เขาว่า …“อิสลามเผยแพร่ด้วยคมดาบและสงคราม”

ความจริง 3 ปีแรกแห่งการเริ่มต้นเผยแผ่ศาสนาของนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) ในนครมักกะฮฺ คาบสมุทรอารเบีย ทำไมนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) จึงต้องเผยแผ่ศาสนาอย่างลับๆ   แล้ว 10 ปีต่อมาในนครมักกะฮฺมุสลิมจึงถูกกดขี่และถูกกระทำทารุณกรรมจากผู้ปกครองมักกะฮฺ หากอิสลามเริ่มต้นการเผยแผ่ด้วยคมหอกคมดาบจริงอย่างเขาว่า ตลอดระยะเวลา  13 ปีที่นครมักกะฮฺ ทำไมมุสลิมไม่จับดาบและอาวุธขึ้นสู้กับพลเมืองมักกะฮฺที่ปฏิเสธศรัทธาเล่า?’


และชาวเมืองยัษริบ (มะดีนะฮฺ) จำนวนหนึ่งที่เข้ารับอิสลามในชวงปีที่ 12 และ 13 แห่งการประกาศศาสนานั้น พวกเขาถูกมุสลิมในมักกะฮฺซึ่งกำลังถูกคุกคามเอาชีวิตจากผู้ปฏิเสธศรัทธาเอาดาบมาจี้คอหอยให้ยอมรับอิสลามกระนั้นหรือ ? และศาสนาอิสลามไปถึงนครยัษริบหลังชาวเมืองยัษริบกลุ่มนั้นกลับสู่นครยัษริบแล้ว พลเมืองยัษริบตอบรับอิสลามด้วยความยินดีก่อนนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) จะอพยพลี้ภัยออกจากนครมักกะฮฺเสียอีก

แล้วเหตุไฉน? นบีมุฮัมมัดและเหล่าสาวกของท่านในนครมักกะฮฺจึงต้องยอมละทิ้งบ้านเรือนและทรัพย์สินของตนลี้ภัยไปยังอบิสสิเนีย (เอธิโอเปีย) และนครยัษริบ (มะดีนะฮฺ) ด้วยเล่า ? หากพวกเขากระหายสงครามอย่างทีเขาว่า  1 ปีเศษหลังจากการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) พลเมืองยัษริบเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) และเหล่าสาวกจากนครมักกะฮฺเอาดาบไปไล่จี้คอหอยพลเมืองยัษริบกระนั้นหรือ?

และ 10 ปี ในนครยัษริบซึ่งเปลี่ยนนามเป็นนครแห่งนบี (มะดีนะตุนนะบียฺ) โดยศานติเกิดสงครามกับฝ่ายมักกะฮฺที่ปฏิเสธศรัทธากับเหล่าพันธมิตรของพวกเขา ฝ่ายมุสลิมมีกำลังพลน้อยกว่าในทุกสมรภูมิ มีความเสียเปรียบในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่าง หากเหล่าสาวกที่นครมะดีนะฮฺถูกยัดเยียดอิสลามให้แก่พวกเขาด้วยคมดาบ ไฉนเลยพวกเขาจึงยอมพลีชีพเพื่อปกป้องศาสนาที่พวกเขาไม่ยินดีจะยอมรับเล่า

และหากนบีมุฮัมมัด และเหล่าสาวกกระหายสงครามแล้วไซร้ เหตุไฉนท่านจึงยอมทำสนธิสัญญาอัล-หุดัยบียะฮฺในปีที่ 6 หลังการอพยพกับฝ่ายผู้ปฏิเสธศรัทธาเล่า พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า ในช่วงระยะเวลาของสนธิสัญญานั้นปลอดสงคราม แล้วเหตุไฉนชาวอาหรับจึงเข้ารับอิสลามมากกว่าที่ผ่านมาเสียอีก มุสลิมใหม่เหล่านั้นถูกดาบจี้คอหอยบังคับให้เข้ารับอิสลามกระนั้นหรือ ?

และหากนบีมุฮัมมัดและเหล่าสาวกของท่านกระหายสงครามและการเข่นฆ่าแล้วไซร้ เหตุไฉนในปีที่ 8 หลังการอพยพทานยึดนครมักกะฮฺได้สำเร็จ ทำไมท่านจึงไม่แก้แค้นพลเมืองมักกะฮฺเล่า แต่ท่านกลับนิรโทษกรรมพลเมืองมักกะฮฺ ทั้งๆ ที่ท่านและเหล่าสาวกก็มีดาบอยู่ในมือ พลเมืองมักกะฮฺเข้ารับอิสลามก็เพราะการนิรโทษกรรมครั้งนั้น หรือเป็นเพราะพวกเขาถูกดาบจี้คอหอยบังคับให้เข้ารับอิสลามกระนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริงดังเขาว่า ใยเล่าพลเมืองมักกะฮฺจึงไม่ก่อการลุกฮือและต่อต้านศาสนาที่พวกเขาไม่ยินดีตอบรับเมื่อท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) สิ้นชีวิต

ภายหลังสมัยนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) มุสลิมสถาปนารัฐอิสลามที่เข้มแข็งในอารเบียได้อย่างมั่นคง กระนั้นแสนยานุภาพทางการทหารก็เปรียบไมได้เลยกับกองทัพของสองมหาจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกในเวลานั้น คือ จักรวรรดิ์โรมันไบแซนไทน์ และจักรวรรดิ์เปอร์เซีย การทำสงครามกับสองจักรวรรดิ์จะไม่เกิดขึ้นเลย  หากจักรพรรดิ์เปอร์เซียไม่ฉีกสารของทูตที่ท่านนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) ส่งไปเชิญชวนสู่อิสลามอย่างสันติ และเป็นไปตามธรรมเนียมการทูต การฉีกสารและคุกคามต่อชีวิตของทูตถือเป็นการประกาศสงครามอย่างชัดเจน ต่อรัฐอิสลาม

นอกเหนือจากการปกครองดินแดนของชาวอาหรับในอิรักจากทางเปอร์เซีย ซึ่งกดขี่และรีดนาทาเร้นพลเมืองในประเทศราชตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ การทำสงครามกับเปอร์เซียจึงไม่ได้มุ่งหมายในการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม เพราะวิถีทางสันติได้ถูกทำลายลงเสียสิ้น โดยฝ่ายเปอร์เซียเอง และการมีท่าทีที่คุกคามต่อรัฐอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺ อย่างเปิดเผยจึงถือเป็นความชอบธรรมที่รับอิสลามต้องรักษาอธิปไตย และทำสงครามปกป้องตนเอง

เมื่อจักรวรรดิ์เปอร์เซียล่มสลายลงและดินแดนอาหรับที่ตกเป็นประเทศราชถูกปลดปล่อยจากการถูกกดขี่ ชาวมุสลิมก็มิได้บังคับให้พลเมืองเปอร์เซียเข้ารับอิสลามแต่อย่างใด ชาวมุสลิมในฐานะผู้ปกครองใหม่ได้คืนสิทธิแห่งการครอบครองที่ดินทำกินแก่พลเมืองของเปอร์เซีย และถือว่าพลเมืองเปอร์เซียเป็นพลเมืองที่มีสิทธิและหน้าที่เชนเดียวกับพลเมืองมุสลิมภายใต้ระบอบการปกครองที่ยุติธรรม

และให้สิทธิเสรีภาพในการถือศาสนาและการประกอบศาสนกิจของชนต่างศาสนาซึ่งพวกเขามีหน้าที่จ่ายภาษี ญิซยะฮฺให้แก่รัฐอิสลาม ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องพวกเขาเหล่านั้นและไม่มีสิทธิในการบังคับให้พวกเขาเข้ารับอิสลามแต่อย่างใดเลย เมื่อพลเมืองเดิมในจักรวรรดิ์เปอร์เซียได้สัมผัสและใกล้ชิดกับชาวมุสลิม พวกเขาก็เริ่มสนใจศาสนาของผู้ปกครองและชาวมุสลิมทั่วไป ในที่สุดพวกเขาก็เข้ารับอิสลามด้วยความเต็มใจ

ในฝ่ายของโรมันไบแซนไทน์ ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่า จักรพรรดิ์เฮราคลิอุสจะทรงยอมรับสารของนบีมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) แต่ด้วยแรงกดดันจากชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นสูงของโรมันก็ทำให้พระองค์ต้องแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับรัฐอิสลามในเวลาต่อมา เมื่อวิถีทางของการเผยแผ่ศาสนาอิสลามถูกขัดขวางด้วยแสนยานุภาพทางการทหารของโรมัน รัฐอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺก็จำต้องทำลายปราการขวางกั้นวิถีทางดังกลาวด้วยการทำสงครามกับจักรวรรดิ์โรมันเพื่อปลดปล่อยดินแดนของชาวอาหรับในแคว้นชาม อียิปต์ และอาฟริกาเหนือจากการกดขี่ของโรมัน

ทั้งๆ ที่กองทัพของชาวมุสลิมมีจำนวนน้อยกว่าในทุกสมรภูมิ แต่ด้วยพลังศรัทธาและความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมของฝ่ายมุสลิม ชัยชนะจึงตกเป็นของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่กองทัพของชาวมุสลิมสามารถปลดปล่อยดินแดนของชาวอาหรับและพลเมืองที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิ์โรมันได้สำเร็จ พลเมืองคริสเตียนในแคว้นชามและอียิปต์จึงได้รับเสรีภาพทางความเชื่อของพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง

และพวกเขาก็ได้รับการคุ้มครองจากผู้ปกครองชาวมุสลิมในฐานะพลเมืองแห่งพันธสัญญาที่ยินดีต่อการจ่ายภาษีญิซยะฮฺ เพื่อแลกกับการมีสิทธิเสรีภาพทางศาสนาและการประกอบศาสนกิจของพวกเขา สิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีในเรื่องนี้คือ สนธิสัญญาการส่งมอบเมืองเยรูซาเล็มที่กระทำขึ้นระหว่างเคาะลีฟะฮฺอุมัร (ร.ฎ.) กับสังฆนายกซิฟโรนิอุสแห่งเยรูซาเล็ม หากมุสลิมทำสงครามเพื่อยัดเยียดศาสนาแก่พลเมืองในแคว้นชาม (ซีเรีย) และอียิปต์ดังที่เขาว่า แล้วทำไมดินแดนดังกล่าวยังคงมีชาวคริสเตียนนิกายต่างๆ และศาสนสถานของพวกเขายังคงปรากฎอยู่ในดินแดนซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมแล้วจวบจนทุกวันนี้

ข้อหักล้างต่อสิ่งที่เขาว่า นอกเหนือจากที่กล่าวมาก็คือ หากศาสนาอิสลามถูกเผยแผ่ด้วยคมหอกคมดาบ แล้วทำไมพวกตาตาร์-มองโกลซึ่งรุกรานดินแดนของชาวมุสลิมจึงกลายเป็นมุสลิมในเวลาต่อมา ทั้งๆ ที่มุสลิมถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหดจากฝ่ายตาตาร์-มองโกล กลุ่มประเทศในเอเซียกลางทุกวันนี้มีพลเมืองเป็นชาวมุสลิมเกือบทั้งหมด และพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนชาติมองโกลในอดีต

หากศาสนาอิสลามอาศัยสงครามเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว  ทำไมประชากรมุสลิมจึงมีมากที่สุดในดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีกองทัพมุสลิมใดเล่าที่ยาตราเข้ามารุกรานดินแดนแถบนี้ และบังคับให้พลเมืองบนเกาะสุมาตรา ชวา แหลมมลายู และหมู่เกาะซูลู ตลอดจนหมู่เกาะของฟิลิปปินส์ก่อนการมาถึงของชาวตะวันตกให้เข้ารับอิสลาม ชาวตะวันตกทั้งสเปน โปรตุเกส และดัชท์มิใช่หรือที่นำศาสนาคริสต์มาพร้อมกับการล่าอาณานิคมและปืนไฟ

เขาว่าอิสลามเผยแผ่ด้วยการบังคับและสงคราม แต่เขาลืมไปว่า กษัตริย์ชาร์ลมาญของอาณาจักรแฟร็งค์ทำสงครามกับชาวแซกซอนเป็นเวลา 33 ปี เพื่อบีบบังคับให้ชาวแซกซอนยอมรับศาสนาคริสต์ด้วยน้ำมือของบาดหลวงเลียร์ดเจอร์และเวลลีฮ์ (ประวัติศาสตร์

ยุโรปในยุคกลาง ; เฟเชอร์ 1/61) ในขณะที่อิยิปต์ถูกบังคับให้เข้ารีตในคริสตศาสนา (อารยธรรมอาหรับ;กุสตาฟ เลอบอง หน้า 336) กษัตริย์เคอนัทก็เผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเดนมาร์กด้วยการใช้กำลังและการสร้างความหวาดกลัว  (การเรียกร้องสู่อิสลาม;เซอร์โทมัส อาร์โนลด์ หน้า 30) และศาสนาคริสต์ถูกกำหนดให้เป็นศาสนาประจำรัสเซียด้วยน้ำมือของกลุ่มที่มีชื่อว่า “ภราดรแห่งดาบ”  (Brother of The Sword) (อ้างแล้วหน้า 30)

และเขาลืมไปว่า ในทวีปอเมริกา ชนชาติอินเดียนแดงทั้งพวกอันทิล, มายา, แอ็ซแทก และอินคาถูกทำลายล้างจนสิ้นอารยธรรมด้วยน้ำมือของพวกสเปนและชาวยุโรป ในหมู่เกาะฮิสปานิโอล่า (Hispa-niola) คือเฮติ และโดมินิกัน กองทัพของสเปนภายใต้การนำของ เฮอร์นันโด คอร์เตส และดิเอโก พลาสเคียซได้สร้างวีรกรรมอันชั่วร้ายในนามแห่งพระคริสต์กับพลเมืองที่นั่นเอาไว้อย่างไร?

ประชากรอินเดียนในแม็กซิโกลดลงจากจำนวน 2.5 ล้านคนในปี ค.ศ.1519 เหลือเพียง 6.3 ล้านคนในปี ค.ศ.1548 และเหลือเพียงแค่ 1 ล้าน 7 หมื่นคนเท่านั้น เมื่อปี ค.ศ.1605 ใครเล่าที่เข่นฆ่าพลเมืองเหล่านั้น นี่ยังไม่รวมพลเมืองมุสลิมในสเปน (อัล-อันดะลุส)ที่ถูกบังคับให้เข้ารีตในคริสต์ศาสนาและถูกจับขึ้นศาลทางศาสนา เขาคงลืมไปว่า ณ ปัจจุบันมุสลิมอยู่ในสภาพที่ไร้อำนาจและพลังทางการเมืองในเวทีโลก ส่วนแสนยานุภาพทางการทหารนั้นไม่ต้องพูดถึง

แต่ทั้งๆ อย่างนั้นทำไมและเพราะเหตุใดศาสนาอิสลามจึงกลายเป็นศาสนาที่มีผู้เข้ารับนับถือเพิ่มมากขึ้นและเป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าศาสนาอื่นๆ เพราะมุสลิมใช้กำลังบังคับผู้คนเหล่านั้นกระนั้นหรือ และประชากรมุสลิมในยุโรปเองก็เพิ่มมากขึ้นด้วยสถิติที่น่าเหลือเชื่อ ในขณะที่ชาวคริสต์ในปัจจุบัน กลับกลายเป็นพวกไร้ศาสนามากขึ้นทุกวัน เขาผู้นั้นลองตอบหน่อยสิว่า เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

แวนสัน มองเต้ กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งจากสาเหตุที่ข้าพเจ้าเข้ารับอิสลาม คือความใจกว้างของศาสนาอิสลามที่มีต่อศาสนิกชนอื่น” มองเต้ เคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอาหรับและประวัติศาสตร์อิสลาม ประจำมหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาเมื่อเข้ารับอิสลาม เขาก็ดำรงตำแหน่งประธานองค์การศึกษาอิสลามในเมืองดักการ์ เซเนกัล

โรเบิร์ตสัน กล่าวว่า : พวกที่เชื่อตามมุฮัมมัด (صلى الله عليه وسلم) นั้นพวกเขาคือประชาคมเดียวเท่านั้นที่รวมเอาความมุ่งมั่นทางศาสนากับความใจกว้างเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือทั้งๆ ที่พวกเขายึดมั่นต่อศาสนาของพวกเขาโดยเคร่งครัด แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับที่จะให้มีการบังคับศาสนิกชนอื่นให้ยอมรับอิสลาม”   (โลกอิสลามปัจจุบัน; ลูทรอบ สต็อดดาร์ด (1973)เล่มที่ 1 หน้า 104)

กุสตาฟ เลอบอง กล่าวว่า : การใช้กำลังไม่เคยเป็นปัจจัยในการทำให้อัล-กุรฺอานแพร่หลายเลยสักนิด ชาวอาหรับได้ปล่อยให้พลเมืองที่พ่ายแพ้มีเสรีภาพในศาสนาของพวกเขา ดังนั้น เมื่อเกิดการยอมรับอิสลามของชาวคริสเตียนบางกลุ่ม และถือเอาภาษาอาหรับเป็นภาษากลางของพวกเขา นั่นก็เป็นเพราะชาวคริสเตียนเหล่านั้นได้ประจักษ์ชัดถึงความยุติธรรมของชาวอาหรับที่เป็นฝ่ายมีชัย อันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนจากนายเก่าของพวกเขา และเป็นเพราะอิสลามมีความสะดวกง่ายดายในวิถีปฏิบัติ ซึ่งพวกเขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ศาสนาอิสลามมิได้แพร่สะพัดด้วยคมดาบ แต่แพร่สะพัดออกไปด้วยการเชิญชวนเรียกร้องเท่านั้น และด้วยการเชิญชวนเรียกร้องเท่านั้นพลเมืองต่างๆ ได้ยอมรับนับถืออิสลาม (อารยธรรมอาหรับ หน้า 162)

เฮนรี่ ดิ คัสทรี่ย์ กล่าวถึงประชาคมมุสลิมในหนังสือของเขาว่า : พลเมืองเหล่านั้นได้ถูกมอบเสรีภาพในการดำรงศาสนาเดิมของตนเอาไว้ และคงไม่ใช่เป็นการเลยเถิด หากเราจะยืนยันว่าศาสนาอิสลามไม่เพียงแต่เรียกร้องสู่การเปิดกว้างทางศาสนาเท่านั้น หากแต่เลยไปกว่านั้น “คืออิสลาม ถือความใจกว้างนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากหลักนิติธรรมของศาสนาอีกด้วย”

นี่เป็นส่วนหนึ่งจากคำยืนยันของนักเขียนชาวตะวันตกที่มีใจเป็นกลางต่อข้อเท็จจริงของศาสนาอิสลาม อ่านถึงตรงนี้ก็คงเพียงพอที่จะหาข้อสรุปได้ว่า สิ่งที่เขาว่านั้นเป็นจริงมากน้อยเพียงใด แน่นอนเราคงไม่หวังหรอกว่าเขาผู้นั้น (ใครก็ตาม) จะยอมรับความจริงไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยเราก็ได้ตีแผ่ความจริงแล้วว่า ที่เขาว่ากันนั้นมันเป็นเช่นที่ว่าหรือไม่ ?