แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

“เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาสามารถสอดไส้กฎหมายฉบับหนึ่งเข้าไปได้ โดยที่พวกเราคนไทยไม่มีใครรู้เรื่อง… วันนั้นมีการพิจารณากฎหมายทั้งหมดแปดฉบับแล้วเขาก็ยัดไส้เข้าไปหนึ่งฉบับ แล้วทั้งหมดก็ยกมือผ่านโดยที่ไม่รู้เรื่อง กฎหมายฉบับนั้นก็ว่าด้วยเรื่อง สถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม..ตัวนี้แหล่ะจะเป็นตัวที่น่ากลัวที่สุด”

ไขความและเห็นต่าง

ข้อความที่พระสงฆ์รูปนี้กล่าวเป็นเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง เป็นการพูดเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่พระเดชพระคุณ พระธรรมคุณาภรณ์ พูดถึงมาแล้วในบทความลำดับที่ 2 ซึ่งผู้เขียนได้แจกแจงไปแล้วว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คำพูดของพระคุณเจ้าเป็นการสร้างบรรยากาศที่ชวนให้เข้าใจว่า การผ่านกฎหมายที่ว่าน่ากลัวที่สุดนี้เกิดขึ้นในรัฐสภา ซึ่งจริงๆ เป็นการนำเสนอของกระทรวงมหาดไทยต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีนายกฯ อภิสิทธิ์ นั่งอยู่หัวโต๊ะ

การพูดในทำนองว่า การสอดไส้เรื่องสถาบันการเงินชุมชนในระบอบอิสลามเป็นการลักไก่เป็นการฉวยโอกาสจากฝ่ายมุสลิมโดยที่คนไทยไม่มีใครรู้เรื่อง ก็ขอถามว่า แล้วที่นั่งกันหน้าสลอนในที่ประชุม ค.ร.ม. นั้นเป็นใคร? ไล่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ตลอดจนผู้เข้าร่วมที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง อาจกล่าวได้ว่าเกือบทั้งหมดเป็นชาวพุทธ เพราะค.ร.ม.ชุดนี้แทบจะไม่มีมุสลิมเข้าไปนั่งคุมในกระทรวงใดเลย

การนำนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าเสนอที่ประชุมค.ร.ม.วันนั้นก็มีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้เสนอให้พิจารณาและรับรองเป็นมติ โดยก่อนหน้านั้น ศอ.บต. เป็นผู้ชงเรื่องขึ้นมา คณะรัฐมนตรีที่ประชุมในวันนั้น คือวันที่ 25 สิงหาคม 2552 มิใช่คนไทยกระนั้นหรือ ถึงจะบอกว่าไม่มีคนไทยรู้เรื่องเลย และที่สำคัญพระคุณเจ้ากล่าวว่า “ทั้งหมดก็ยกมือผ่านโดยที่ไม่รู้เรื่อง” ก็แสดงว่าพอถึงวาระการประชุมในส่วนของมหาดไทยก็เสนอให้โหวตลงมติรับรองเลย โดยไม่มีการพิจารณาเนื้อหาของนโยบายเรื่องสถาบันการเงินฯ นี้กระนั้นหรือ? ทั้งๆ ที่ ค.ร.ม.ทั้งชุดล้วนเป็นชาวพุทธทั้งสิ้น พวกเขาจะปล่อยให้เรื่องที่เป็นภัยต่อชาติและพระพุทธศาสนาผ่านเป็นมติเห็นชอบได้อย่างไร?

หากกฎหมายซึ่งจริงๆ เป็นเพียงนโยบายเท่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอุบาทว์ในการยึดครองประเทศอย่างที่พระคุณเจ้าสาธยายแล้ว ก็เท่ากับว่าค.ร.ม.ชุดนี้กระทำผิดร้ายแรงต่อชาติและพระพุทธศาสนาโดยตรงไม่ต่างอะไรเลยกับพวกคนขายชาติและพวกที่ทำลายสถาบันหลักของชาติคือพระพุทธศาสนา หากเป็นเช่นนี้แล้วชาวพุทธในประเทศไทยจะยังปล่อยค.ร.ม.ชุดนี้เอาไว้อีกหรือ? ทั้งๆ ที่มีสิทธิเต็มประตูในการโหวตไม่รับรองให้ผ่านออกมา!

แต่ที่นโยบายสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลามได้รับการรับรองและเห็นชอบให้เป็นนโยบายของรัฐบาลผ่านออกมาได้ นั่นก็มีข้อสรุปอยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ หนึ่ง ค.ร.ม. ชุดนี้ที่มีนายก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งอยู่หัวโต๊ะเสียรู้คนมุสลิมเข้าให้แล้ว เพราะขาดความรู้และความเข้าใจในข้อเท็จจริงที่มีการหมกเม็ดเอาไว้แต่ต้นเรื่องที่ชงมาจาก ศอ.บต. ขาดวุฒิภาวะอย่างร้ายแรงเนื่องจากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน รอบคอบเสียก่อนที่จะมีการโหวตรับรอง ไม่รู้เท่าทันเหมือนอย่างที่พระสงฆ์องค์เจ้าได้วิเคราะห์เจาะลึกเอาไว้ และตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งหมายจะยึดครองประเทศ

สอง ก็คือ เป็นเพียงนโยบายพิเศษที่เป็นหนึ่งในมาตรการเยียวยาแก้ไขปัญหาในพื้นที่พิเศษก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรหมกเม็ดหรือเป็นภัยแฝงซ่อนงำอยู่ในเรื่องนี้ และที่สำคัญมิใช่แผนการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างที่มีคนตั้งข้อสังเกตอาไว้ด้วยความฟุ้งซ่านและอคติแต่อย่างใดเลย! หากแต่เป็นการตีตนไปก่อนไข้ เป็นพวกกระต่ายตื่นตูม นึกว่าฟ้าถล่ม ที่แท้ก็มะพร้าวร่วงลงมาเพียงลูกเดียว! ทีนี้มาดูการวิเคราะห์เจาะลึกนโยบายเรื่องสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลามตามมุมมองของพระคุณเจ้าที่แม้แต่ ค.ร.ม. ของท่านอภิสิทธิ์ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำไป!