ช้าง หรือ คชสาร  เป็นชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิด Elephus maximus ในวงศ์ Elephantidae  ตัวสีเทา  จมูกยื่นยาวเรียกว่า งวง  ตัวผู้มีงายาว เรียก ช้างพลาย  ถ้าไม่มีงาเรียก ช้างสีดอ  ในฤดูผสมพันธุ์มีอาการดุร้ายมาก  ตัวเมียเรียก “ช้างพัง”  ส่วนใหญ่ไม่มีงาปรากฏให้เห็น  แต่บางตัวมีงาสั้นๆ ซึ่งเรียกว่า  “ขนาย” โผล่ออกมา  กินพืชอยู่รวมกันเป็นโขลง  มีช้างพังอายุมากเป็นจ่าโขลง

 

               งา  คือ ฟันที่งอกออกจากปากช้างพลาย  ลักษณะนามเรียกว่า “กิ่ง” และเรียกงาช้างที่หักติดอยู่ในไม้หรือสิ่งอื่นๆ ว่า “งากำจาย” และงาช้างที่ยาวมากแต่วงรอบเล็ก เรียกว่า “งาเครือ”งวง  คือ จมูกของช้างที่ยื่นยาวออกไป  ตรงปลายมีจะงอยสำหรับจับของอย่างมือ

 

               ในคัมภีร์อัลกุรอาน  มีบทหนึ่งชื่อ บทอัลฟีล  อันหมายถึง ช้าง  ชาวอาหรับเรียกช้าง  ว่า อัลฟีล  และคำว่า  อิลีเฟนท์  ในภาษาอังกฤษก็น่าจะแผลงมาจากคำว่า อัลฟีลในภาษาอาหรับนี่เอง  เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีอยู่เฉพาะในทวีปแอฟริกา เรียกว่าช้างแอฟริกัน  และทวีปเอเชีย  เรียกว่า  ช้างเอเชีย  ในยุโรปไม่มีช้าง  ฝรั่งจึงน่าจะรับคำว่า อิลีเฟนท์มาจากอาหรับอีกทอดหนึ่ง

               ชาวอาหรับเรียกนามช้างไว้หลายชื่อ (กุนยะฮฺ) อาทิเช่น  อบุลฮัจญาจฺ , อบุล – ฮิรมาน , อบูฆอฟลิน , อบูกัลซูม และอบูมูซาฮิม  ชาวอาหรับแบ่งช้างออกเป็น 2 ประเภท  หนึ่งคือ ฟีล (ช้างพลาย)  สองคือ ซันดะบีล (ช้างพัง)  ช้างเพศผู้จะผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุได้ 5 ปีบริบูรณ์  และช่วงผสมพันธุ์จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ  ช้างเพศเมียจะตั้งท้องประมาณ 2 ปี  เมื่อตั้งท้องแล้ว

 

               ช้างตัวผู้จะไม่เข้าใกล้ช้างเพศเมียอีกจนกว่าช้างเพศเมียจะตกลูกได้ 3 ปีแล้ว  ท่านอับดุลละตีฟ  อัลบัฆดาดีย์ กล่าวว่า  ช้างเพศเมียจะตั้งท้องนานถึง 7 ปี  และช้างตัวผู้จะมีคู่กับช้างเพศเมียเพียงตัวเดียว  ซึ่งมันจะหึงหวงคู่ของมันมาก  เมื่อตั้งท้องครบกำหนด  ช้างก็จะตกลูกริมฝั่งแม่น้ำในท่ายืน  โดยพ่อช้างจะคอยระวังภัยให้กับแม่ช้างและลูกจากงูและสัตว์มีพิษ 

 

               ว่ากันว่า  ช้างหึงหวงรุนแรงเหมือนอูฐ  บางทีถึงขั้นฆ่าควาญช้างก็มี  ชาวอินเดียอ้างว่า  ลิ้นของช้างกลับด้าน  ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว  ช้างก็จะพูดได้ เสียงร้องของช้างไม่สมกับตัวของมัน  เพราะมันร้องเหมือนเด็กมีพลังมาก  สมดังที่ว่า  พลังดั่งคชสาร  สามารถถอนต้นไม้ได้ทั้งต้น  ช้างมีสติปัญญา และสามารถทำความเข้าใจได้ดีในการฝึกซ้อมและทำตามคำสั่งของควาญช้างที่ดูแลช้าง  และที่สำคัญช้างถูกใช้ในการสงคราม  เรียกว่า  “ช้างศึก”  ตั้งแต่ครั้งโบราณ

               ต้นเดือนอัลมุ่ฮัรรอม  ในปีที่ 882  นับจากศักราชซุ้ลกอรนัยน์  ท่านศาสดา   มุฮำมัด (ซ.ล)  ในเวลานั้นยังอยู่ในครรภ์มารดาของท่าน  กษัตริย์อับร่อฮะฮฺ  อัลอัชร็อมแห่งเอธิโอเปีย ซึ่งแผ่อำนาจมาถึงฝั่งยะมัน  ได้ยกทัพสู่นครมักกะฮฺ  หมายจะทำลายอาคารอัลกะอฺบะฮฺ  โดยทัพของอับร่อฮะฮฺที่มีขนาดใหญ่ประกอบด้วยช้างจ่าโขลง นามว่า  มะฮฺมูด  เป็นช้างขนาดใหญ่ที่มีพละกำลังมาก  พร้อมด้วยช้างศึกอีก 12  เชือก  บ้างก็ว่ามี 80 เชือก 

               
               เมื่อทัพเคลื่อนมาถึงอัลมิฆมัซฺ  ซึ่งห่างจากนครมักกะฮฺไม่มาก    อบูริฆอลฺ  คนนำทางก็ตายลงที่นั่น  ชาวอาหรับเมื่อผ่านหลุมฝังศพของอบูริฆอลฺก็จะเอาหินขว้างปาจนกลายเป็นธรรมเนียม  ต่อมา อับร่อฮะฮฺ  ก็ส่งม้าศึกมายังนครมักกะฮฺ   และทหารม้าได้ไล่ต้อนฝูงอูฐของอับดุลมุตตอลิบ ปู่ของท่านศาสดามุฮำมัด (ซ.ล) ไป 200 ตัว  พลเมืองมักกะฮฺก็คิดจะสู้รบกับกองทัพของอับร่อฮะฮฺ  แต่ภายหลังก็เปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าไม่สามารถสู้รบกับกองทัพขนาดมหึมานั้นได้ 

             
               อับร่อฮะฮฺส่งทูตไปแจ้งกับชาวเมืองมักกะฮฺว่า  ตนไม่ได้ยกทัพมาเพื่อสู้รบกับชาวเมืองแต่ประสงค์จะทำลายอาคารอัลกะอฺบะฮฺเท่านั้น  หากชาวเมืองไม่ประสงค์จะขัดขวางตน  ตนก็ไม่ประสงค์ที่จะหลั่งเลือดผู้ใด  อับดุลมุตตอลิบจึงกล่าวกับทูตว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ  พวกเราไม่ประสงค์ทำการสู้รบกับอับรอฮะฮฺ  และเราก็ไม่สนใจอาคารอัลกะอฺบะฮฺหรอก  เพราะพระองค์อัลลอฮฺจะทรงคุ้มครองและจัดการกับผู้ที่ประสงค์จะทำลายอาคารนั้นเอง   

               ต่อมาอับดุลมุตตาลิบก็ออกไปหาอับร่อฮะฮฺ  อับดุลมุตตอลิบเป็นคนที่มีร่างสูงใหญ่สง่างามและน่าเกรงขาม  ใครได้เห็นเป็นได้ชอบ  จึงมีผู้กล่าวแก่อับร่อฮะฮฺว่า : นี่คือผู้นำของเผ่ากุร็อยซ์ ซึ่งให้อาหารแก่ผู้คนและฝูงสัตว์น้อยใหญ่

 

               เมื่ออับร่อฮะฮฺได้เห็นอับดุลมุตตอลิบก็ให้เกียรติและเชิญให้อับดุลมุตตอลิบนั่งลงบนราชอาสน์ของตน อับร่อฮะฮฺจึงกล่าวกับล่ามว่า : จงว่ามาเถิด ท่านประสงค์สิ่งใด? อับดุลมุตตอลิบจึงกล่าวว่า :   ความประสงค์ของฉันก็คือ  ขอให้ท่านได้ส่งอูฐของฉันจำนวน 200 ตัวคืนแก่ฉัน  เมื่อกล่าวเช่นนั้น  อับร่อฮะฮฺจึงพูดว่า  ท่านทำให้ฉันต้องแปลกใจและฉงนยิ่งนัก  ท่านมาพูดกับฉันเพื่อขออูฐ 200 ตัวคืน  แต่ท่านกลับละทิ้งอาคารอันสำคัญนั้นตลอดจนศาสนาของท่านและบรรพชนของท่าน  ทั้งๆ ที่ฉันมาเพื่อทำลายอาคารนั้น  อับดุลมุตตอลิบจึงกล่าวตอบว่า  แท้จริงฉันเป็นเจ้าของอูฐฝูงนั้น  และสำหรับอาคารนั้นก็มีเจ้าของที่จะห้ามปรามมิให้ท่านกระทำการอันใดกับอาคารนั้น  อับร่อฮะฮฺจึงกล่าวว่า : เจ้าของอาคารแห่งนั้นก็ไม่อาจห้ามฉันได้  อับดุลมุตตอลิบจึงกล่าวว่า  นั่นเป็นเรื่องของท่านกับเจ้าของอาคารนั้น  อับร่อฮะฮฺจึงคืนฝูงอูฐให้กับอับดุลมุตตอลิบ 

 

               ภายหลังอับดุลมุตตอลิบได้กลับไปหาเผ่ากุรอยซ์และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พวกกุรอยซ์ทราบ  และบอกให้ชาวมักกะฮฺออกนอกเมืองไปหลบอยู่ตามช่องเขา  เพื่อเฝ้าดูว่าจะมีเหตุการณ์อันใดเกิดกับอับร่อฮะฮฺ  ครั้นรุ่งเข้าอับร่อฮะฮฺก็เตรียมทัพเพื่อเคลื่อนเข้าสู่นครมักกะฮฺและทำลายอาคารอัลกะอฺบะฮฺ  โดยให้ช้างที่ชื่อ มะฮฺมูด  เป็นทัพหน้า 

 

               เมื่อช้างบ่ายหน้าเข้าสู่นครมักกะฮฺ  ชาวอาหรับผู้หนึ่งที่ชื่อ นุฟัยล์ อิบนุ ฮะบีบ (บ้างก็ว่า นุฟัยล์ อิบนุ อับดิ้ลลาฮฺ) ก็จับหูช้างและกล่าวว่า  : โอ้มะฮฺมูด  จงก้มลงหมอบกับพื้นเถิด  และจงหันกลับไปแต่โดยดี  เพราะเจ้าอยู่ ณ ผืนแผ่นดินต้องห้าม  ว่าแล้วนุฟัยล์ก็ปล่อยหูช้าง  ช้างเชือกนั้นก็หมอบอยู่ไม่ยอมลุกขึ้น  ควาญช้างและเหล่าทหารก็เอาเหล็กตีช้างจนเลือดอาบ  มันก็ไม่ยอมลุกขึ้นยืนแต่ประการใด  พอควาญช้างบ่ายหน้ามันไปทางยะมัน  มันก็ยอมลุกขึ้นและวิ่งไปแต่โดยดี  พอให้มันบ่ายหน้าไปทางแคว้นชาม  มันก็ยอมทำตามอีกเช่นกัน  แต่ครั้นให้มันบ่ายหน้าไปทางนครมักกะฮฺ  มันก็ทรุดลงหมอบไม่ยอมลุกขึ้น 

 

               ขณะนั้นเองพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ)  จึงได้ทรงส่งฝูงนก อบาบีล  ที่คาบหินจากนรกซิจญีลมาปล่อยลงทำลายกองทัพของอับร่อฮะฮฺ  ซึ่งพากันล้มตายจนหมดสิ้น  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีเดียวกับการถือกำเนิดของท่านศาสดามุฮำหมัด (ซ.ล)  เรียกกันว่า ปีช้าง  และถูกระบุไว้ในบทอัลฟีลทั้งบท  นักวิชาการระบุว่า  หลังกองทัพช้างของอับร่อฮะฮฺถูกทำลายได้ 50 วัน  ท่านศาสดามุฮำมัด (ซ.ล) ก็ถือกำเนิด  เรื่องทัพช้างที่ถูกทำลายนี้  ดูเหมือนช้างจะรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร แต่มนุษย์นี่สิกลับบังอาจหาญกล้ากระทำในสิ่งที่เป็นภัยจนนำไปสู่ความวิบัติของทั้งคนและช้าง 

 

               ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  ที่มีอายุยืนเฉลี่ย 75 ปี  และนอนเพียงวันละ 2 ชั่วโมงก็พอแล้ว  ไม่เหมือนกับคนบางคนที่นอนขี้เซาและทำตัวเป็นคุณนายตื่นสาย  (ไม่ได้ว่าใครหรอกน่ะ)