แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

ไขความและเห็นต่าง

เรื่องกฎหมายที่เป็นหนึ่งในสองวิธีของแผนยึดเมืองไทยละเอาไว้ก่อนเพราะไขความมาแล้วในบทความที่ 2 เรื่องกฎหมายพัฒนาชุมชนอิสลาม ซึ่งพระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ท่านเรียกอย่างนั้น แต่ขอตั้งคำถามกลับเพื่อจะได้ตรองดูก่อน คำถามก็คือ ขอปุจฉาพระคุณเจ้าว่า การออกกฎหมายที่เป็นวิธีของแผนยึดครองเมืองไทยจะต้องออกกฎหมายกี่ฉบับ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดสำหรับการออกกฎหมายตามขั้นตอนของรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย ในเมื่อมีแผนและวิธีที่รวดเร็วกว่านั้น คือการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจของสภาทั้งสภาสูงและสภาล่างเอามาไว้ในอำนาจ แ

ละการปฏิวัตินั้นก็สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วด้วยหลังจากมุสลิมวางแผนคิดการใหญ่กันมาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และการปฏิวัติ พ.ศ. 2549 ก็คือแผนการที่วางเอาไว้ ขอปุจฉาพระคุณเจ้าว่า ในเมื่อแผนการถูกกำหนดระยะเวลาไว้แล้วว่า 2558 คืออีก 5 ปี ต่อจากนี้ตามแผนระยะ 10 ปี ที่กล่าวอ้าง ณ เวลานี้ผ่านมาแล้วกึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ตามแผน มุสลิมออกกฎหมายได้กี่ฉบับ และที่ยังไม่ได้ออกมานั้น 5 ปีที่เหลืออยู่จะทันการมั้ย!

และกฎหมายที่มุสลิมสามารถผ่านออกมาได้ก่อหน้านี้มีมาตราใดบ้างที่จะกรุยทางสำหรับการยึดประเทศภายในระยะเวลาที่ตั้งใจคือ 10 ปี ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ 5 ปี มีกฎหมายที่หลุดออกมาแล้วไม่ถึง 10 ฉบับ ในเมื่อพระคุณเจ้ารู้ตื้นลึกหนาบางรู้แจ้งแทงตลอดเกี่ยวกับแผนการของมุสลิมในการยึดครองประเทศก็คงไม่ยากในการที่จะวิสัชนาอย่างสมเหตุสมผลและเห็นเป็นรูปธรรมไม่ใช่เพียงสิ่งสมมุติหรือมายาคติ

ข้อปุจฉาสุดท้ายสำหรับช่วงนี้คือ ขอปุจฉาพระคุณเจ้าว่า การยกร่างกฎหมายหรือ พ.ร.บ. อะไรก็ตามถ้าผ่านนักการเมืองในสภาให้เป็นผู้เสนอก็จะเร็วกว่าวิธีอื่น เช่น ล่ารายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามมาตรา 163 รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นต้น กล่าวคือ ตามมาตรา 142 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดย(1) คณะรัฐมนตรี (2) ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน (3) ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (4) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคนเข้าชื่อ

ขอปุจฉาพระคุณเจ้า ค.ร.ม. ในรัฐบาลปัจจุบันมีมุสลิมเป็นรัฐมนตรีกี่คน และ ส.ส. ที่เป็นมุสลิมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมกันมีกี่คนถึงจะได้มีโอกาสผ่านกฎหมายได้อย่างสบายๆ แบบเบิร์ดธงไชย แล้วกฎหมายที่ผ่านวาระเข้าสู่ชั้นการพิจารณาร่างของ ส.ส. ที่ลงมติเห็นชอบแล้วนั้นโดยวุฒิสภา ขอปุจฉา มีส.ว.มุสลิมอยู่กี่คนและแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกยับยั้งตามมาตร 147(2) หากพระคุณเจ้าวิสัชนายืนยันไม่ได้! เพราะไม่แน่นอน ควบคุมสถานการณ์หรือภาวะแห่งความเป็นจริงเบื้องหน้าไม่ได้

การจะการันตีเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อมุสลิมสามารถคุมทั้งสภาสูงและสภาล่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ และไม่เคยมีผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้ได้สำเร็จยกเว้นคนเดียวที่เข้าข่ายคือ อดีตนายกทักษิณผู้นั้น! และคำวิสัชนาเช่นนี้ คือ ยืนยันไม่ได้เพราะควบคุมเรื่องอนาคตไม่ได้ก็จะเป็นคำตอบสำหรับวิธีการที่ 1 ของแผนการยึดครองประเทศว่าเป็นวิธีการที่ยากจะสัมฤทธิผลในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในความคิดบ้องตื้นของใครบางคนอาจจะมองว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

สรุปก็คือถ้าจะคิดใช้วิธีที่ 1 ตามแผนอุบาทว์ย่อมไม่ทันการตามระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ต่อให้มากกว่า 10 ปีก็ตาม ดังนั้นพอเวลาที่เราพูดถึงเรื่องการออกกฎหมายนั้นต้องไม่ลืมนึกถึงข้อเท็จจริงและตรรกะที่สมเหตุสมผลมาประกอบด้วย การสาธยายให้ฟังเป็นฉากๆ นั้นนะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่พอทำจริงนั้นมันอาจจะกลายเป็นคนละเรื่องไปเลยก็ได้

วิธีการที่ 2 นี่ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่กับวิธีการแรก ฟังดูแล้วก็อาจจะเห็นจริงตามนั้นเพราะชาวพุทธหรือศาสนิกชนอื่นมาแต่งงานกับคนมุสลิมก็ต้องเปลี่ยนศาสนา แต่นั่นเป็นปลายน้ำ เรื่องจริงๆ มันอยู่ที่ต้นน้ำโน้นขอรับพระคุณเจ้า เพราะโดยบัญญัติของศาสนาอิสลามห้ามมิให้มุสลิมไม่ว่าชายหรือหญิงแต่งงานกับคนต่างศาสนิกโดยเฉพาะกลุ่มศาสนาที่ปฏิเสธพระเจ้าและกลุ่มที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแต่ตั้งภาคีกับพระองค์ในการเคารพสักการะด้วยการยกสิ่งอื่นนอกจากพระองค์เอามาเป็นภาคี ชาวพุทธอยู่ในข่ายของกลุ่มศาสนิกดังกล่าว คือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียวและกราบไหว้สิ่งสมมุติทั้งหลายเอาเป็นที่พึ่งเฉกเช่นพระเจ้า

ดังนั้น เมื่อการแต่งงานกับชนต่างศาสนิกที่ปฏิเสธพระเจ้าเป็นสิ่งต้องห้ามในบัญญัติของศาสนาอิสลามแล้ว มุสลิมจะไปกำหนดแผนการตามวิธีที่ 2 นี้ได้อย่างไร จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นคนศาสนาเดียวกันเท่านั้น เหตุนี้เมื่อมุสลิมไปได้กับชาวพุทธซึ่งเป็นคนต่างศาสนา ไม่มีอิหม่ามคนใดจะยอมทำพิธีสมรสให้ตราบใดที่ผู้นั้นยังเป็นคนต่างศาสนิกที่เขายอมแต่งหรือทำพิธีให้นั้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นเปลี่ยนศาสนาเดิมของตนและประกาศตนเป็นมุสลิมแล้วเท่านั้น หากทำพิธีให้โดยที่คู่สมรสคนหนึ่งไม่ใช่มุสลิมการทำพิธีนั้นก็เป็นโมฆะ และหากอยู่กันฉันท์สามีภรรยาทั้งๆ ที่การทำพิธีสมรสเป็นโมฆะ ก็ถือว่าทั้งสองคนนั้นกระทำผิดขั้นหนักมหันตโทษในข้อกาเมสุมิจฉาจารา

ศาสนาอิสลามประกาศชัดเจนในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า ชายหญิงที่เป็นชนต่างศาสนิกด้วยกันทั้งคู่จะสมรสระหว่างกัน ในขณะที่ชายมุสลิมกับหญิงมุสลิมะฮฺก็จงสมรสระหว่างกัน และมีบัญญัติห้ามมิให้ชายมุสลิมสมรสกับหญิงต่างศาสนิกจนกว่านางจะศรัทธาในอิสลามเสียก่อนและหญิงมุสลิมะฮฺจะไม่สมรสกับชายต่างศาสนิกจนกว่าเขาผู้นั้นจะศรัทธาในอิสลามเสียก่อน

ดังนั้นแผนการขยายจำนวนประชากรมุสลิมด้วยการแต่งงานหรือสมรสกับคนต่างศาสนิกเพียงเพราะคำนึงถึงเรื่องจำนวนคนโดยไม่พิจารณาว่าคนต่างศาสนิกนั้นจะเข้ารับอิสลามหรือไม่ หรือเพียงแค่รับแต่ไม่ปฏิบัติตนและมีความเชื่อตามบัญญัติของศาสนาจึงเป็นสิ่งต้องห้ามและจะนำไปสู่ความอ่อนแอของประชาคมมุสลิมในที่สุด นี่ข้อเท็จจริงที่อยู่ที่ต้นน้ำ ส่วนปลายน้ำนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ กล่าวคือ หนุ่มสาวที่ต่างศาสนารักใคร่ชอบพอกัน แล้วไปๆ มาๆ ก็ตกล่องปล่องชิ้นว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยาก็มีเงื่อนไขว่าต้องถือในศาสนาเดียวกันเสียก่อน ก็คือฝ่ายที่มิใช่มุสลิมมาแต่เดิมก็ต้องเข้ารับอิสลามเสียก่อนเพราะนี่คือกติกาของการอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา

หากต่างคนต่างถือในศาสนาของคน คนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว อีกคนไม่เชื่อเลยหรือเชื่อสารพัดไปหมด คนหนึ่งทานสิ่งต้องห้ามในศาสนาของอีกคนหนึ่ง คนหนึ่งทำสิ่งต้องห้ามในศาสนาของอีกคนหนึ่ง แล้วชีวิตครอบครัวจะเป็นเช่นใด? หากบอกว่า แล้วทำไมต้องเป็นอิสลามแต่ฝ่ายเดียว มุสลิมไปเป็นพุทธไม่ได้หรือ คำตอบคือไม่มีศาสนาใดกำหนดว่าศาสนิกชนของตนสามารถเปลี่ยนศาสนาของตนได้ คือกลายเป็นคนศาสนาอื่นในขณะเดียวกันก็ถือว่าผู้นั้นเป็นศาสนิกชนที่เคร่งครัดในศาสนาเดิมของตน เพราะแต่ละศาสนาต่างก็กำหนดขอบเขตให้ศาสนิกชนของตนเอาไว้ทั้งสิ้น

หากศาสนิกชนกระทำสิ่งที่เกินเลยจากขอบเขตที่กำหนดเอาไว้ก็ถือว่าตกศาสนา พ้นไปจากศาสนานั้นแล้ว เช่น ถ้าคนๆ หนึ่งประกาศตนเป็นพุทธมามกะ เอาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้าเป็นที่พึ่งโดยสรณะแล้ว ผู้นั้นก็เป็นพุทธศาสนิกชน ครั้นต่อมาคนๆ นี้ก็รับเอาความเชื่อนอกพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิมาปฏิบัติด้วย เช่น เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้างโลก ศรัทธาในพระศาสดาอื่นที่มิใช่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เอาพระรัตนไตรเป็นที่พึ่งโดยสรณะได้อย่างไร? ในเมื่อกระทำตนเป็นอลัชชีผู้ละเมิดพระพุทธบัญญัติหรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว 

ในขณะเดียวกันจะถือว่าคนๆ นี้เป็นศาสนิกชนของศาสนาอีกศาสนาหนึ่งที่ตนไปเชื่อได้หรือไม่ ทั้งๆ ที่คนๆ นี้ยังปฏิบัติเฉกเช่นพุทธศาสนิกชนทั่วไป เช่น กราบไหว้พระพุทธรูป กราบสมมติสงฆ์ ถึงวันธรรมสาวนะก็เข้าวัดฟังธรรม ถือศีล ในขณะเดียวกัน ก็ไปละหมาดวันศุกร์ที่สุเหร่าหรือมัสยิด เช้าอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน แต่ก่อนนอนท่องคาถาชินบัญชร อะไรในทำนองนี้ จะว่าเป็นพุทธก็ไม่ใช่ เพราะเชื่อพระอัลลอฮฺเจ้า และไปละหมาดวันศุกร์ จะว่าเป็นมุสลิมก็ไม่ใช่เพราะยังอารธานาศีล เข้าวัดฟังธรรม และกราบไหว้พระพุทธรูป คนอย่างนี้ศาสนิกชนในศาสนาใดจะยอมรับว่าเป็นศาสนิกชนของศาสนาตนบ้างเล่า ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ศาสนิกชนใดก็แต่งกับศาสนิกชนนั้น หรือไม่ก็ทำให้เป็นศาสนิกชนในศาสนาเดียวกันเสียเรื่องวุ่นๆ ที่ว่าก็จะไม่เกิดขึ้น

ดังนั้นแผนการตามวิธีที่ 2 นี้เป็นแผนการที่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาโดยหลักการ ส่วนกรณีของสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเปิดที่มีคนหลายศาสนาอยู่ร่วมกันแล้วไปพากันมาแต่งงานแล้วเปลี่ยนศาสนา กรณีนี้เป็นปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบต่อสังคมมุสลิม ไม่มีมุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนาคนใดเห็นชอบหรือพอใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถึงแม้เปลี่ยนศาสนาแล้วก็ประกันไม่ได้ว่าคนๆ นั้นจะมีความศรัทธาและปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นมุสลิมได้มากน้อยขนาดไหน

มุสลิมเขาถือว่าวิธีการที่ 2 ตามแผนที่พระคุณเจ้าว่ามาเนี๊ยะ เป็นปัญหาหนักอกนะขอรับ เขาไม่ได้มองว่าเป็นวิธีการหรือแผนการอะไรเลย สิ่งที่มุสลิมต้องทำโดยเร่งด่วนก็คือ วางแผนป้องกันและรับมือเรื่องที่ว่านี้ว่าจะทำอย่างไร? ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกหรือทำให้มันน้อยลง ไม่ใช่ทำให้มันเพิ่มมากขึ้นหรือปล่อยให้แพร่ระบาดออกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เชื่อพระคุณเจ้าก็ลองไปถามคนมุสลิมที่พระคุณเจ้ารู้จักมักคุ้น ซึ่งก็น่าจะมีบ้างว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้ามุสลิมคนนั้นมีความรู้ทางศาสนาเขาก็จะตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่า เขาไม่ปรารถนาจะให้ลูกหลานของเขาไปแต่งงานกับคนต่างศาสนาเลยแม้แต่น้อย ไอ้ที่ไปได้กันมาน่ะ เพราะว่าคุมมันไม่อยู่ ไม่รู้จะกันและป้องกันอย่างไร? เพราะคนไม่ใช่แมว! จะได้จับใส่กรงขังเอาไว้ และส่วนใหญ่ก็จะผิดประเวณีกันมาก่อนแล้วจึงต้องจับแต่งงาน จะปล่อยให้มันอยู่กันโดยไม่แต่งงานก็ใช่ที่เพราะเป็นคนไม่ใช่แมวอีกนั่นแหล่ะ!

สิ่งที่พระคุณเจ้าควรจะรับรู้ก็คือ กรณีการแต่งงานระหว่างคนมุสลิมกับคนต่างศาสนิกมีเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ก็ย่อมเป็นดรรชนีบ่งชี้ว่าความเคร่งครัดของมุสลิมในศาสนาของตนลดลงมากเพียงนั้น และในที่สุดก็จะกลายเป็นมุสลิมอ่อนแอในศรัทธาและหลักปฏิบัติของศาสนา เพราะลำพังคนที่เป็นมุสลิมแต่กำเนิดมีบรรพบุรุษเป็นมุสลิมมาหลายชั่วอายุคนก็ยังสอนให้เคร่งครัดในศาสนาด้วยความลำบาก แล้วถ้าเป็นมุสลิมใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ถามว่าจะลำบากมากกว่าอีกกี่เท่าในการที่กล่อมเกลาให้เขาเป็นมุสลิมที่ดีและเข้าใจหลักคำสอนของศาสนาจริงๆ

ดังนั้นใครที่ยังกล่าวตู่ว่ามุสลิมอาศัยวิธีการที่ 2 นี้เป็นตัวขับเคลื่อนในการเพิ่มจำนวนศาสนิกชนที่นับถืออิสลามแบบแผ่นเสียงตกร่องก็แสดงว่าผู้นั้นไม่รู้จริงว่า ศาสนาอิสลามมีหลักคำสอนอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แต่เอ่ยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมซึ่งขัดบัญญัติศาสนาและศาสนาก็ไม่ได้ส่งเสริมเอามาเป็นตัวชี้วัดและตัดสินว่าปรากฏการณ์นั้นมีคำสอนของศาสนาเป็นตัวกำหนดว่าให้ทำอย่างนั้นซึ่งเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง เรื่องของคนเป็นเรื่องหนึ่ง จะเอาสองสิ่งนี้มาผูกพันเป็นตรรกะแบบไร้เงื่อนไขไม่ได้ เพราะสิ่งที่คนกระทำกันขัดกับหลักศาสนาจริงๆ ก็มีถมไป

ส่วนเรื่องที่พระคุณเจ้าอ้างถึงประเทศมาเลเซียนั้นกระผมไม่ขอไขความและลงลึกเพราะกระผมไม่ใช่คนมาเลเซีย ถึงแม้ว่จะเป็นไทยเชื้อสายมลายูก็ตาม แต่สิ่งที่เคยรับรู้ก็คือ มาเลเซียเขาใช้หลักการเผยแผ่ศาสนาในหมู่คนจีนในมาเลเซียเป็นหลัก เรื่องการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องรองเพราะคนเชื้อสายมาเลย์กับเชื้อสายจีนที่แต่งงานระหว่างกันซึ่งเรียกว่า พะเนอรากัน (มาจากคำว่า เปอรฺอะเนาะอฺกัน ในภาษามลายู แปลว่าการให้กำเนิด) มันมีอยู่แล้วโดยปกติ

และความเข้มแข็งของธรรมเนียมจีนในด้านอัตลักษณ์และวิถีชีวิตก็เกือบจะกลืนสังคมมลายูจนเกือบไม่เหลืออัตลักษณ์มลายูแท้ๆ เขาจึงต้องมีมาตรการของเขาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพลเมืองมลายูเดิมของเขา ดูอย่างประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ทุกวันนี้แทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเมืองจีนหรือเมืองไทยกันแน่ เพราะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวจีนมีความเข้มแข็งเขาจึงสามารถกลืนวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่าได้

วัฒนธรรมไทยทุกวันนี้เป็นเพียงเรื่องของการโฆษณาการท่องเที่ยวและเป็นเรื่องของการโปรโมทเท่านั้น คนไทยทุกวันนี้ถูกกลืนไปแทบทั้งหมดแล้วด้วยกระแสวัฒนธรรมอื่น เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และตะวันตก เป็นต้น มาเลเซียเขาตระหนักและรู้เท่าทันกว่าเมืองไทยจึงยังคงรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของเขาเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าวิธีการและนโยบายของเขาดูจะไม่ค่อยดีนักสำหรับพระคุณเจ้า แต่เขาก็ทำอย่างนุ่มนวลและเน้นการเผยแผ่ศาสนาเป็นหลัก ไม่ได้ทำการบีบบังคับให้รับศาสนาโดยไม่สมัครใจ

หากจะกล่าวหาเขาก็จะต้องไม่ลืมเรื่องคล้ายๆ กันนี้ที่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยเช่นกันโดยเฉพาะยุคเชื่อผู้นำอย่างจอมพลแปลก พิบูลย์สงครามที่ออกประกาศรัฐนิยมมากมายหลายฉบับ ขนาดคนไทยพุทธยังได้รับผลกระทบ แล้วมุสลิมไทยในสมัยนั้นจะขนาดไหน? อย่ามัวแต่ว่าคนอื่นโดยหลงลืมไปว่าคนของเราเองก็เคยทำเช่นนั้นเหมือนกัน และคลั่งชาตินิยมแบบสุดโต่งเสียด้วยซ้ำไป!

เรื่องการปิดกั้นคนต่างศาสนาในการเข้ารับราชการนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีในประเทศไทย มีเช่นกันและรู้กันดีแต่ทำเป็นไขสือ ทั้งในวงการของข้าราชการพลเรือน และข้าราชการทหารและตำรวจ มีทุกวงการแหล่ะพระคุณเจ้า พอเห็นนามสกุลออกเป็นแขกหน่อยก็ไม่รับแล้วหรือไม่ก็เก็บแฟ้มเอกสารสมัครเก็บเข้าลิ้นชักตู้ไปดองเอาไว้เสียอย่างนั้น และการอุปถัมภ์ส่งเสริมศาสนิกชนเดียวกันเนี๊ยะก็มีมาโดยตลอด ถ้าเป็นมุสลิมก็ยากที่จะไต่เต้าขึ้นไปรับตำแหน่งสำคัญๆ หากไม่เก่งจริงแล้วย่อมไม่มีทางเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เลย แต่ถ้ามุสลิมเปลี่ยนศาสนากลายเป็นพุทธเมื่อใด โอกาสก็เปิดให้ทันที

ดูขุนนางในสมัยอดีตเอาไว้เป็นตัวอย่าง เช่น ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระยาเพชรพิไชย (ใจ) เมื่อ ยอมประกาศตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าพระราชาคณะแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าพระยาเพชรพิไชย ที่สมุหนายกเอกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือเป็นเหตุให้ลูกหลานขอองออกญาบวรราชนายก (เฉกอะฮฺมัด) ซึ่งเป็นมุสลิมชีอะฮฺกลายเป็นพุทธศาสนิกชนไปส่วนหนึ่งในชั้นหลังนับแต่เจ้าพระยามหาเสนา (เสน) ต้นสกุลบุนนาคนั่นเอง หรือแม้แต่กรณีการเปลี่ยนศาสนาของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ต้นสกุล ณ พัทลุง นั้นก็เช่นกัน