แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

بسم الله الرحمن الرحيم
  الحمدلله الذى يخرج الناس من الظلمات إلى النوروالهدى
والصلاةوالسلام على رسول الله محمد المصطفى وعلى آله ومن مالاه أمابعد

บทความนี้เป็นบทความที่ 3 ซึ่งผู้เขียนจะได้แก้และไขความประดาถ้อยคำที่พระภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวแก่สาธุชนผู้ร่วมสดับรับฟังถึงแผนการอุบาทว์ในการยึดครองประเทศไทยโดยอ้างว่า ชาวมุสลิมในประเทศไทยได้ร่วมมือกับชาวมุสลิมต่างชาติในการดำเนินการและขับเคลื่อนแผนการอุบาทว์ดังกล่าว ถ้อยคำที่พระภิกษุรูปนี้ได้กล่าวเอาไว้สตรีผู้เป็นศิษย์ของผู้เขียนได้รับเอาเป็นธุระในการแกะคำพูดที่มีอยู่ในไฟล์เสียงออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นเดียวกับ 2 บทความแรก

แต่สำหรับไฟล์เสียงนี้มีเวลานานที่สุดและมีเนื้อหาลงรายละเอียดมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะซ้ำกับเนื้อหาที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ 2 ชุดแรกก็ตาม และธุระที่เธอผู้เป็นศิษย์ได้กระทำด้วยความเพียรนี้ ขอพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้ทรงอภิบาลได้โปรดประทานคุณงามความดีอันหาที่สุดมิได้แก่เธอผู้เป็นศิษย์ด้วยเทอญ

เมื่ออ่านดูลายลักษณ์อักษรที่ถอดความมาจากเสียงในไฟล์นี้ซึ่งแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ตก็พอจะคาดหมายได้ว่า พระภิกษุรูปนี้คงรับนิมนต์จากญาติโยมให้มาบรรยายในเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะไม่มีอรัมภบทใดๆ ให้ยืดยาวเสียเวลา จบคำว่า “เจริญพรญาติโยมทุกท่าน” ก็เข้าเรื่องทันทีในฉับพลัน อัดข้อมูลกันแน่นเอียดเลยที่เดียว จึงขอเริ่มถ่ายทอดและแก้ความกันเลยดีกว่า จะรอช้าอยู่ใย!

ไฟล์เสียง >>http://www.4shared.com/audio/BkF_gO88/

คำพระจากไฟล์เสียงและข้อเท็จจริง 1

“ความจริงแล้วแผนการที่เขาจะยึดเมืองไทยเขาตั้งเป้าเอาไว้ว่าประมาณ 40 ปี แต่พอเวลาเขาปฏิบัติได้เป็นการชักศึกเข้าบ้านเอาคนของเขามาปฏิวัติ เขาก็ลดเหลือ 20 ปี พอเราไปเดินประท้วงเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เขาไม่ให้ซะอย่างคนไทยเราก็ยังเฉย ปัจจุบันเขาเลยตั้งเป้าไว้เหลือแค่ 10 ปี”

ไขความและแก้ต่าง

กระผมเพิ่งทราบความจริงก็เมื่อได้ฟังคำของพระภิกษุรูปนี้ว่า แผนการยึดครองประเทศไทยนี้มีมานานแล้ว คือต้องย้อนเวลากลับไปมากกว่า 40 ปีที่ผ่านมาเพราะถ้าจะกำหนดแผนระยะ 40 ปี แสดงว่าคิดแผนการนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว 40 ปีก่อนหน้านี้กระผมยังไม่เกิดจึงไม่อาจจะยืนยันได้ว่า คนรุ่นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นมุสลิมในเมืองไทย ท่านจึงได้มีหัวทางก้าวหน้าขนาดนั้น ทั้งๆ ที่สมัยนั้นมุสลิมในกรุงเทพฯ ยังทำนา เลี้ยงควายเป็นกระดูกสันหลังของชาติกันอยู่เลย

พี่ๆ ของกระผมซึ่งมีอายุ 40 ปีขึ้นไปไม่มาก เล่าให้ฟังว่า ในหมู่บ้านของเรา (เขตสวนหลวง-คลองตัน) มีโทรทัศน์ขาวดำอยู่ที่บ้านหมอเหล็งปากซอยสุเหร่าในทุกวันนี้ กับที่บ้านฮัจยีอิรฟาน ฮัจยะฮฺแฉล้ม อีก 1 เครื่อง จะดูหนังขาวดำรุ่นมิตรกับเพชราก็ต้องไปขอเขาดู ยืนออกันหน้าสลอน ที่บ้านกี (ปู่) ของกระผมมีวิทยุรุ่นโบราณที่ใช้ถ่านไฟฉายตรากบเป็นกระบะอยู่เครื่องเดียว ไฟฟ้าก็ยังมีไม่ทั่วถึง ถนนพัฒนาการก็เพิ่งจะตัดผ่าน หลายที่ยังทำนากันอยู่ ก็เลิกนาก็ทำสวน ขุดบ่อเลี้ยงปลา ผู้คนสมัยนั้นจะตั้งนาฬิกาที่สุเหร่าก็ต้องลงเรือไปคลองตัน จากคลองตันก็เข้าไปในตัวพระนครที่นั่นมีหอนาฬิกาอยู่

คุณแม่ (มะอฺ) ของกระผมจะไปบ้านแชร์ที่หัวหมากใหญ่ (ถ.ศรีนครินทร์) ก็ต้องเดินลุยทุ่งกระเตงลูกคน จูงคน เมื่อตอนผมจำความได้ นาที่บ้านเพิ่งจะเลิก หลุมแปลงควายยังมีให้เห็นอยู่หลายหลุม เรื่องน้ำประปาไม่ต้องงพูดถึง โทรศัพท์ก็ไม่ต้องคิดว่าจะมี นั่นนะเมื่อก่อน 40 ปีนะ ยังไม่เลยเวลาไปจากนั้น ก็ยังนึกไม่ออกว่า คนผู้ใหญ่รุ่นนั้นเขาคิดการใหญ่แบบพวกเสรีไทยได้อย่างไรกัน! เรียนหนังสือไทยจบแค่ ป.4 โรงเรียนเทศบาลสมัยนั้นก็หายากเต็มที

ไม่นึกไม่ฝันว่าคนรุ่นนั้นซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับไอ้ขวัญกับอีเรียมแห่งทุ่งบางกะปิจะหัวก้าวหน้าถึงขั้นหมายจะยึดครองประเทศไทยกันตั้งแต่ยังต้องแจวเรือและขี่ควายกันอยู่ นึกออกได้ว่า 40 ปีที่แล้วพวกที่คิดการใหญ่จะยึดครองประเทศไทยและเปลี่ยนระบอบการปกครองจากประชาธิปไตยเป็นสังคมนิยมก็เห็นจะมีแต่พวกคอมมิวนิสต์กระมัง ไม่นึกว่าจะมีมุสลิมรุ่นนั้นเอากับเขาด้วย เพิ่งมารู้ความจริงก็เมื่อได้ฟังพระภิกษุรูปนี้ท่านว่านั่นแล และยุค 40 ปีที่แล้วก็มีเรื่องอยู่ 2 อย่างคือ ยุคอันธพาลครองเมืองกับยุคนิยมปฏิวัติของบรรดาจอมพลทั้งหลาย และก็บรรดานายทหารรุ่นหลัง

เอ๊ะ! รึว่าที่พระท่านกล่าวถึงจะหมายความถึงกบฏนายสิบ ที่มีมุสลิมร่วมอยู่คนนึง แล้วก็ถูกตัดสินประหารชีวิต อันนี้ก็ไม่แน่ชัดอยู่ดีเพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือนายทหารที่เป็นผู้สั่งการอีกที ส่วนการปฏิวัติล่าสุดที่ผ่านมาคือในปี พ.ศ. 2549 โดย ค.ม.ช. นี้ก็เป็นแผนการของมุสลิมอีกเช่นกันเพราะท่านว่าอย่างนั้น พอปฏิวัติได้ก็ลดเหลือ 20 ปี สำหรับระยะเวลาของแผนอุบาทว์ แสดงว่าพลเอกสนธิ บุญรัตกลิน นี่เป็นหมากที่คนมุสลิมรุ่น 40 ปี เขาวางเอาไว้

ก็น่าแปลกในเมื่อปฏิวัติสำเร็จแล้ว ตัวประธาน ค.ม.ช. ซึ่งเป็นมุสลิมก็ได้ชื่อว่าเป็น องค์อธิปัตย์ ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ 2 อย่าง คือ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เหลือเอาไว้เพียงหนึ่งอย่างคือ คือฝ่ายตุลาการ เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจในแผ่นดิน แล้วเหตุไฉนต้องกำหนดเวลายึดครองประเทศให้ยืดยาวออกไปอีก 20 ปี ในเมื่อยึดครองอำนาจได้เบ็ดเสร็จแล้ว และถ้ามีอำนาจอยู่ในมือแล้วทำไมไม่จัดการเสียเลย ณ เวลานั้น เหตุไฉนจึงต้องตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ทำหน้าที่ออกกฎหมายแทน ทั้งๆ ที่คณะปฏิวัติมีอำนาจในการตรากฎหมายอยู่แล้ว ใครหน้าไหนจะกล้าค้าน เพราะมีอาวุธ มีกองทัพอยู่ในมือ

มิหนำซ้ำดันไปตั้งพลเอกสุรยุทธให้มาเป็นนายกและจัดตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศเสียอีก ก็ในเมือประธาน ค.ม.ช. ผู้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติเป็นองค์อธิปัตย์ที่มีอำนาจล้นฟ้า จะเป็นนายกฯ เสียเองใครจะว่าอะไรได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำเรื่องที่ว่ามาเสียเล่า คือ เปลี่ยนประเทศนี้เป็นประเทศอิสลามเสียแต่ต้นก็จะได้รู้กันไปเลยว่าแผนการที่มุสลิมวางเอาไว้และเฝ้ารอคอยตั้งกึ่งศตวรรษนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วด้วยน้ำมือผู้บัญชาการทหารบกเชื้ออสายมุสลิมที่ชื่อ พลเอกสนธิ! แต่ถ้าจะค้านว่าที่ไม่ทำเช่นนั้นเพราะเกรงว่าชาวพุทธทั้งประเทศจะไม่พอใจแล้วเกิดการลุกฮือเป็นกลียุคไป จึงต้องวางแผนให้รอบคอบรัดกุมและทำเงียบๆ

ก็ถามกลับไปว่า เวลาทหารจะทำรัฐประหารนะเขาก็ต้องทำกันเงียบๆ อยู่แล้วไม่ให้ฝ่ายที่เป็นอำนาจเก่ารู้ตัวและตั้งรับทัน แต่เมื่อกุมทุกอย่างและกระทำรัฐประหารสำเร็จพวกคณะรัฐประหารก็ต้องเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนอยู่ดี ก็แปลกและฟังดูพิกลนัก กล้าทำรัฐประหารกับรัฐบาลแต่กลัวประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ และที่ประธาน ค.ม.ช. มอบอำนาจในมือไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ทั้งๆ ที่แผนการที่วางเอาไว้ตั้ง 40-50 ปี ซึ่งแยบยลและซับซ้อน กลับกลายเป็นความล้มเหลวและขาดความรอบคอบอย่างไม่น่าจะเป็น เพราะถ้ารอบคอบและรัดกุมก็จะต้องไม่ถ่ายโอนอำนาจในมือไปให้ผู้อื่นเพราะไม่อาจประกันความสำเร็จของแผนได้เลย

เมื่ออำนาจการบริหารและนิติบัญญัติเปลี่ยนมือไปแล้ว เรื่องที่พระท่านว่าจึงมีคำตอบและบทสรุปได้เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือหนึ่งการปฏิวัติของ ค.ม.ช. คือขั้นตอนสุดท้ายของแผนอุบาทว์ที่วางเอาไว้เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว แต่จบลงด้วยความล้มเหลวเพราะความไม่เอาไหนของหมากตัวสุดท้ายที่ไม่สามารถรุกฆาตเอาชนะหมากกระดานนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ สองก็คือ เป็นการปฏิวัติของนายทหารของเหล่าทัพที่ไม่แตกต่างจากการปฏิวัติรัฐประหารในอดีตและไม่ใช่แผนการอุบาทว์ที่กล่าวเป็นตุเป็นตะนั่นเลย

ทั้งนี้ถ้าเป็นข้อสรุปที่หนึ่ง คือเป็นการปฏิวัติตามแผนที่ผู้หลักผู้ใหญ่ชาวมุสลิมคิดการใหญ่หวังยึดครองประเทศนี้เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ซึ่งคนรุ่นนั้นยังทำนาและเลี้ยงควายอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประธาน ค.ม.ช. ก็น่าจะกลับไปทำนาและเลี้ยงควายเสียดีกว่า เพราะแผนทั้งหมดล้มเหลวด้วยฝีมือของแกนั่นเอง คำของพระที่ว่าพอปฏิวัติเสร็จระยะเวลาของแผนอุบาทว์ลดเหลือ 20 ปี พอชาวพุทธเดินประท้วงเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็เลยลดเหลือแค่ 10 ปี

นั่นหมายความว่าจะเริ่มนับเวลา 10 ปีที่ว่านี้นับแต่หลังปฏิวัติสำเร็จ คือ ปี 2549 เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว ตราไว้ ณ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 และถูกแทนด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550 และการประท้วงของชาวพุทธในเรื่องจะเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 จะประกาศใช้ ดังนั้นก็จะเริ่มนับเวลาของแผน 10 ปีที่ว่านี้ตั้งแต่ปี 2549 มาปี พ.ศ.นี้คือ 2553 ก็ผ่านเวลามาแล้ว 5 ปี คือจำนวนกึ่งหนึ่งของแผน 10 ปี หลือเวลาอีกแค่ 5 ปีก็จะสามารถครองประเทศนี้ได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว

ก็คงต้องรอดูกันว่าในปีพ.ศ. 2558 นี้ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศมุสลิมสมดังคำพระภิกษุรูปนี้ว่าเอาไว้หรือไม่? แค่ 5 ปีเท่านั้นพี่น้องมุสลิมทั้งหลายเราจะได้เป็นใหญ่กันเสียที พระภิกษุรูปนี้ทำนายเอาไว้แล้ว! พระท่านไม่มุสาวาทาอยู่แล้ว ช่วง 5 ปีนี้ก็คงต้องฟอร์มคณะรัฐมนตรีกันไว้แต่เนิ่นๆ ใครจะนั่งกระทรวงใด ใครจะเป็นนายก อ้อ! ไม่ใช่สิ! ต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นระบอบอิสลามด้วยถึงจะถูก ชักช้าอยู่เดี๋ยวจะไม่ทันการนะ พี่น้องงง! อัลลอฮุอักบัร!

เอ! ช้าก่อนๆ และถ้าหากว่าปี พ.ศ. 2558 ที่จะมาถึงเนี่ยะ มุสลิมก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่ฝันกลางวันนั่นเลย พวกเราจะทำยังงัยกันดีล่ะ! เพราะดันไปละเมอเพ้อพก ดันไปบ้าขี้หูตามคำทำนายของพระ! อ้าว! ก็ดันไปเชื่อพระเองนี่ จะโทษใครได้ พระท่านใบ้หวย เมื่อไปซื้อหวย หวยไม่ออก แล้วจะไปโทษใคร! รึว่าจะโทษพระดี ว่าใบ้หวยไม่แม่น ก็เลยถูกเจ้ามือกินเรียบ! กลายเป็นเรื่องโจ๊กไปในที่สุด

**บทความนี้มีทั้งหมด 14 หน้า**