีสภาพอย่างไร

 

ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนไปอย่างผิดถนัดคือ การจะสร้างมัสยิดนั้นต้องมีสัปปุรุษที่เป็นชาวมุสลิมมาร่วมทำละหมาดวันศุกร์ไม่น้อยกว่า 40 คนที่เป็นผู้ชาย และชุมชนใดที่มีมัสญิดรองรับในการประกอบศาสนกิจอยู่แล้ว ก็ย่อมไม่มีเหตุอันควรในการจะสร้างมัสญิดขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง ยกเว้นว่าชุมชนนั้นมีสัปปุรุษมากจนมัสยิดที่มีอยู่ไม่อาจรองรับในการประกอบศาสนกิจได้ ก็อนุโลมให้สร้างมัสญิดใหม่ได้

 

ซึ่งจะต้องไม่ลืมด้วยว่า การสร้างมัสญิดและดำเนินการขอจดทะเบียนตั้งมัสญิดตามพระราชบัญญัติอิสลามนั้นต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนั้นเสียก่อน เรียกได้ว่า พระราชบัญญัติอิสลามนี้ทำหน้าที่ควบคุมจำนวนมัสญิดอยู่โดยปริยายอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ได้เงินมานึกจะสร้างก็สร้าง มัสญิดนะขอรับ!ไม่ใช่เซเว่นอีเลฟเว่นหรือเทสโก้โลตัส จะได้สร้างกันง่ายๆ เพราะเหตุผลทางการตลาด

 

ครั้นสร้างแล้วแต่กลับไม่มีคนมาประกอบศาสนกิจก็ใช่ที่ บุคลากรหลักของมัสญิดไม่ได้มีแค่โต๊ะอิหม่าม โต๊ะคอเต็บ และโต๊ะบิหลั่นเพียงสามคน แต่ต้องมีสัปปุรษประกอบด้วย ไม่เหมือนวัดในพุทธศาสนาบางวัด มีพระจำวัดอยู่ 10 รูป บางวัดก็มีน้อยกว่านั้น ดังนั้นที่พระคุณเจ้ากล่าวว่า ปี 2557 ต้องมีมัสญิดทุกตำบลทั่วประเทศมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อหลายสิบจังหวัดในประเทศไทยโดยเฉพาะอีสานและภาคเหนือนั้นมีมุสลิมอาศัยอยู่น้อยมาก ในบางตำบลไม่มีมุสลิมอาศัยอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

 

ถ้าหากจะดำเนินการตามแผนที่อ้างว่ามีการปฏิวัติเป็นปฐมเหตุ สิ่งแรกที่ต้องทำไม่ใช่สร้างมัสญิดแต่ต้องนำเอาคนมุสลิมเข้าไปอาศัยอยู่ในทุกตำบลทั่วประเทศเสียก่อนให้ได้จำนวนอย่างน้อยก็ 10 หลังคาเรือนต่อหนึ่งตำบล เพราะถ้าตำบลใดไม่มีคนมุสลิมอยู่เลยแล้วจะไปสร้างมัสญิดขึ้นมาเฉยๆ เหมือนอนุสาวรีย์ทำไมกัน และการจะนำมุสลิมเข้าไปอยู่ในทุกตำบลให้ได้อย่างน้อย 10 หลังคาเรือนนี้ ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะต้องมีที่มีทางให้ปลูกที่อยู่อาศัย ต้องประกันว่าเมื่ออยู่ที่นั่นแล้วมีอาชีพทำกิน ก็ต้องถามต่อไปว่าแล้วจะเอาทุนที่ไหนไปซื้อที่เหล่านั้นกันทั่วประเทศ

 

ที่ว่ามาถึงที่ดินสามแสนกว่าไร่ในจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร และกำแพงเพชรนั้นพระคุณเจ้าแสดงความน่าเป็นห่วง กระผมก็มิทราบได้ว่าเป็นห่วงเรื่องอะไร  ถ้าจะให้เดาก็คงผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะอีกว่า ที่ดินสามแสนกว่าไร่นั้นมุสลิมเข้าไปถือครองหมดแล้วเพื่อดำเนินตามแผนการยึดประเทศไทย กระผมก็ใคร่ทราบว่า มุสลิมตระกูลใดหนอที่มีทรัพย์สินมากมายขนาดสามารถนำไปใช้ในการกว้านซื้อที่ดินเป็นแสนๆ ไร่

 

ลางทีพระคุณเจ้าคงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างในเรื่องนี้ ถ้าจะบอกที่ดินในจังหวัดดังกล่าวถูกพวกแขกกว้านซื้อไปเสียมากแล้ว ก็ต้องถามสืบสาวต่อไปว่า แขกที่เป็นนายหน้าขายที่ดินและเป็นเจ้าของที่ดินเป็นพันๆ ไร่นั้นเป็นแขกอะไร? คำตอบก็คือ แขกซิกข์ นั่นเองขอรับ แขกซิกข์ก็คือแขกซิกข์ ถึงแม้จะโพกหัวไว้เคราก็ไม่ใช่มุสลิม เป็นคนละพวก คนละศาสนากัน

 

พระคุณเจ้าคงจะทราบบ้างนะขอรับว่า ชาวซิกข์นี่เขาแข็งขันกันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้และรวมตัวกันเหนียวแน่น ช่วยเหลือคนของเขาในเรื่องการประกอบอาชีพ ธุรกิจที่ชาวซิกข์สามารถแข่งขันกับชาวไทยเชื้อสายจีนได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงก็คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการค้าที่ดิน โครงการบ้านจัดสรรและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสิ่งทอและการค้าผ้า ธุรกิจประกันภัยและธุรกรรมการเงินทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นต้น   เหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวซิกข์จะมีกำลังและศักยภาพในการซื้อที่ดินจำนวนมากเอาไว้ดำเนินธุรกิจของตน เรื่องนี้สอบไม่ยาก ถามข้อมูลไปยังสำนักงานที่ดินในจังหวัดดังกล่าวก็คงได้ทราบข้อเท็จจริงว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมหาศาลที่ว่ามา

 

มีอีก 2 กลุ่มที่เป็นต้นตำรับในเรื่องกว้านซื้อที่ดิน หนึ่งก็คือ นักการเมืองทั้งระดับส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น พวกนี้แหล่ะที่ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินมากมายจนมีโฉนดที่ดินเป็นฟ่อนๆ ในขณะที่ประชาชนคนเดินดินในจังหวัดนั้นๆ ไม่มีที่ทำกินจึงต้องตั้งม๊อบเข้ามาปักหลักสร้างหมู่บ้านชั่วคราวอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล เรื่องก็รู้ๆ กันอยู่ อีกกลุ่มหนึ่งนี่แหละของจริง คือกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนที่เป็นเจ้าของโรงสีข้าว โรงรับจำนำ รวมถึงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่กุมธุรกิจอาหารและแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร จำพวกน้ำตาลทราย มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม น้ำมัน และกาแฟ  ที่ต้องใช้พื้นที่เพาะปลูกจำนวนมากในการปลูกพืชวัตถุดิบ

 

นี่ยังไม่รวมพวกตระกูลแซ่ที่เป็นเจ้าสัวทั้งหลายซึ่งบางทีอาจจะมีที่ดินในการถือครองรวมกันเป็นล้านๆ ไร่ ไม่ใช่แค่แสนนะขอรับ กระผมว่าเอากลุ่มทั้งหมดมารวมกัน มีทั้งชาวซิกข์ นักการเมือง ในพื้นที่ทุกระดับ ตระกูลแซ่และรวมที่ดินของวัดที่เป็ธะรณีสงฆ์เข้าไปด้วยก็แทบจะหมดประเทศแล้วล่ะขอรับ พระเดชพระคุณ!

 

จากข้อมูลทะเบียนมัสญิดที่ฝ่ายกิจการศาสนาอิสลาม กองศาสนูปถัมภ์ ของกรมการศาสนารวบรวมเอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548 จังหวัดพิจิตรมีมัสญิดอยู่ที่ตัวอำเภอเมือง เพียง 1 แห่ง, พิษณุโลก มี 1 แห่ง ที่อำเภอเมือง, กำแพงเพชรไม่มีมัสญิดแม้แต่แห่งเดียว, สุโขทัยก็ไม่มีปรากฏเช่นกัน รวมถึงอุตรดิตถ์ด้วย กลุ่มจังหวัดที่พระเดชพระคุณอ้างมามีมุสลิมอยู่น้อยมากจนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ยกเว้นที่พิจิตรกับพิษณุโลกที่มีมุสลิมอาศัยอยู่บ้างในเขตอำเภอเมือง ซึ่งมุสลิมที่นั่นจะมีเชื้อสายปาทานซึ่งมักจะประกอบอาชีพในด้านปศุสัตว์และขายเนื้อ ส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการในพื้นที่

 

คนจำนวนเพียงหยิบมือนี้หรือที่จะมีกำลังทุนในการกว้านซื้อที่ดินได้เป็นแสนๆ ไร่ ดูจังหวัดพิจิตรนั่นปะไร นักการเมืองระดับชาติที่เรียกว่า เสธฯและตระกูลของท่านมีทั้งไร่องุ่นและฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศ และไร่องุ่นที่ว่านี้นั้นต้องใช้พื้นที่กี่ตารางวาในการปลูกองุ่นก็ลองพิจารณาดูเอาเถิด!

 

“ท่านไปข้างๆ ศิริราชนะครับ ลองไปดูครับ เช้าๆ เนี่ยครับ ตลาดที่ศิริราช ใกล้ๆ ศิริราช ถนนอรุณอัมรินทร์ มีคนไปซื้ออาหารเดี๋ยวนี้ครับ พูดไทยไม่ได้หรอกครับ ชี้เอาครับ ตามสถิติที่มีคนรายงานคือหมอที่โรงพยาบาลศิริราชมารายงานให้ผมฟังว่า มีอยู่ประมาณ 100 ครอบครัว ที่ทุ่งครุนั้นนะประมาณ 300 ครอบครัว ทุ่งครุที่ราษฎร์บูรณะนะครับ พวกอาเจ๊ะห์ทั้งนั้นแหละครับ ที่รู้ก็เพราะว่าเขาไปซื้อข้าวซื้อของนั่นเขาพูดไทยไม่ได้ แล้วเขาก็มาอยู่”

ข้อเท็จจริง  พระเดชพระคุณก็ฟังเขาเล่ามาอีกที ดูจะเป็นเรื่อง เขาเล่าว่า เขารายงานว่า ไปเสียทั้งหมด หมอที่ศิริราชนี่ก็เก่งจริง น่าจะเปลี่ยนอาชีพไปอยู่สำนักงานสถิติแห่งชาติ เพราะแค่เจอคนแปลกหน้ามาซื้อของที่ตลาดข้างโรงพยาบาลศิริราชก็สามารถคำนวณได้แล้วว่ามีคนแปลกหน้า พูดภาษาไทยไม่ได้ประมาณ 100 ครอบครัว สวนดุสิตโพล์กับเอแบคโพล์นี่อายไปเลยขอรับ

 

และคนจำนวน 100 ครอบครัวนี่มิใช่น้อยๆ คิดสาระตะว่ามีครอบครัวละ 3 คนเป็นอย่างน้อยก็ปาเข้าไป 300 คน คุณหมอศิริราชแกคงจะพูดภาษาของคนพวกนั้นได้กระมัง จึงได้สอบถามกันจนได้รายละเอียดนั้น และบ้านของคุณหมอก็คงอยู่ที่ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะจึงได้รู้ข้อมูลว่ามีพวกคนที่พูดไทยไม่ได้ประมาณ 300 ครอบครัว และอย่างที่ว่ามา คุณหมอแกเก่งจังพูดภาษาอินโดนีเซีย สำเนียงอาเจ๊ะห์ได้ด้วยถึงรู้ว่าคนพวกนั้นพูดภาษาอาเจ๊ะห์ และเป็นคนอาเจ๊ะห์ น่าจะย้ายไปเป็นล่ามประจำสถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทยเลยจะดีมั้ย

 

ที่ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลศิริราชนั้น พระคุณเจ้าหรือคุณหมอท่านนี้คงไม่ทราบกระมังว่า ย่านอรุณอัมรินทร์เป็นย่านชุมชนเก่าของชาวมุสลิมคลองบางกอกน้อยที่เป็นคนไทยแท้ตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า จึงไม่แปลกที่จะมีชาวมุสลิมออกมาเดินจับจ่ายซื้อของในตลาดแถบนั้น และถ้าหากจะมีมุสลิมต่างด้าวเข้ามาหลบอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกวันนี้มีต่างด้าวเข้ามาหลบอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมิใช่น้อย ซึ่งมิใช่มุสลิมเพียงอย่างเดียว พม่า เขมร และลาวก็มีถมถืดไป

 

เรื่องที่แปลกก็คือ ถ้ามีมุสลิมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างไม่ถูกกฎหมายทำไมคุณหมอจึงไม่ไปแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้มาดำเนินคดี เพราะตามที่บอกมีจำนวนถึง 100 ครอบครัวไม่ใช่คนสองคนถึงจะได้ไม่เอาเป็นธุระการจะสุ่มตัดสินคนเพียงแค่การสังเกตว่าเขาชี้มือชี้ไม้เวลาซื้อของโดยไม่พูดแล้วก็สรุปว่า พูดไทยไม่ได้ ไม่ใช่คนไทยเนี่ยะมันไม่เบาความไปหน่อยกระนั้นหรือ และการที่คุณหมอนำเรื่องไปรายงานพระเดชพระคุณแทนที่จะแจ้งตำรวจคนเข้าเมืองหรือสถานีตำรวจในท้องที่ ด้วยเหตุสงสัยว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายดูจะไม่ถูกกับกาลเทศะอยู่พอควร

 

กรณีที่ทุ่งครุ เขตราษฎร์บุรณะก็เช่นกัน ที่นั่นเป็นย่านชุมชนมุสลิมเก่าแก่ที่มีมาแต่ครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นที่ตั้งของอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย มีมัสญิดที่จดทะเบียนไม่น้อยกว่า 8 มัสญิด ชาวมุสลิมที่ทุ่งครุมีจำนวนมากที่สุดก็ว่าได้สำหรับพื้นที่ฝั่งแม้น้ำเจ้าพระยาซีกข้างโน้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีชาวมุสลิมค่อนข้างหนาแน่นตา และพบเห็นได้ทั่วไปในที่สาธารณะและตลาดในย่านนั้น

 

ที่พระคุณเจ้าบอกว่ามีประมาณ 300 ครอบครัวนั้น กระผมไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าหมายถึงพวกใด ถ้าเป็นมุสลิมเดิมในท้องที่ซึ่งเป็นคนไทยและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วออกอักขระได้ชัดแจ๋วยิ่งกว่าคนไทยพุทธเสียอีก ก็ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าหมายถึงมุสลิมต่างด้าวก็อาจจะมีปะปนกันไปเหมือนชุมชนมุสลิมทั่วไป มุสลิมพม่า มุสลิมบังคลาเทศ หรือแม้แต่โรฮิงญ่าก็คงจะมีเข้ามาอยู่ที่นั่นบ้าง ที่จะมีถึง 300 ครอบครัวนั้นก็ประมาณการตัวเลขไปสุดกู่แล้วล่ะขอรับ

 

ส่วนที่ว่าเป็นอาเจ๊ะห์ทั้งนั้นแหล่ะก็จนด้วยเกล้า ขอรับกระผม! ไม่ทราบจริงๆ ว่าคนที่รายงานพระเดชพระคุณเอาข้อมูลมาจากที่ไหน หรือว่าเดาสุ่มก็มิอาจทราบได้ ถ้ามีคนอาเจ๊ะห์เข้ามาอยู่ที่นั่นถึง 300 ครอบครัวก็คงจะได้เจอะเจอตัวกันบ้าง เพราะตัวกระผมเองก็เดินทางไปบรรยายศาสนธรรมย่านนั้นอยู่บ่อยครั้ง ก็ยังไม่เคยเจอคนอาเจ๊ะห์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนว่าจะมีอยู่จริงและมีมากขนาดนั้นก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในท้องที่ไปเลยขอรับ เพราะอาจจะเป็นพวกต่างด้าวหลบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

 

ส่วนที่พระเดชพระคุณกล่าวว่า “ที่รู้ก็เพราะว่าเขาไปซื้อข้าวซื้อของนั้นเขาพูดไทยไม่ได้” ก็ไม่ทราบเช่นกันว่า ที่ว่ารู้นั้นรู้จริงแค่ไหน รู้เพราะเขามีการเล่าลือ หรือรู้เพราะการอนุมานหรือว่าเพราะฟังตามกันมา รู้ที่ว่ามานี้ ยังเชื่อไม่ได้ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นจริงเสียก่อน พระเดชพระคุณก็คงจะรู้ดีว่ากว่าผู้ใดว่า เรื่องที่รู้แบบนี้ต้องใช้พระสูตรใดเป็นหลักในการพิจารณา (มา อนุสฺสเวน – มา – อิติกิราย – มา นัยเหตุ – มา ทิฎฐิ นิชฺฌานกฺขนฺติยา เป็นต้น)  ในเกสปุตฺตสุตร หรือกาลามสูตร นั้นงัยขอรับ!

 

“เมื่อสักอาทิตย์ที่แล้ว ท่านเจ้าคุณพระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวามาบอกว่า ตึกสูงๆ ข้างวัดท่านนะฮะ มุสลิมกำลังจะซื้อครับ ให้ได้ใกล้วัดยานนาวามากที่สุด แล้วก็จะเปิดเสียงเวลาทำละหมาด วันหนึ่งก็ห้าครั้ง เขาก็จะเปิดเสียงเข้าวัด วัดยานนาวาจะขอปรับปรุงสร้างโบสถ์ใหม่ กรมศิลปากรก็ไม่อนุมัติ แต่เขามีตึกสูงอยุ่นั่นนะ สูงใกล้วัดเลยครับ…”

ข้อเท็จจริง  มุสลิมพวกไหนล่ะขอรับ! ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลยถึงจะได้ไปซื้อตึกสูงข้างวัดยานนาวาเอามาทำมัสญิด ทั้งๆ ที่แถบถนนเจริญกรุงไล่ตั้งแต่เขตสาธร ยานนาวา บางคอแหลม เรื่อยไปจนถึงถนนตกมีมัสญิดอยู่ใกล้กันเรียงเป็นตับ ตั้งแต่ มัสญิดฮารูน มัสญิดบ้านอู่ มัสญิดตรอกจันทร์ บาหยัน แม่บางนอก แม่บางใน อัล-อะตีก อัส-สะละฟียะฮฺ อัมมันนฤมิตร และลิวาอุ้ลอิสลาม สาธุประดิษฐ์  มีมัสญิดเหล่านี้เรียงรายอยู่สลับไปกับวัดและโรงแรมขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

 

แล้วด้วยเหตุใด คนมุสลิมพวกนั้นถึงต้องไปซื้อตึกสูงข้างวัดยานนาวาเอามาทำเป็นมัสญิด แล้วเปิดเสียงอะซานใส่วัดรบกวนพระสงฆ์องค์เจ้าวันละ 5 ครั้ง คนมุสลิมพวกนั้นจะทำเรื่องที่ไม่เอาไหนเช่นนี้ไปทำไมกัน ซื้อตึกสูงในย่านนั้นคงไม่ใช่บาทสองบาท คิดได้อย่างไรจะซื้อตึกที่มีราคาแพงลิบลิ่วเอามาทำมัสญิด ทั้งๆ ที่มีมัสญิดอยู่เป็นทิวแถว

 

ถ้าคิดทำเช่นนั้นจริงกระผมคนนึงแหล่ะที่ไม่เห็นด้วย และต้องว่ากล่าวกันให้รู้สำนึกว่าที่คิดจะทำนั้นบ้องตื้นและเขลาปัญญาสิ้นดี  ด้วยหลักบัญญัติของศาสนานั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว ประการหนึ่ง ผิดธรรมเนียมที่คนมุสลิมทั่วไปในบ้านนี้เมืองนี้เขาปฏิบัติกันประการหนึ่ง สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยเพราะเอาเงินมาทุ่มซื้อตึกเล่น ประการหนึ่ง สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น อีกประการหนึ่ง และชาวมุสลิมในย่านนั้นซึ่งมีอยู่มากพอควรก็คงไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ไร้สาระเช่นนั้น มัสญิดที่มีอยู่ก็เหลือเฟืออยู่แล้ว ดันจะมาซื้อตึกสูงทำมัสญิดเพื่อเปิดเสียงเรียกคนมาละหมาดเสียอีก มิหนำซ้ำหันลำโพงเข้าวัดยานนาวาจะให้พระสงฆ์องค์เจ้ามาละหมาดที่ตึกนั่นหรืองัยกัน ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง

 

วัดยานนาวาของท่านเจ้าคุณพระพรหมวชิรญาณ เป็นวัดใหญ่มีประวัติเก่าแก่สืบเนื่องด้วยล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์จากวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยา ชื่อวัดคอกควายหรือวัดคอกกระบือ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์มีฐานเป็น “ยานนาวา” แบบสำเภาจีน มีขนาดเท่าและลักษณะเหมือนของจริงทุกประการ แล้วโปรดพระราชทานนามวัดว่า “วัดยานนาวา”

 

ที่ทรงให้สร้างเจดีย์รูปแปลกตาไม่เหมือนสถูปหรือพระปรางค์หรือเจดีย์ทรงคุ้นตาทั่วไปเอาไว้ที่วัดนี้ ก็เนื่องจากคนรุ่นหลังจะได้เห็นว่าสำเภาจีนมีหน้าตาและลักษณะอย่างไร จะได้จดจำและไม่ลืมประวัติศาสตร์การพาณิชย์นาวีของสยามประเทศที่เกี่ยวพันกับทางจีนที่มีมานับแต่โบราณ เพราะสมัยนั้นสำเภาจีนกำลังจะหมดสมัย และเรือกำปั่นต่อแบบฝรั่งกำลังเข้ามาแทนที่ วัดยานนาวาจึงเป็นวัดสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ของชาติอีกประการหนึ่งด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน และก็เป็นข้อเท็จเสียมากกว่าขอรับกระผม เพราะไม่มีความจำเป็นที่มุสลิมจะต้องไปกระทำเรื่องที่สัปดนและพิเรนทร์แบบนั้น

 

บริเวณที่ตั้งของวัดยานนาวาจะคาบเกี่ยวกับเขตพื้นที่ บางรัก สาธร ยานาวา บางคอแหลม ในพื้นที่ทั้ง 4 เขตนี้รวมกันมีมัสญิดที่ตั้งอยู่แต่เดิมแล้วคือ บางรักมีมัสญิด 3 แห่ง สาธร มี 1 แห่ง ยานนาวา 2 แห่ง บางคอแหลมแถบเจริญกรุง – ถนนตกนี่มีมัสญิดถึง 7 แห่ง รวมทั้งหมด 4 เขต มีมัสญิดอยู่แล้ว 13 แห่ง จึงเป็นเรื่องที่ไม่กินกับปัญญาที่จะมีคนไปซื้อตึกสูงซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอาคารพาณิชย์ คอนโด หรือโรงแรมกันแน่ เอามาทำเป็นมัสญิดอีก

 

ส่วนถ้าหากว่ามุสลิมที่มีสตางค์เขาจะซื้อตึกเพื่อทำธุรกิจก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า เรื่องนี้ว่าเอาเองเป็นตุเป็นตะเพื่อชวนให้พุทธศาสนิกชนที่ร่วมฟังเกิดความวิตกและมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีมูลและไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เรื่องเสียงประกาศจากมัสญิด (อะซาน) เพื่อเรียกร้องเชิญชวนมุสลิมมาร่วมทำละหมาดที่มัสญิดนี้เป็นเรื่องของพิธีกรรมทางศาสนา และประเทศไทยก็ให้เสรีภาพทางศาสนาแก่พลเมืองของตน  เพียงแต่ว่า เสรีภาพที่ว่านี้มีขอบเขตจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น 

 

แถวบ้านของกระผมนั้นวัดวาอารามในพุทธศาสนาอยู่คนละฝั่งคลองกับมัสญิด  เช่น แถวถนนอ่อนนุช วัดไทรย์อยู่ฝั่งหนึ่ง  มัสญิดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง  มีคลองประเวศบุรีรมย์คั่นกลางอยู่เท่านั้น  ไม่ได้มีปัญหาต่อกันเลย  แถวคลองแสนแสบถนนรามคำแหง วัดกับมัสยิดอยู่ฝั่งเดียวกันด้วยซ้ำ  เวลาเดินมามัสญิดก็จะเห็นโดมและหออะซานมองถัดไปเพียงแค่ 3 เสาไฟฟ้า (ริมคลอง) ก็เห็นช่อฟ้าใบระกาของพระอุโบสถวัดโผล่ให้เห็นอย่างชัดเจน  ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ในศาสนาของตนไป  แต่เมื่ออยู่ใกล้กันก็ช่วยเหลือเกื้อกูลอาศัยกันพราะเป็นคนไทยด้วยกัน เมื่ออยู่กันอย่างปรองดองแล้วก็อย่ายุยงเสี้ยมให้ผิดใจกันเลย  รังแต่จะเสียหายนะขอรับ พระเดชพระคุณ!

 

“ที่วัดผมก็มีครับ มันมาขอเช่า เราก็ไม่ให้เช่า ไปๆ มาๆ มันก็ไปแต่งงาน แล้วไอ้คนพุทธนะครับซึ่งมันเป็นเขยมันมาเช่าวัด  เราก็ไม่รู้ครับ ทำสัญญาไปแล้ว นี่อีกสามปีถึงจะหมดสัญญา”

ข้อเท็จจริง   “มัน” ที่พระเดชพระคุณเอ่ยถึงก็คงเป็นมุสลิมอีกกระมัง  แล้ว “มัน” จะมาเช่าที่วัดของพระเดชพระคุณทำมัสญิดหรือว่าอย่างไร?  ถ้า “มัน” ผู้นั้นจะมาขอเช่าเพื่อทำมัสญิดแล้วปล่อยเสียงที่ว่าวันละ 5 ครั้งใส่เข้าในวัดก็สมควรแล้วขอรับที่พระคุณเจ้าไม่ให้มันเช่าน่ะถูกต้องแล้วขอรับ เพราะมันพิเรนท์และสัปดนมากเอาการอยู่ 

 

ถ้าคนมุสลิมมันคนนั้นจะสร้างมัสญิดบนที่ธรณีสงฆ์หรือที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของวัดก็สมควรประณามมัน  เพราะคนมุสลิมในบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรือแม้แต่จะคิดเรื่องสัปดนเช่นนี้  มัสญิดจะเป็นมัสญิดที่ถูกต้องตามบัญญัติของศาสนาอิสลามได้จะต้องเป็นไปด้วยการอุทิศสถานที่สร้างหรือผืนดินเพื่อสร้างมัสยิด  มันแปลกนะขอรับ  สร้างมัสญิดบนที่ดินของวัดแล้วก็จ่ายค่าเช่าบำรุงวัด!

 

และเมื่อสร้างมัสญิดโดยการอุทิศ  ทั้งๆ ที่เช่าเขาอยู่  การอุทิศที่ดินที่มิใช่กรรมสิทธิ์ของตนมันผิดบัญญัติในศาสนาอิสลาม  และการอุทิศในเรื่องมัสญิดนี้ไม่มีกำหนดเวลานะขอรับ  อุทิศแล้วจะเอาคืนก็ไม่ได้  จะยกให้ก็ไม่ได้  ขายก็ไม่ได้  รับมรดกก็ไม่ได้  เพราะเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้วตราบถึงวันสิ้นโลก  แต่นี่มีสัญญา 3 ปี  ใครทำเรื่องอย่างนี้ก็บ้าแล้ว 

 

ส่วนถ้าว่าเจ้าคนมุสลิมคนนั้นมันอาศัยพ่อตาของมันที่เป็นคนพุทธให้มาติดต่อขอเช่าที่ดินทางวัดของพระเดชพระคุณ  อันนี้ก็เป็นเรื่องของมันแล้วล่ะขอรับ  และพระคุณเจ้าก็สบายใจได้  เพราะคนมุสลิมประเภทแบบนี้ที่แต่งงานกับคนต่างศาสนิกเพื่ออยากจะได้เช่าที่วัดอยู่ใกล้ๆ วัดเนี๊ยะ มันไม่เข้ามัสยิดอยู่แล้ว เผลอๆ อยู่นานไปก็กลายพันธุ์ไม่เหลือความเป็นมุสลิมอยู่อีกก็เป็นได้  (วัลอิยาซุบิลลาฮฺ) 

 

ถ้าพระคุณเจ้าจะกรุณาเวทนาสงสารมันก็โปรดอย่าต่อสัญญาเช่าที่ดินวัดให้กับมันอีกเลย  ถือว่าโปรดสัตว์ก็แล้วกัน   ถ้ามันดื้อดันทุรังจะอยู่ที่วัด  พระคุณเจ้าก็กรุณาเทศน์ให้มันฟังสักกัณฑ์หนึ่งเถิด  เผื่อว่ามันจะมีดวงตาเห็นธรรม  บอกมันไปเลยขอรับ  “ที่อาตมาไม่ต่อสัญญาให้โยมเนี่ยะ ก็เพราะอาตมาหวังดี ด้วยโยมเป็นมุสลิม และที่ดินของวัดก็เป็นของชาวพุทธ ไม่ควรเลยที่โยมจะมาอาศัยอยู่ที่นี่

ขอให้โยมพาครอบครัวของโยมไปหาที่ดินของมัสญิดที่เขามีให้เช่าเถิด  อาจจะไกลสักหน่อยแต่ก็เป็นการดีสำหรับโยมและครอบครัวจะได้อยู่ในบรรยากาศของศาสนาที่โยมนับถือ  จะได้เข้ามัสญิดสม่ำเสมอ  ศาสนกิจก็ไม่เสียหาย  ศรัทธาที่มีต่อศาสนาของโยมก็จะได้เข้มแข็ง  ครั้นโยมจะดันทุรังอยู่ที่นี่  แล้วโยมกับลูกจะละหมาดที่ไหน 

คนมุสลิมต้องเรียนเรื่องศาสนาตั้งแต่เด็กๆ มิใช่หรือ  แล้วลูกของโยมจะเรียนคัมภีร์ในศาสนาโยมได้อย่างไร  ที่นี่มันวัดนะโยม  มีแต่เสียงสวดภาษาบาลี  มีแต่สอนคัมภีร์พระไตรปิฎก  จึงขอให้โยมคิดดีๆ เมียและลูกของโยมจะได้เป็นมุสลิมที่ดี   ซึ่งมันจะดีไปไม่ได้ถ้าโยมยังยืนกรานจะอยู่ที่นี่  เว้นเสียแต่โยมปลงใจไม่ต่อสัญญาเช่าและขอขยับขยายย้ายครอบครัวของโยมไปเช่าที่มัสยิด  อันเป็นที่ชอบๆ ของโยมนั่นแหละดี  อาตมาก็ขออนุโมทนาสาธุกับโยมด้วย  ถ้าตัดสินใจเช่นนั้น เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”

 

บอกมันไปเลยครับพระเดชพระคุณ เทศน์ให้มันฟัง!  หากเทศน์ให้มันฟังแล้วมันยังยืนกรานขออยู่ที่วัด  ก็กรุณาอย่าต่อสัญญาให้มันอีก  ถ้าพระเดชพระคุณเคยรู้จักโต๊ะอิหม่ามคนใดก็กรุณาอนุเคราะห์มันอีกสักครั้ง  ติดต่อโต๊ะอิหม่ามให้มาคุยกับมันเผื่อว่ามีที่มีทางของมัสญิดจะให้มันอยู่อาศัยอยู่  มันจะได้ไปเสีย ไปจากที่ธรณีสงฆ์นั่น  แต่ถ้ามันดื้อแพ่งรักวัดมากกว่ามัสญิดก็คงต้องปล่อยมันไปตามยถากรรมแล้วล่ะขอรับ! 

 

อ่อ !  กระผมลืมเรียนให้พระเดชพระคุณทราบ  มีคนพุทธมิใช่น้อยที่เช่าที่ดินของชาวมุสลิม  บางส่วนก็เช่าอาคารหอพักที่เป็นของมัสยิด  แต่มุสลิมไม่เคยเรียกชาวพุทธเหล่านั้นว่า มัน นะขอรับ  มุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนาเขาจะไม่อยู่ที่วัดกันนะขอรับ แต่ถ้าชาวพุทธมาขอเช่าอยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพที่ไม่ผิดหลักศาสนา มุสลิมเขาไม่ถือขอรับ!

 

“ซึ่งในปัจจุบันนี้เราจะพบว่า  หนึ่ง มีประชากรมุสลิมเพิ่มเป็นล้านคนอย่างรวดเร็ว  และในปัจจุบันนี้มุสลิมได้กระจายไปอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือ  แผนการต่อไปนั้น  เขาก็คิดว่าทำอย่างไรที่จะให้ชาวพุทธต่อชาวพุทธนั้นนะ  ประหัตประหาร  ทะเลาะเบาะแว้งกัน  โดยระบุไว้ว่า  วันที่ไทยจะเศร้าที่สุดก็คือวันที่ชาวพุทธของเรานะมาประหัตประหารกันเอง  แล้วเขาก็ดูอยู่ข้างเวที”

ข้อเท็จจริง ประเด็นเรื่องประชากรมุสลิมเพิ่มเป็นล้านคนอย่างรวดเร็วนี่ถ้าเป็นจริงตามที่พระเดชพระคุณว่า กระผมก็ขอสรรเสริญต่อพระองค์อัลลออฮฺที่ทรงบันดาลให้เป็นเช่นนั้น  แต่ไฉนหนอตัวเลขประชากรมุสลิมที่สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุเอาไว้ไม่ยักก็เพิ่มดังว่า  ประชากรมุสลิมก็อยู่ที่ 3%  จากประชากรทั้งหมดของประเทศ  ชาวพุทธก็ยังคงรักษาสถิติเอาไว้อย่างเหนียวแน่นที่ 95%  ไม่ได้เลยลดลง  เปอร์เซ็นต์ของชาวมุสลิมก็คงอยู่เพียง 3%  ไม่ขยับเสียที 

 

นี่ขนาดว่าโยมมุสลิมไม่คุมกำเนิดและพยายามเพิ่มประชากรลูกหลานกันอย่างแข็งขัน  แต่ตัวเลขก็แถบจะไม่ขยับเอาเสียเลย  จนอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆ กัน  พอไปดูตามโรงพยาบาลเด็กของรัฐและศูนย์สาธารณสุขที่เปิดบริการตรวจเด็ก  ฉีดวัคซีน  ก็เพิ่งมาถึงบางอ้อว่า  ให้ทำลูกกันแทบตายก็สู้พี่น้องชาวพุทธไม่ได้อยู่ดีเพราะคนที่มาใช้บริการและหอบลูกจูงหลานมาด้วยเป็นชาวพุทธทั้งน๊านเลยขอรับ  ที่เห็นเป็นผู้หญิงคลุมหัวแบบมุสลิมนี่ นานๆ จะโผล่มาแค่คนสองคน

 

แต่พอมาเจอข้อมูลตัวเลขของพระเดชพระคุณที่ว่าเพิ่มเป็นล้านคนอย่างรวดเร็วก็ใจชื้นขึ้นบ้าง  แสดงว่ามุสลิมนี่ซุ่มทำลูกเพิ่มประชากรของตนกันแบบเงียบๆ ซุ่มจริงๆ พี่น้องเรา   ว่าแต่ว่า ตกลงกระผมจะเชื่อข้อมูลตัวเลขประชากรของฝ่ายไหนดีล่ะขอรับ! ระหว่างสำนักงานสถิติแห่งชาติกับข้อมูลของโฆษกมหาเถระสมาคม

 

กระผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้พระสงฆ์ท่านออกบิณฑบาตรและสำรวจสำมะโนประชากรไปด้วยจึงมีตัวเลขและข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐไม่มี  ซึ่งดูแล้วตัวเลขของฝ่ายสงฆ์ท่านคงน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะมีพระสงฆ์อยู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทยรวมแล้ว 2 แสนรูป  บุคลากรของฝ่ายพระสงฆ์ท่านมีมากกว่าเจ้าหน้าที่ของภาครัฐหลายเท่า  เหตุนี้จึงได้ข้อมูลที่เป็นจริงและแม่นยำมากกว่า  และกระผมจะดีใจมาก  ถ้าข้อมูลของพระเดชพระคุณเป็นข้อมูลที่เป็นจริง 

 

กระผมขอเรียนให้ทราบว่าขณะที่องค์กรและสถาบันทางพระพุทธศาสนากำลังเป็นห่วงและหวั่นกับการเพิ่มของประชากรมุสลิมอยู่นั้น  พวกท่านเคยสังเกตหรือไม่ว่า  ยังมีศาสนิกชนของอีกศาสนาหนึ่งซึ่งเป็นศาสนาใหญ่ที่สุดของโลกกำลังเพิ่มจำนวนประชากรในศาสนิกของตนอยู่เงียบๆ และการเพิ่มของจำนวนศาสนิกชนในศาสนานั้นผ่านระบบการศึกษาของชาติประการหนึ่ง  ผ่านการสังคมสงเคราะห์อีกประการหนึ่ง  ผ่านสื่อและวงการบันเทิงซึ่งมีอิทธิพลต่อเชาวชนอีกประการหนึ่ง 

 

ถ้าพระคุณเจ้าทั้งหลายจะดูประเทศเกาหลีใต้เอาไว้เป็นตัวอย่างก็คงจะได้เห็นว่าในขณะที่พระคุณเจ้าทั้งหลายกำลังมองว่าชาวมุสลิมคือผู้ที่คุกคามพระพุทธศาสนาทั้งๆ ที่เราทั้งชาวพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันมาบนผืนแผ่นดินนี้นับแต่มีชาติไทย คนพุทธในทุกวันนี้มีหลายสิบหลายร้อยตระกูลก็สืบเชื้อสายโลหิตมาจากบรรพบุรุษที่เป็นมุสลิม

 

เอาเพียงแค่ 2 ตระกูลก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นข้อยืนยันในเรื่องนี้  ตระกูล “บุนนาค” กับ “ณ พัทลุง”  ลองสืบดูสิขอรับเถือกเถาเหล่ากอของสองตระกูลนี้เป็นผู้ใด ถึงแม้ว่าเราจะถือศาสนาต่างกันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเป็นญาติโดยสายเลือด  การถือกันคนละศาสนาย่อมไม่อาจนำมาอ้างเป็นเหตุว่าไม่ใช่พี่น้องร่วมสายโลหิตกันฉันใด คนเป็นพี่เป็นน้องกันก็ย่อมไม่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรู  และคนที่เป็นพี่น้องกันย่อมไม่กล่าวหากัน 

 

ถ้ามุสลิมจะเป็นน้อง ถ้าคนพุทธจะเป็นพี่  ศาสนาที่น้องถือก็ไม่ได้สอนให้ระรานพี่  และน้องก็ไม่เคยย่อท้อที่จะร่วมแรงร่วมใจกับพี่ในการปกป้องผืนแผ่นดินของบรรพบุรุษร่วมกัน  เรื่องจริงในประวัติศาสตร์เป็นเช่นนี้  ลองตรองดูสิว่าผืนแผ่นดินไทยนี้คนนับถือศาสนาใดกันที่มันมายื้อแย่งเอาไปจนเหลืออยู่เท่าที่มีในทุกวันนี้!  ทั้งๆ ที่ศาสนาของคนพวกนั้นไม่ได้สอนให้ไปเบียดเบียนแย่งชิงแผ่นดินของคนชาติอื่น  แต่คนพวกนั้นใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ 

 

ระวังเถิด ! ตาอินกับตานาทะเลาะกัน  สุดท้ายตาอยู่ชุบมือเปิป! ตอนนี้ตาอยู่กำลังเดินแผนของตนอยู่เงียบๆ  ด้วยการดึงบริวารของตาอินไปเป็นพวกของตนไปมากต่อมากแล้ว  แต่ตาอินกลับมองว่าตานามันเป็นคนทำ  มันวางแผน  พอตอนจบทั้งตาอินกับตานาก็พลอยอับจนไปด้วยกันทั้งคู่

 

ดูสิ !  ถ้อยคำของพระเดชพระคุณที่เอ่ยว่า ทุกวันนี้มุสลิมได้กระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศเรา ฟังดูเหมือนว่า พวกมุสลิมเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนไทยมุสลิมร้อยละ 90 มีเชื้อสายมลายูก็จริง  แต่กรุณาทบทวนสักนิดเถิดว่า คนมลายูนี่เข้ามาอยู่ในแหลมมลายูก็คือส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมินี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  มิใช่เพิ่งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เพียงแค่หนึ่งชั่วอายุคน  กลายเป็นว่ายอมรับกันสนิทใจว่าเป็นเจ้าของประเทศ  แล้วไอ้ที่อยู่กันมาเป็นหลายศตวรรษน่ะมันกลายเป็นคนแปลกหน้าพลัดถิ่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! 

 

พระเดชพระคุณเรียกว่า ประเทศของเรา โดยมุ่งหมายคำว่า เรา เฉพาะชาวพุทธกระนั้นหรือ  ชาติพันธุ์มันอยู่ตรงแผ่นดินนี้มาก่อนพระพุทธศาสนาจะเข้ามานมนานกาเล ก่อนหน้าที่พระเจ้าอโศกมหาราชและพระมหาเถระจะได้ส่งพระธรรมทูต 2 รูป คือ พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมินั้น เราซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชาวพุทธแล้วต่อจากนั้นก็กลายเป็นมุสลิมส่วนหนึ่งต่างก็อยู่ในดินแดนนี้มาด้วยกันมิใช่หรือ 

 

เราเป็นชาติพันธุ์เดิมที่อยู่ที่นี่ ครั้นเมื่อเรานับถือเสื่อมใสต่างกันในชั้นหลังก็ถือเอาเป็นเหตุมาแบ่งแยกผืนแผ่นดินนี้กระนั้นหรือ ! ฝ่ายหนึ่งไปได้ทั่วจากเหนือจรดใต้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไปไม่ได้หรือ  จะขึ้นเหนือจะไปอีสาน กลายเป็นข้อขัดข้อง  ทั้งๆ ที่แผ่นดินนี้ก็เป็นของเราเหมือนกัน !

 

ชุมชนที่กระผมอยู่เป็นชุมชนมุสลิมมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ก่อนย้อนกลับไปเพียง 30 ปี มีมุสลิมอาศัยอยู่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ มีพี่น้องชาวพุทธที่เป็นคนไทยพุทธอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน  พี่น้อง เชื้อสายจีนนั้นมีอยู่พอควร  ทำสวนผักกับเป็นล่ำเป็นสัน  แต่ผอมาทุกวันนี้มีพี่น้องคนไทยจากอีสานและต่างจังหวัดเข้ามาอยู่กันกลาดเกลื่อน  ถ้ากระผมจะกล่าวหาย้อนกลับบ้างล่ะขอรับ ว่านี่เป็นแผนของชาวพุทธในการสลายชุมชนมุสลิม พระคุณเจ้าจะว่ากระไร?

 

เรื่องที่รัฐบาลไทยนำพี่น้องชาวอีสานและจังหวัดอื่นๆ เทครัวเอาไปไว้ที่ 3 จ.ช.ต.  เมื่อครั้งมีบรรดาจอมพลเป็นนายกรัฐมนตรี  เอาไปไว้ที่โน่นเป็นแสนคน เป็นแผนการยึดครองพื้นที่ทำกินของชาวมุสลิมภาคใต้โดยการนำชาวพุทธเข้าไปตั้งชุมชนอยู่ท่ามกลางชาวมุสลิมใช่หรือเปล่าล่ะขอรับ  ถ้าจะกล่าวหากัน  กระผมว่ากรณีหลังนี่น่าจะเป็นรูปธรรมมากที่สุด  คือชาวพุทธมีแผนการยึดครองพื้นที่ของมุสลิมโดยอาศัยนโยบายของรัฐบาล  กระผมจะว่าอย่างนี้บ้างแล้วชาวพุทธที่ไปอยู่ที่นั่นเขาจะคิดอย่างไร 

 

เรื่องมันก็เข้าอีหรอบเดียวกัน  ถ้าชาวมุสลิมที่กระจายไปอยู่ทุกภูมิภาคโดยเฉพาะภาคเหนือเป็นคนไทยเหมือนกันแล้วก็อย่ากล่าวหากันเลยขอรับ  คนไทยจะไปลงหลักปักฐานในพื้นที่ใดของผืนแผ่นดินไทยมันจะต้องมีแผนการร้ายแอบแฝงอยู่ด้วยหรือ?  หรือว่านี่เป็นสิทธิเฉพาะของคนไทยพุทธเพียงกลุ่มเดียว  แต่ถ้าคนไทยที่ไม่เป็นชาวพุทธไม่มีสิทธิในการโย้กย้ายถิ่นฐานไปยังส่วนอื่นของประเทศที่ตนก็เป็นพลเมืองอยู่เช่นกัน  แล้วความเสมอภาคของพลเมืองเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนล่ะขอรับ พระเดชพระคุณ!

 

กรณีที่กล่าวหาว่า ชาวมุสลิมมีแผนการทำลายพี่น้องร่วมชาติด้วยการให้ประหัตประหารกันเอง   ข้อนี้สาหัสสากรรณ์นัก  ตกลงว่าถ้าคนพุทธไม่สามัคคีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงจนถึงขั้นทำลายกันเอง  ก็โยนความผิดให้กับชาวมุสลิมทุกครั้งไปกระนั้นหรือ?

 

ถ้าคนจำนวน 95%  ของประชากรทั้งหมดในประเทศอ่อนแอและแตกสามัคคีเพราะถูกคนมุสลิมที่มีเพียงแค่ 3% ปั่นหัวและใช้แผนทำลายชาติอย่างที่กล่าวตู่มาและทำได้สำเร็จแล้วละก็  กระผมขอเรียนพระเดชพระคุณแบบตรงๆ เลยว่า ก็สมควรแล้ว !  เพราะมีจำนวนมากกว่าเสียปล่าว มีความได้เปรียบทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง อำนาจการปกครอง  แสนยานุภาพทางการทหาร 

 

มีพร้อมทุกอย่างแต่ก็ยังแพ้ให้แก่กลุ่มคนเพียงหยิบมือที่เป็นรองทุกประตู  ถึงขนาดนี้แล้วยังแพ้ยังเสียรู้เขาก็ยกประเทศนี้ให้คนส่วนน้อยปกครองไปเสียดีกว่า  เพราะว่าชนส่วนใหญ่ไม่เอาไหน  ไม่สามารถนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติที่ใหญ่หลวงได้!  ก่อนที่เราจะโยนความผิดให้คนอื่นเป็นแพะรับบาป ไฉนเราไม่หวนกลับมาพิจารณาดูตัวของเราเองเสียก่อนเล่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วเหตุใดเราจึงไม่ใช้ปัญญาเล่า  อติโรจติ ปัญฺญยาย สมฺมาสมฺพุทธสาวโก สาวกของพระพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรื่องด้วยปัญญา มิใช่หรือ!

 

ควรแล้วหรือที่พระคุณเจ้าซึ่งเป็นพุทธสาวกผู้ประกาศเผยแพร่พุทธธรรมจะหลงลืมพุทธพจน์ที่ปรากฏในโอวาทปาติโมกข์ว่า “อนูปวาโท  อนูปฆาโต  ปาฏิโมกเข  จ  สำโร”  ซึ่งมีเนื้อหาสรุปว่า “ในการประกาศเผยแพร่ศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดๆ ผู้เผยแพร่ไม่ควรพูดให้ร้าย  และตำหนิติเตียนศาสนาอื่น  ไม่ควรทำร้ายผู้ประกาศศาสนาหรือศาสนิกของศาสนาอื่น”

 

ดูเอาเถิด พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแก่ภิกษุทั้งหลายที่ อชปาลนิโครธ  ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ว่า :   “ภิกษุทั้งหลาย !  คนเราแม้เป็นผู้เฒ่าจะมีอายุ 80, 90, 100 ปี  โดยกำเนิดก็ดี แต่เขามีคำพูดไม่เหมาะแก่กาล พูดไม่จริง  พูดไม่มีประโยชน์  พูดไม่เป็นธรรม  พูดไม่เป็นวินัย  กล่าววาจาไม่มีเหตุ ไม่มีที่อิง  ไม่มีที่สิ้นสุด  ไม่ประกอบด้วยประโยชน์  คนผู้นั้นย่อมถูกนับว่าเป็น “เถระผู้พาล”  โดยแท้   (คัดจากบาลีพระพุทธภาษิต จตุกฺก องฺ 21/28/22)

 

ผู้เขียนขอทิ้งท้าย ณ เบื้องนี้ว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพุทธบริษัทร่วมกันทำนุบำรุงสืบต่ออายุพระศาสนา  มุสลิมซึ่งเป็นคนในชาติเดียวกันกับพุทธศาสนิกชนจะสืบสานคำสอนและดำรงตนอยู่ได้ในกรอบบัญญัติแห่งศาสนาก็ด้วยการที่ชาติและแผ่นดินเกิดดำรงอยู่อย่างเป็นปกติสุข 

 

คราใดคนในชาติเบียดเบียนและประหัตประหารกันเอง  ไม่ว่าจะเป็นพุทธกับพุทธ หรือมุสลิมกับมุสลิม หรือพุทธกับมุสลิม  ครานั้นคนในชาติทั้งพุทธและมุสลิมก็ย่อมวิบัติเสียหายไปพร้อมกับชาติที่อัปปางลงไปนั้นโดยถ้วนทั่วไม่มีผู้ใดรอดพ้นเลย  แม้ผู้ที่รอดจากความวิบัตินั้นก็ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข  หาความสงบในชีวิตบนแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟนั้นไม่ได้เลย !

 

เช่นเนี้แล  กระผมได้บอกกล่าวและแจกแจงแล้วว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ
ต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับผู้อ่านเองว่าจะเกิดสติรู้ตัว  มีปัญญารู้คิดหรือไม่?

 

والله ولي التو فيق والهداية