สัตว์น้ำ
ในคัมภีร์อัลกุรอาน ระบุถึงสัตว์น้ำโดยเฉพาะสัตว์ทะเลเอาไว้ในรูปคำว่า ฮูต (حُوْتٌ ) หมายถึง ปลา (اَلسَّمَكُ ) มีรูปพหูพจน์ว่า อะฮฺวาตฺ , ฮูตะฮฺ และฮีตานฺ คำว่า ฮูต ถูกระบุในอายะฮฺที่ 61 และ 63 บทอัลกะฮฺฟี่ เป็นเรื่องของปลาที่ท่านศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) กับเด็กรับใช้ของท่านนำใส่ตะกร้าหรือข้อง ได้นำไปเป็นอาหารระหว่างการเดินทางไปพบท่านศาสดาค่อฎิรฺ (หรือคิเฎ็ร)
ปลาที่ว่านี้เป็นปลาย่าง แต่มันกลับมามีชีวิตและดิ้นออกจากข้องลงทะเลไป ซึ่งนั่นเป็นจุดนัดพบระหว่างท่านศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) กับศาสดาค่อฎิรแต่เด็กรับใช้ของท่านศาสดามูซา คือ ยูชะอฺ บิน นูนฺ ไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบ จวบจนกระทั่งเดินทางผ่านมาได้ระยะหนึ่ง ท่านศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) อ่อนล้าและเกิดอาการหิว จึงเรียกหาปลาที่นำมาเป็นอาหารกลางวัน
ยูชะอฺ บิน นูน จึงแจ้งให้ท่านศาสดาทราบและบอกว่า ชัยตอนทำให้ยูชะอฺลืมแจ้งเรื่องแปลกประหลาดนั้นแก่ท่านศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) ท่านจึงบอกว่า นั่นแหล่ะ คือสิ่งที่เราสองคนกำลังแสวงหา ทั้งสองจึงย้อนกลับไปยังที่ซึ่งปลาตัวนั้นหลุดจากข้องไป แล้วทั้งสองก็พบกับศาสดาค่อฎิร (อะลัยฮิซซลาม) และเกิดเรื่องราวดังที่ถูกระบุไว้ในบทอัลกะฮฺฟี่ นับแต่อายะฮฺที่ 60 ถึงอายะฮฺที่ 82
นักวิชาการได้ระบุว่า ปลาที่ท่านศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) ให้ยูชะอฺ บิน นูน นำใส่ข้องไปด้วยนั้นเป็นปลาย่าง ต่อมามันก็หลุดออกจากข้องไปและว่ายลงทะเล น้ำทะเลบริเวณนั้นก็หยุดไหลและจับตัวแข็งรอบๆ ตัวปลา เหมือนโขดหิน มีรายงานจากท่านอิบนุ อับบาส (ร.ฎ) ว่า เหตุที่ปลาย่างกลับมามีชีวิตเพราะมันโดนหยดน้ำจากตาน้ำแห่งหนึ่งที่นั่น เรียกกันว่า ตาน้ำแห่งชีวิต (عَيْنُ الْحَيَاةِ ) ซึ่งหยดน้ำนี้เมื่อโดนหรือสัมผัสกับสัตว์ที่ตาย มันจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่
แต่อัลกัลบีย์ กล่าวว่า ยูชะอฺ บิน นูน ได้อาบน้ำละหมาดจากน้ำของตาน้ำแห่งชีวิต และน้ำก็หยดลงบนตัวปลาที่ถูกใส่เกลือขณะที่มันอยู่ในข้องแห้งๆ จนลงน้ำทะเลไป ตรงนั้นเรียกว่า ที่รวมของทะเลสองแห่ง (مَجْمَعُ الْبَحْرَيْنِ ) ซึ่งนักวิชาการก็กล่าวไว้แตกต่างกัน เช่น คือทะเลเปอร์เซียกับทะเลรูมถัดจากทิศตะวันออก บ้างก็บอกว่า ทะเลจอร์แดนกับทะเลกุลซุม บ้างก็ว่าเป็นทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตกกับทะเลที่อยู่ตรงช่องแคบ
เรื่องของปลาย่างที่กลับมามีชีวิตนี้ นับเป็นเรื่องแปลก แต่ก็รับฟังเอาไว้เพื่อประดับความรู้ก็แล้วกัน สิ่งที่จำเป็นต้องเชื่อก็คือ เจ้าปลาตัวนี้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์อัล กุรอานในเรื่องของศาสดามูซา (อะลัยฮิซซลาม) ส่วนที่เล่าให้ฟังนั้นเป็นรายละเอียดที่ไม่รู้ไม่ทราบก็ไม่เป็นไรหรอก
มาถึงเรื่องของปลาอีกตัวหนึ่ง เป็นปลาจริงๆ คือ ไม่ใช่ปลาเค็มย่างที่ฟื้นคืนชีพ ปลาตัวนี้เรียกกันว่า ปลาของศาสดายูนุส บุตร มัธทาย (อะลัยฮิซซลาม) และเรียกศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ว่า เจ้าของปลา (صَاحِبُ الْحُوْتِ ) โดยถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน บทอัซซอฟฟาต อายะฮฺที่ 142 และบทอัลก่อลัม อายะฮฺที่ 48
ศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ถูกส่งไปยังเมืองนีเนเว่ห์ ใกล้กับเมืองโมซุลในอิรักเพื่อเรียกร้องเชิญชวนชาวเมืองให้ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) แต่ปรากฏว่า ชาวเมืองไม่ยอมศรัทธา ท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ก็ถอดใจและหนีออกจากเมืองไปโดยไม่ได้มีบัญชาของพระเจ้าให้กระทำเช่นนั้น ท่านหนีลงเรือลำหนึ่งซึ่งบรรทุกผู้คนเป็นจำนวนมาก จนต้องมีการจับฉลากเพื่อหาคนที่สละเรือ ปรากฏว่าท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) จับฉลากได้ ชาวเรือจึงจับท่านโยนลงทะเล
นักวิชาการระบุว่า ท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ไม่สบายใจที่ชาวเมืองไม่เชื่อคำเรียกร้องของท่าน ท่านจึงเตือนพวกนั้นว่าจะถูกพระผู้เป็นเจ้าลงทัณฑ์ในเวลาอันใกล้ แล้วท่านก็ออกจากเมืองในสภาพที่ขุ่นเคืองชาวเมือง ความขุ่นเคืองได้นำพาให้ท่านออกเดินทางไปยังริมฝั่งทะเล ซึ่งที่นั่นมีเรือโดยสารที่มีผู้คนเพียบแปล้ ท่านลงเรือลำนั้นไป
ต่อมาเกิดลมพายุและคลื่นใหญ่ จนเรือเกือบจะอับปาง พวกชาวเรือจึงพากันกล่าวว่า : ในเรือลำนี้มีทาสที่กบฏต่อนายร่วมโดยสารมาด้วย และเรือลำนี้จะปลอดภัยถ้าจับทาสผู้นั้นโยนลงน้ำไปเสีย จึงจับฉลากดังที่กล่าวมา เมื่อศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ถูกจับโยนลงทะเล ก็มีปลาตัวหนึ่งมากลืนท่านลงท้องไป นักวิชาการระบุว่า พระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) ได้มีบัญชากับปลาตัวนั้นว่า ข้ามิได้ให้ยูนุสเป็นอาหารของเจ้า เพียงแต่ทำให้ท้องของเจ้าเป็นที่เก็บและคุมขังยูนุสเอาไว้
ในขณะที่อยู่ในท้องปลาท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ได้สำนึกผิดและกล่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์นั้นเป็นผู้หนึ่งจากเหล่าผู้อธรรม” พระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) จึงให้ท่านรอดชีวิตจากท้องปลานั้น
นักวิชาการระบุว่า ท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) อยู่ในท้องปลาเป็นเวลา 3 วัน , 7 วัน , 20 วัน และ 40 วันตามความเห็นที่ต่างกัน บ้างก็ว่าปลาได้กลืนท่านลงท้องไปในช่วงสายและคายท่านออกมาในตอนเย็นของวันเดียวกัน (ดู ฮะยาตุ้ล ฮะยะวาน อัลกุบรอ ของ อัดดุมัยรี่ย์ 1/268) ปลาของท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) คงไม่ใช่ปลาตัวเล็กๆ แต่น่าจะเป็นปลาที่มีขนาดเขื่องเอาการ เพราะสามารถกลืนคนเป็นๆ ลงท้องไปได้
อย่างไรก็ตาม อัลกุรอานใช้คำว่า ฮูต (حُوْتٌ ) ซึ่งหมายถึง “ปลา” กินความหมายกว้าง ไม่เจาะจงว่าเป็นปลาชนิดใด มีเพียงท้องเรื่องที่ส่อให้เห็นว่า ปลาตัวนี้ (ปลาของศาสดายูนุส อะลัยฮิซซลาม) กลืนท่านลงท้องและสามารถอยู่ในท้องของมันได้ แสดงว่าเป็นปลาใหญ่ อาศัยอยู่ในทะเล
คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็น “วาฬ” หรือ “ปลาวาฬ” เป็นชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับ Odontoceti และ Mysticeti มีหลายชนิดในหลายวงศ์ ขนาดใหญ่มาก หัวมนใหญ่ หางแบนเพื่อช่วยในการพุ้ยน้ำ สามารถพ่นอากาศที่มีไอน้ำออกทางจมูกได้เวลาโผล่ขึ้นมาหายใจ เช่น ปลาวาฬสีน้ำเงิน (Balaenoptera musoulus) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในภาษาอาหรับเรียก ปลาวาฬว่า บาลฺ (اَلْبَالُ ) แต่ในอัลกุรอานใช้คำที่มีความหมายกว้าง ๆ ว่า ฮูต (حُوْتٌ ) ซึ่งหมายถึง ฮูตกะบีร (حَوْتٌ كَبِيْرٌ ) คือ ปลาใหญ่ ซึ่งก็คือ ปลาวาฬนั่นเอง บางทีก็เรียกกันว่า นูน (نُوْنٌ ) หมายถึง ปลา
เหตุนี้จึงเรียกท่านศาสดายูนุส (อะลัยฮิซซลาม) ว่า ซูนนูน (ذُوالنُّوْنِ ) -The prophet Jonah- ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่า ซอฮิบุ้ลฮูต (صَاحِبُ الْحُوْتِ ) ในอัลกุรอาน อันมีความหมายว่า เจ้าของปลานั่นเอง นักวิชาการระบุว่า ปลาวาฬ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเล ตัวที่มีขนาดใหญ่มากๆ นั้น อาจจะมีขนาดความยาวถึง 50 ศอก หรือ 500 ศอก หรือมากกว่า เวลาที่มันโผล่สีข้างเหนือน้ำจะมีลักษณะเหมือนกระโดงเรือขนาดใหญ่ ชาวเรือในสมัยก่อนกลัวปลาชนิดนี้มาก เมื่อรู้ว่ามันอยู่ใกล้ๆ กับเรือก็จะตีกลองเพื่อไล่มัน
บางทีชาวอาหรับก็เรียกปลาวาฬ ว่า อัมบัร (اَلْعَنْبَرُ ) ซึ่งมีความหมายเดียวกับ อำพัน โดยมากเรียกว่า อำพันขี้ปลา หรือ อำพันทอง เป็นวัตถุสีเทาและสีเหลือง มีกลิ่นหอม ลอยอยู่ในทะเลหรือริมฝั่งทะเลของประเทศแถบร้อน เข้าใจว่าเป็นขี้ปลาวาฬชนิดหนึ่ง ชาวอาหรับเรียกสัตว์ทะเลที่กินอำพันว่า “อัมบัร” ซึ่งหมายถึง ปลาวาฬนั่นเอง
มีรายงานโดยท่านบุคอรีย์ จากท่านญาบิร (ร.ฎ) ว่า ครั้งหนึ่งเหล่าสาวกจำนวน 300 ท่าน ได้ออกลาดตระเวนเพื่อเฝ้าติดตามกองคาราวานสินค้าของพวกกุรอยซ์ ในครั้งนั้นเหล่าสาวกกินอินทผลัมประทังชีวิตอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ต่อมาก็เดินทางสู่ชายทะเล ก็พบซากปลาวาฬที่ตายเกยตื้นอยู่ มีขนาดใหญ่เหมือนภูเขาลูกย่อมๆ จึงอาศัยเนื้อและไขมันปลาวาฬกินประทังชีวิตอยู่ราว 1 เดือน
ภายหลังกลับสู่นครม่าดีนะฮฺ ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านศาสดา (ซ.ล) ทราบ ท่านก็บอกว่า นั่นเป็นอาหารที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงบันดาลให้มันออกมาสำหรับพวกท่าน และท่านศาสดา (ซ.ล) ก็ถามว่า มีเนื้อของมันเหลืออยู่กับพวกท่านบ้างหรือไม่ ? เหล่าสาวกจึงนำเอาเนื้อปลาวาฬนั้นให้กับท่านศาสดา (ซ.ล) ท่านก็ทานเนื้อนั้น (ฮะยาตุ้ล ฮะยะวาน อัลกุบรอ , อัดดุมัยรี่ย์ 2/157)
ในสมัยก่อน มีการล่าปลาวาฬกันมากเพื่อเอาเนื้อมาบริโภคและนำเอาไขของปลาวาฬมาเคี่ยวทำน้ำมัน แต่ปัจจุบันประชากรปลาวาฬลดน้อยลงมาก จึงมีการรณรงค์ให้เลิกล่าปลาวาฬ แต่ดูเหมือนว่าชาวอาทิตย์อุทัยหรือญี่ปุ่นยังคงยืนกรานที่จะล่าปลาวาฬกันต่อไป