แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

ข้อเท็จจริง

มาตรการที่รัฐบาลให้ส่วนราชการ องค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุน สถาบันการเงินระดับชุมชนซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และกลุ่มธรรมชาติทางการเงินระดับชุมชนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล คือ ด้านความรู้การบริหารจัดการและงบประมาณเพื่อ “ส่งเสริมให้มีความรู้ธุรกรรมทางการเงินและการจัดสวัสดิการในระบบอิสลามทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงความรู้ด้านจัดการกลุ่ม ระบบบัญชีให้กับราษฎรและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นพี่เลี้ยง เช่น พัฒนากรและเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น”

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลระบุเอาไว้ว่าจะให้การสนับสนุน พระคุณเจ้าไม่อ่านข้อความจากเอกสารอ้างอิงให้ครบถ้วน แต่สรุปเอาตามความเข้าใจของพระคุณเจ้าเอง สาธุชนที่นั่งฟังก็ได้แต่ฟังและก็เข้าใจไปตามการชี้นำของพระคุณเจ้า ถ้าพวกเขามีเอกสารอยู่ในมือก็จะรู้ได้ทันทีว่าพระคุณเจ้าไม่ได้อ่านข้อความที่เป็นข้อมูลจริงแล้วก็เสริมแต่งเรื่องเข้ามา เช่น ขอยื่นเรื่องตั้งชุมชนตั้งเป็นศาลากลาง กระผมอยากทราบว่า ศาลากลางอะไร ทุกจังหวัดในประเทศไทยทั้ง 70 กว่าจังหวัดมีศาลากลางอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องยื่นเรื่องขอตั้งชุมชนเป็นศาลากลางอีก และโดยข้อเท็จจริงกระทำได้ด้วยหรือ?

แล้วเจ้าหน้าที่ที่เป็นพี่เลี้ยงนั้นก็เขาระบุอยู่แล้วว่า เป็นพัฒนากรและเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นซึ่งมีจำนวนเป็นชาวพุทธมากกว่ามุสลิมอยู่แล้ว นี่แสดงว่าพระคุณเจ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงในพื้นที่ คนพุทธที่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในพื้นที่เขาฟังแล้วจะหัวเราะเอาได้นะขอรับ คำว่า “ก็ของเขานี่แหล่ะที่เข้ามานี่ไง หลายล้านคนแล้วในประเทศไทย” โรฮิงย่า เขมร มาเลย์ อินโด ติมอร์ อย่างนั้นหรือขอรับที่รัฐจะจัดส่งมาเป็นพี่เลี้ยงโครงการนี้ พวกที่เข้ามานี่สอบบรรจุเป็นพัฒนากร หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คนพวกนี้นะหรือจะมาให้ความรู้ด้านการบริหารการจัดงานและระบบบัญชีใครเชื่อก็สติแตกแล้วล่ะขอรับ!

ส่วนพวกต่างด้าวที่เข้ามาแล้วมีงานทำข้อนี้ก็โยงเรื่องจนเลอะเทอะไปหมด ก็ในเมื่อแรงงานต่างด้าวค่าแรงถูก หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงานเหมือนคนไทย พวกเขาก็ต้องมีงานทำอยู่แล้ว และแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ก็มีทั้ง พม่า ลาว เขมร ตั้งชุมชนกันในจังหวัดที่ใช้แรงงานพวกเขา เช่น ระนอง สมุทรสงคราม เป็นต้น ในส่วนของพม่านั้นมีทั้งพุทธและมุสลิมแต่ที่แน่พุทธพม่าเยอะกว่าแน่นอนขอรับ! แล้วคนพวกนี้จะรับราชการในหน่วยงานของรัฐได้อย่างที่พระคุณเจ้าว่ามากระนั้นหรือ!