คัมภีร์อัล-กุรอานกับคริสตชน : ภาคที่ 4

การประกาศข่าวอันประเสริฐของอัล-มีสีหฺ อีซา บุตรมัรยัม ถึงการมาของศาสนทูตท่านสุดท้าย

พระองค์อัลลอฮฺ (พระผู้ทรงบริสุทธิ์และสูงสุด) ได้ดำรัสไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า

أَوَلَمْ يَكُن لَّهُمْ آيَةً أَن يَعْلَمَهُ عُلَمَاءُ بَنِي إِسْرَائِيلَ

ความว่า “ไม่ปรากฏมีเครื่องหมายสำหรับพวกเขาในการที่เหล่านักปราชญ์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะรู้ถึงเขา (ศาสนทูตท่านสุดท้าย) กระนั้นหรือ!” (อัชชุอะรออฺ อายะฮฺที่ 197)

อายะฮฺนี้บ่งชี้ว่าแท้จริงส่วนหนึ่งจากบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งที่บ่งถึงความสัตย์จริงของนบีมุฮำมัด ศาสนทูตท่านสุดท้าย และความสัตย์จริงของสิ่งที่นบีมุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้นำมาประกาศคือความรู้ของเหล่านักปราชญ์แห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลที่มีต่อสิ่งดังกล่าว อันเป็นความรู้ที่ถูกบันทึกและถูกจดจำเอาไว้ในคัมภีร์ของพวกเขา

ดังที่อัล-กุรอานได้ระบุว่า

وَإِنَّهُ لَفِي زُبُرِ الْأَوَّلِينَ

ความว่า “และแท้จริง (เรื่องราวและคุณลักษณะของ) เขา (ศาสนทูตท่านสุดท้าย) มีปรากฏอยู่ในบรรดาคัมภีร์ของชนรุ่นบรรพกาล” (อัชชุอะรออฺ อายะฮฺที่ 196)

มีรายงานจากท่าน อัล-อิรบาฏ อิบนุ สารียะฮฺ จากท่านนบีมุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า : แท้จริงตัวฉัน ณ องค์อัลลอฮฺมีบันทึกว่าฉันคือตราประทับของบรรดาผู้เผยพระวจนะและแท้จริงอาดัม นั้นยังเป็นธุลีดิน และฉันจะบอกพวกท่านถึงเบื้องแรกของฉันว่า ตัวฉันคือคำวิงวอนของอิบรอฮีม (อับราฮัม) คือข่าวดีของอีซา (พระเยซูคริสต์) และคือนิมิตที่มารดาของฉันได้ประจักษ์ขณะที่นางคลอดฉัน แน่แท้มีรัศมีบรรเจิดออกมาแก่นาง ส่องสว่างแก่นางให้เห็นบรรดาปราสาทแห่งแคว้นชาม (ซีเรีย) จากรัศมีนั้น” (มิชกาตุ้ล มะศอบีหฺ ของ อัตติบริซียฺ 3/127)

ในคัมภีร์ อัล-กุรอานได้ระบุถึงคำวิงวอนของอิบรอฮีม (อะลัยฮิสลาม) เมื่อครั้งที่ท่านกับอิสมาอีล (อิชฺมาเอล) บุตรชายหัวปีของท่านได้ยกศิลารากฐานของบัยตุลลอฮฺ อัล-หะรอมที่นครมักกะฮฺว่า

رَبَّنَا وَابْعَثْ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِكَ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَيُزَكِّيهِمْ ۚ إِنَّكَ أَنتَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ

ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลแห่งเรา และขอพระองค์ได้ส่งมาในหมู่พวกเขาซึ่ง ศาสนทูตผู้หนึ่งจากหมู่พวกเขา ซึ่งศาสนทูตผู้นั้นจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขาและสอนให้พวกเขารู้คัมภีร์และวิทยญาณและชำระพวกเขาให้หมดจด แท้จริงพระองค์ท่านทรงเกริกเกียรติ ทรงพระปรีชาญาณยิ่งนัก” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 129)

ส่วน “ข่าวดีของอีซา” ที่ประกาศแก่ชาวอิสราเอลถึงการมาของศาสนทูตท่านสุดท้ายนั้นมีปรากฏในอัล-กุรอานว่า

وَإِذْ قَالَ عِيسَى ابْنُ مَرْيَمَ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ إِنِّي رَسُولُ اللَّـهِ إِلَيْكُم مُّصَدِّقًا لِّمَا بَيْنَ يَدَيَّ مِنَ التَّوْرَاةِ وَمُبَشِّرًا بِرَسُولٍ يَأْتِي مِن بَعْدِي اسْمُهُ أَحْمَدُ ۖ فَلَمَّا جَاءَهُم بِالْبَيِّنَاتِ قَالُوا هَـٰذَا سِحْرٌ مُّبِينٌ

ความว่า “และจงรำลึกขณะเมื่ออีซา บุตรมัรยัมได้กล่าวว่า : โอ พงศ์พันธุ์แห่งอิสราเอล แท้จริงฉันคือศาสนทูตของอัลลอฮฺที่ถูกส่งมายังพวกท่าน ในฐานะผู้ยืนยันความสัจจริงของคัมภีร์เตารอตที่อยู่เบื้องหน้าฉัน และแจ้งข่าวดีถึงศาสนทูตผู้หนึ่งที่จะมาภายหลังฉัน นามของเขาคือ “อะหฺหมัด” (ผู้สรรเสริญพระเจ้าเป็นที่สุด) ครั้นเมื่อศาสนทูตนั้นได้นำสัญญาณต่างๆ มายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า นี่คือเวทมนต์อันชัดเจน” (อัศศ็อฟ อายะฮฺที่ 6)


การที่คัมภีร์ อัล-กุรอานได้ระบุถึงการแจ้งข่าวดีของอัล-มะสีหฺ อีซา บุตร มัรยัม (อ.ล.) เกี่ยวกับการมาของศาสนทูตท่านสุดท้ายภายหลังท่านโดยเอ่ยนามไว้เสร็จสรรพว่า ศาสนทูตนี้มีนามว่า อะหฺหมัด (أَحْمَدُ) ย่อมเป็นการกำหนดที่มีเป้าหมายเฉพาะ กล่าวคือ เน้นประเด็นสำคัญไปที่คำว่า “อะหฺมัด” ดังนั้นการกลับไปสืบค้นในพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็จะมุ่งเน้นในนามชื่อนี้เป็นสาระหลัก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ความหมายของคำว่า อะหฺมัด (أَحْمَدُ)

คำว่า “อะหฺมัด” (AHMAD) เป็นคำนามที่บ่งถึงลักษณะอันเป็นที่สุดของความหมายนั้น เรียกในภาษาอาหรับว่า اِسْمُ التَّفْضِيْلِ (อิสมุ-อัตตัฟฎีล) เช่น أَكْبَرُ (อักบัรฺ) ใหญ่ที่สุดหรือใหญ่กว่า أَكْثَرُ (อักษัร) มากที่สุดหรือมากกว่า เป็นต้น คำว่า อะหฺมัด มาจากคำกริยาว่า หะมิด้า (حَمِدَ) มีความหมายว่า สรรเสริญ, เยินยอ ดังนั้น คำว่า อะหฺมัด จึงมีความหมายว่า ผู้สรรเสริญเป็นที่สุด และเป็นนามหนึ่งของนบี มุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม)

ดังปรากฏในบันทึกวจนะของอัล-บุคอรียฺว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : “แท้จริงสำหรับฉันนั้นมีบรรดานามชื่อ ฉันคือมุฮำมัด (ผู้ได้รับการสรรเสริญเป็นอันมาก) ฉันคืออะหฺมัด (ผู้สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สุด) ฉันคือ อัล-มาฮียฺ คือ ผู้ที่อัลลอฮฺทรงลบล้างการปฏิเสธด้วยผู้นั้น ฉันคือ อัล-หาชิรฺ คือผู้ซึ่งมวลมนุษย์จะถูกรวบรวมเหนือเท้าทั้งสองของฉัน และฉันคือ อัล-อากิบฺ (ผู้มาภายหลัง)” (ตัฟสีร อิบนุ กะษีรฺ 6/646)

2. ศาสนทูตท่านสุดท้ายตามที่ปรากฏในพระคริสตคัมภีร์ใหม่

“เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป

คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ยอห์น 14 : 16-17)


“เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กับท่าน แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่งและจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ยอห์น 14 : 25-26)


“แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา(ยอห์น 15 : 26)


“อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็ใช้พระองค์มาหาท่าน  เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา” (ยอห์น 16 : 7-8)

“เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น”

“พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16 : 13-14)

นี่คือถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกล่าวกับสาวกของพระองค์ตามที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับของยอห์นซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นพระคริสตธรรมฉบับเดียวที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุด ทั้งนี้มีข้อสังเกตอยู่หลายประเด็นด้วยกันดังนี้

1. พระบิดาจะประทานผู้ช่วยอีกคนให้แก่ท่าน

2. องค์พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของพระเยซูคริสต์

3. องค์ผู้ช่วยจะสอนทุกสิ่งและให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่ พระเยซูคริสต์กล่าวไว้แก่เหล่าสาวกของพระองค์แล้ว

4. องค์ผู้ช่วยจะเป็นพยานให้แก่พระเยซูคริสต์

5. พระองค์จะเสด็จมาต่อเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จไปแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จมาจะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในความผิด ความชอบธรรมและการพิพากษา

6. พระองค์จะนำไปสู่ความจริงทั้งหลายโดยจะไม่ตรัสโดยพลการ แต่จะตรัสตามสิ่งที่ได้ยิน

7. พระองค์จะทำให้พระเยซูคริสต์ได้รับเกียรติและนำสิ่งที่เป็นของพระเยซูคริสต์มาสำแดง

ประเด็นที่ 1

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป” (ยอห์น 14 : 16)  หากผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง (another Counselor) เป็นพระวาทะของพระเจ้า ซึ่งในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ( In the beginning was the word, and the word was with God, and the word was Gad)

และพระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (The Word become flesh and lived for a while among us) คือพระวาทะนั้นบังเกิดเป็นพระเยซูคริสต์ตามที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับยอห์นระบุเอาไว้ (ยอห์น 1 : 1, 14) เหตุใดพระเยซูคริสต์จึงต้องทูลขอพระบิดาอีก ในเมื่อพระวาทะมาบังเกิดเป็นพระองค์แล้ว และเหตุใดพระบิดาจึงต้องประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่สาวกของพระเยซูคริสต์อีก เพราะพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นแล้ว

และคำว่า ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง จะหมายถึงพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? เพราะคำว่า อีกผู้หนึ่ง (another) ย่อมหมายถึงผู้อื่นที่มิใช่พระองค์ หากองค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (the spirit) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาม พระภาคของพระผู้เป็นเจ้า แล้วเหตุไฉน พระเยซูคริสต์จึงต้องทูลขอพระบิดาอีก ในเมื่อพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบได้เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์แล้วภายหลังการรับบัพติศมาของพระองค์จากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมานั้น

ดังปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า : ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็น พระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์ (มัทธิว 3 : 16)

“พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดก็ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพระวิญญาณดุจนกพิราบลงมาสู่พระองค์” (มาระโก 1 : 8)

“อยู่มาเมื่อคนทั้งปวงรับบัพติศมา และพระเยซูทรงรับด้วย ขณะเมื่อทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรูปสัณฐานเหมือนนกพิราบได้ลงมาบนพระองค์…”  (ลูกา 3 : 21-22)

“และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบเสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์” (ยอห์น 1 : 32)


“เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ยอห์น 1 : 33)


ในถ้อยความของพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 4 ฉบับยืนยันว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาจากพระบิดาในรูปของนกพิราบและสถิตอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์ได้รวมเป็นหนึ่งไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จึงกลายเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วด้วยเหตุใดเล่าพระองค์จึงตรัสว่าจะมีองค์ผู้ช่วยซึ่งเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกผู้หนึ่ง เสด็จมาตามบัญชาของพระบิดาอีก! และประโยคที่ว่า “เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป” ( to be withyou forever)

และประโยคที่ว่า “คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ยอห์น 14 : 17) ถ้าพระวิญญาณแห่งความจริงคือพระเยซูคริสต์ แล้วทำไมพระองค์จึงต้องเสด็จจากพวกเขาขึ้นสู่สวรรค์ไปประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบิดา

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” (ยอห์น 16 : 7) ซึ่งนั่นแสดงว่าพระองค์ไม่ได้อยู่กับพวกเขาตลอดไป แต่พระองค์มีกำหนดเวลา และถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขาแล้ว และประทับอยู่ในพวกเขาแล้ว (for he lives with you and will be in you) (ยอห์น 14 : 17) เหตุไฉนพระเยซูคริสต์จึงต้องทูลขอพระบิดาอีก ในเมื่อองค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขาแล้ว!

ประเด็นที่ 2

องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะทรงใช้มาในนามของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระองค์ได้แจ้งไว้กับบรรดาสาวกของพระองค์ คำว่า “พระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา” ย่อมแสดงว่าองค์ผู้ช่วยนั้นเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะถูกส่งมาแจ้งแก่โลกถึงเรื่องราวอันเป็นความจริงของพระเยซูคริสต์

หากองค์ผู้ช่วยหมายถึงพระเยซูคริสต์ นั่นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดในการที่พระองค์จะตรัสถึงว่า “องค์ผู้ช่วยนั้นมาในนามของพระองค์” เพราะพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขาอยู่แล้ว และพระองค์ทรงสำแดงพระนามของพระผู้เป็นเจ้าตามที่ได้มีบัญชามา ส่วนองค์ผู้ช่วยนั้นจะสำแดงในนามของพระเยซูคริสต์เพราะองค์ผู้ช่วยจะเสด็จมาตามที่พระองค์ทูลขอพระบิดาเอาไว้แก่เหล่าสาวกของพระองค์

ประเด็นที่ 3

“องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่งและให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” ประโยคนี้ยืนยันว่า องค์ผู้ช่วยมิใช่พระเยซูคริสต์หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสามภาคของพระเจ้า ทั้งนี้เพราะพระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้” (ยอห์น 16 : 12)

นั่นแสดงว่าองค์ผู้ช่วยจะมาบอกในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ยังไม่ได้บอกแก่เหล่าสาวกของพระองค์ เพราะพวกเขายังไม่พร้อมที่จะรับ จนกว่าองค์ผู้ช่วยจะมาและนำสิ่งเหล่านั้นมาบอกซึ่งพวกเขาก็จะระลึกขึ้นได้ตามที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “แต่ที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟัง ก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะได้ระลึกว่าเราได้บอกท่านไว้แล้ว” (ยอห์น 16 : 4) จึงเข้าใจได้ว่า “เวลานั้น” ต้องเกิดภายหลังพระเยซูคริสต์เสด็จไปแล้วเท่านั้น!

ประเด็นที่ 4

องค์ผู้ช่วยจะเป็นพยานให้แก่พระเยซูคริสต์นั่นย่อมแสดงว่าผู้เป็นพยานมิใช่พระเยซูคริสต์แต่เป็นผู้ที่จะมายืนยันเป็นพยานถึงความสัตย์จริงของพระเยซูคริสต์ หากองค์ผู้ช่วยหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเยซูคริสต์ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีองค์ผู้ช่วยมาเป็นพยานถึงความสัตย์จริงของพระองค์อีก

เพราะพระเยซูคริสต์ตรัสว่า : “ถึงแม้เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามากจากไหนและจะไปที่ไหน” (ยอห์น 8 : 14) “เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้แก่เราด้วย” (ยอห์น 8 : 18)

ประเด็นที่ 5

องค์ผู้ช่วยจะเสด็จมาเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จไปแล้ว คือไปยังที่ๆ พวกเขา (เหล่าสาวก) ไปไม่ได้ ถ้าหากองค์ผู้ช่วยคือพระเยซูคริสต์เองหรือคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในพระองค์นั่นแสดงว่าองค์ผู้ช่วยเสด็จมาแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า : “เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 8 : 42)

เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้วยังพวกเขา เหตุไฉนพระองค์จึงตรัสว่า : เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน (ยอห์น 16 : 7) แสดงว่าองค์พระผู้ช่วยมิใช่พระเยซูคริสต์แต่เป็นอีกผู้หนึ่งที่จะเสด็จมาเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จไปแล้ว และถ้าหากองค์พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหตุไฉนพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต้องเสด็จมาอีกในเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขาแล้ว (ดู กิจการของอัครทูต 2 : 4, 12-18)

และเมื่อองค์พระผู้ช่วยเสด็จมาแล้วพระองค์ก็จะทรงกระทำให้โลกได้รู้จักความผิด ความชอบธรรม และคำพิพากษา นี่ก็แสดงว่าองค์พระผู้ช่วยมิใช่พระเยซูคริสต์อีกเช่นกัน เพราะพระองค์ได้กระทำกิจจานุกิจดังกล่าวแล้ว ไฉนพระองค์จึงจะต้องจากไปและกลับมากระทำกิจจานุกิจนั้นซ้ำอีก

ในทำนองนั้น หากองค์พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณ บริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าที่เป็นหนึ่งในพระภาคทั้ง 3 ของพระเป็นเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมาแล้วพร้อมกับการมาของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระบุตรนับตั้งแต่ที่พระองค์รับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาแล้ว (ดู พระคริสตธรรมคัมภีร์ทุกฉบับเรื่องพระเยซูทรงรับบัพติศมา)

ประเด็นที่ 6

องค์พระผู้ช่วยจะนำไปสู่ความจริงทั้งหลาย และจะไม่ตรัสโดยพละการ แต่จะตรัสสิ่งที่ทรงได้ยินจากพระบิดา ประเด็นนี้บ่งชี้ว่าองค์พระผู้ช่วยที่จะเสด็จมาภายหลังพระเยซูคริสต์จากไปสู่พระบิดาคือผู้เผยพระวจนะอีกท่านหนึ่ง เพราะพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เหล่าสาวกของพระองค์เพราะยังไม่ถึงเวลาและพวกเขายังรับความจริงเหล่านั้นเอาไว้ไม่ได้

และสถานภาพในการเป็นผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้ช่วยก็ไม่ได้ต่างจากการเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเยซูคริสต์เลยในเรื่องนี้ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 7 : 16)   “เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้นเราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบัญชา” (ยอห์น 12 : 49,50)

ประเด็นที่ 7

องค์พระผู้ช่วยจะทรงให้เรา (พระเยซูคริสต์) ได้รับเกียรติเพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย ถ้อยความนี้บ่งชี้ชัดเจนว่า องค์พระผู้ช่วยมิใช่พระเยซูคริสต์ แต่เป็นอีกผู้หนึ่งที่จะเสด็จมาและสรรเสริญเกียติของพระเยซูคริสต์ ถ้าหากองค์พระผู้ช่วยคือพระเยซูคริสต์ก็เท่ากับพระองค์ให้เกียรติแก่พระองค์เอง ซึ่งพระองค์ตรัสว่า : ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย…” (ยอห์น 8 : 54) (If I glorify myself, my glory means nothing) แต่ด้วยการเสด็จมาในภายหลังขององค์พระผู้ช่วย เกียรติของพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับการยืนยันและเป็นพยานถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์และพระมารดาของพระองค์

3. เราได้ตั้งประเด็นเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับองค์พระผู้ช่วยว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ไปแล้วข้างต้น ยังคงมีประเด็นค้างคาใจอยู่ในเรื่องนี้เกี่ยวกับถ้อยความที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับยอห์นว่า :

เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่านเพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้…” (ยอห์น 14 : 26) “แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง…” (ยอห์น 15 : 26)  “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว…” (ยอห์น 1 : 13)

ถ้อยคำทั้งหมดบ่งชี้ว่า “องค์พระผู้ช่วย” มิใช่มนุษย์กระนั้นหรือ? เพราะเมื่อพระองค์เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ (اَلرُّوْحُ القُدُس) หรือเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง (رُوحُ الْحَقِّ) องค์พระผู้ช่วยก็ไม่น่าจะเป็นมนุษย์! คำตอบปรากฏอยู่ในประเด็นต่างๆ ที่ตั้งข้อสังเกตมาแล้วนั่นเอง ข้อมูลเพิ่มเติมก็คือ การใช้สำนวนว่า “พระวิญญาณ” ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับกรีกถูกนำมาใช้ถึงมนุษย์ที่มีวิวรณ์มายังเขาหลายที่ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น

“ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”

“พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า”

“อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเอง ฉันใด เพราะคำดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” (1 โครินทร์ 2 : 9-11)

“เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เรา” (1 โครินทร์ 2 : 12)

“คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง…” (1 โครินทร์ 2 : 9-13)

“แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้…” (1 โครินทร์ 2 : 15)

“อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือตื่นตระหนกตกใจ ไม่ว่าจะเป็นโดยทางวิญญาณ หรือโดยทางคำพูด หรือ….” (2 เธสะโลนิกา 2 : 2)

“…เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิมให้ถึงที่รอด โดยพระวิญญาณทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์และโดยท่านได้เชื่อความจริง” (2 เธสะโลนิกา 2 : 13)

“ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่าผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก” (1 ยอห์น 4: 1)

“……….เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา”  (1 ยอห์น 4 : 13)

ฝ่ายคริสตชนได้ตีความคำทูลขอของพระเยซูคริสต์ในเรื่องของ “องค์พระผู้ช่วย” ว่าหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณแห่งความจริง โดยอ้างถึงการเสด็จมาขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังบรรดาอัครทูตที่ประกาศคำสอนของพระเยซูคริสต์ในภายหลัง เช่น กรณีที่เกิดขึ้นกับซีโมนเปโตรและเปาโล เป็นต้น ซึ่งหมายความว่า องค์พระผู้ช่วย มิใช่มนุษย์แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า การตีความเช่นนี้มุ่งหมายปฏิเสธการมาของผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายภายหลังพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ผลที่ตามมาจากการตีความตามความมุ่งหมายของคริสตชนทำให้เกิดความขัดแย้งในถ้อยคำของพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ ยอห์นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่คำจำกัดความของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสถานภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่ามีสถานภาพเช่นใด และนี่เป็นความขัดแย้งในหมู่คริสตชนเองซึ่งมีประวัติย้อนกลับไปยังการประชุม สังฆสภาคริสตชน ภายหลังการประชุมสังฆสภาคริสตจักรที่เมืองนีเกีย (ตุรกี) มีความขัดแย้งเกี่ยวกับสถานภาพของ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ออกเป็น 2 ฝ่าย

คริสจักรแห่ง อเล็กซานเดรียถือว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งในพระภาคทั้ง 3 ของพระผู้เป็นเจ้า อีกฝ่ายหนึ่งนำโดย มาซิโอนิอุส พระราชาคณะแห่งคอนสแตนติโนเปิล และโอซาบิอุส ฝ่ายนี้ปฏิเสธเรื่องพระภาคทั้ง 3 ของพระเจ้าและถือว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ มิใช่พระเจ้าแต่เป็นสิ่งถูกสร้าง

ความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่การจัดประชุมสังฆสภาคริสตจักร ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยการอุปถัมภ์ของจักรพรรดิธาโอดิอุส มหาราช ในปี ค.ศ. 381 ซึ่งมีพระราชาคณะเข้าร่วมเพียง 150 คน มติของที่ประชุมถือว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้เป็นเจ้า และยืนยันว่า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็น 3 พระภาค

คุณพ่อพอลส์ อิเลียส กล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” คือพระวิญญาณที่เสด็จลงเหนือพระแม่มารีย์ขณะมีการแจ้งข่าวดี และเสด็จลงเหนือองค์พระเยซูคริสต์ในการรับบัพติศมา และเสด็จลงเหนือเหล่าอัครทูตภายหลังการเสด็จสู่ฟากฟ้าเบื้องบนขององค์พระเยซูคริสต์ (พระเยซูคริสต์ : พอลส์ อิเลียส หน้า 73)

ดังนั้นการให้คำจำกัดความ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” จึงสรุปได้ว่า

1. คือทูตสวรรค์กาเบรียล (ญิบรออีล)

2. คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งมาจากพระบิดาและเป็นหนึ่งในพระภาคทั้ง 3 ของพระเป็นเจ้าตามความเชื่อแบบตรีเอกานุภาพ

3. คือองค์พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรซึ่งพระวิญญาณสถิตอยู่กับพระองค์

4. คือองค์พระผู้ช่วยซึ่งเป็นมนุษย์และเป็นผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้าย

ในข้อที่ 1 นั้นถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์คือองค์พระผู้ช่วยตามที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ ยอห์นกล่าวเป็นทูตสวรรค์กาเบรียล (ญิบรออีล) ก็ไม่มีความจำเป็นที่พระเยซูจะต้องทรงทูลขอพระบิดาให้ทูตสวรรค์กาเบรียลเสด็จมาภายหลังพระองค์เพราะทูตสวรรค์ผู้เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้มาก่อนหน้าพระองค์แล้วยังบรรดาผู้เผยพระวจนะในอดีตตามพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า และมาในช่วงการแสดงกิจจานุกิจของพระเยซูคริสต์และภายหลังพระองค์อยู่แล้ว พระเยซูคริสต์จะเสด็จไปหรือไม่ ทูตสวรรค์ผู้นี้ก็มาอยู่แล้ว ตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า

ส่วนข้อที่ 2 และข้อที่ 3 ก็ไม่ต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น ในเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าหรือเป็นหนึ่งในพระภาคทั้ง 3 ของพระเจ้า และสถิตอยู่กับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรอยู่แล้วจะต้องทูลขอให้พระบิดาของพระองค์แยกพระภาคมาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกทำไม

และดูเหมือนว่าทั้ง 3 ข้อ พระภาคของพระเจ้านี้ไม่รวมเป็นหนึ่งในบางเวลาในบางช่วงที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกัน รวมกันเป็นหนึ่ง แล้วก็แยกเป็นพระบุตรออกมาเป็นพระบิดา จากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แยกจากพระบิดาลงมายังพระบุตร ต่อมาเมื่อพระบุตรเสด็จไปรวมเป็นหนึ่งยังพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แยกออกมาอีกหลังจากพระบุตรเสด็จขึ้นไป ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็จะกลายเป็นว่ามีพระบิดากับพระบุตรบนสวรรค์แต่พระวิญญาณลงมายังโลกอีก

ทำไมจึงไม่กระทำราชกิจจานุกิจให้เสร็จสิ้นไปเสียทีเดียวก่อนที่พระบุตรจะเสด็จจากไป นี่คือคำถามที่คริสตชนต้องหาคำตอบเอาเอง แต่เราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ เพราะเราซึ่งเป็นมุสลิมไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องเช่นนี้ ส่วนความขัดแย้งของถ้อยความในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับยอห์นที่เป็นผลของการตีความ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” หรือ “พระวิญญาณแห่งความจริง” ว่าหมายถึงพระภาคหนึ่งจากสามพระภาคของพระเจ้าหรือหมายถึงพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรนั้นก็ย้อนกลับไปยังประเด็นข้อสังเกตทั้ง 7 ข้อที่ได้กล่าวมาแล้ว

จึงเหลือเพียงข้อสรุปเดียวนั้นคือข้อที่ 4 อันหมายถึงองค์พระผู้ช่วยผู้เป็นมนุษย์ที่เผยพระวจนะโดยคำนึงถึงถ้อยความที่มีปรากฏในพระคัมภีร์เก่าที่กล่าวพยากรณ์ถึงการมาของผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายประกอบด้วย

ทั้งนี้มีข้อสังเกตอีกอย่างทิ้งท้ายว่า ข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับของยอห์นนั้นถูกเพิ่มเติมข้อความว่า คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ คือพระวิญญาณแห่งความจริง หลังจากคำว่า “องค์พระผู้ช่วยหรือไม่? ซึ่งแต่เดิมต้นฉบับอาจจะบันทึกคำว่า “องค์พระผู้ช่วย” แล้วก็สาธยายถึงคุณลักษณะของพระองค์ตามที่พระเยซูคริสต์กล่าวแก่สาวก แต่ต่อมาจะด้วยการคัดลอกคัมภีร์หรือการถ่ายภาษาจากภาษาต้นฉบับเดิมมีการเพิ่มเติมคำว่า คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ คือพระวิญญาณแห่งความจริง เข้าไปในสำนวนต้นฉบับเดิมหรือไม่?

เพราะถ้าหากตัดคำว่า คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ คือพระวิญญาณแห่งความจริง ออกไปก็ไม่ทำให้ข้อความเดิมเสียความหมายและนัยตลอดจนอรรถรสแต่อย่างใดเลย อีกทั้งไม่ต้องมีการตีความและอรรถาธิบายกันจนดูสับสนไปหมด และออกจะขัดแย้งกันอยู่ในทีอีกด้วย โดยใจความสำคัญจะมีดังนี้

1. เราจะทูลขอขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป

(And I will ask the Father, and he will give you another Counselor to be with you forever) โปรดสังเกตคำว่า ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง (another Counselor) จะเข้าใจได้ว่า พระเยซูคริสต์หมายถึง มนุษย์อีกคนหนึ่ง!

2. แต่องค์ผู้ช่วย – ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่งและจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว

(But the Counselor – whom the father will send in my name, will teach you all things and will remind you of everything I have said to you)

เครื่องหมาย – หมายถึงตัดคำที่ว่า คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (the Holy spirit) ออกไปจากประโยคก็จะเข้าใจได้ว่า องค์พระผู้ช่วยเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าจะส่งมาในนามพระเยซูคริสต์ และจะสั่งสอนและเตือนให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ระลึกได้ ใจความโดยรวมก็ไม่เสียไปเช่นกัน

3. อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไปองค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไป เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา

(But I tell you the truth : It is for your good that I am going away ; unless I go away, the Counselor will not come to you, but if I go, I will send him to you

When he comes, he will convict the world of guilt in regard to sin and righteousness and judgment.) ถ้อยความทั้ง 2 ช่วงนี้ไม่มีการเติม คำว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในตัวบทบ่งชี้ว่าการตัดคำว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกไปในประโยคอื่นย่อมไม่ทำให้เสียความหมายและรูปประโยค

4. เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น

พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย

But when he __ comes, he will guide you into all truth. He will not speak on his own, he will tell you what is yet to come .

He will bring glory to me by taking from what is mine and making it known to you เครื่องหมาย __ หมายถึงการตัดคำว่า the Spirit of truth ออกไปก็จะเห็นว่าประโยคทั้งหมดยังคงได้ใจความและเข้าใจได้ว่าองค์ผู้ช่วยคือมนุษย์ที่ได้รับพระวจนะจากพระเจ้าและยกเกียรติของพระเยซูคริสต์

5. แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย__ ได้เสด็จมาแล้วพระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา

When the Counselor comes, whom I will send to you from the father__ he will testify about me

เครื่องหมาย __ คือการตัดสำนวนที่ว่า “คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดา” (the spirit to truth who goes out from the father) ออกไปจากประโยคก็จะไม่ซ้ำซ้อนและความหมายของประโยคยังคงสมบูรณ์อยู่ ทั้งนี้เพราะคำว่า “เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย” นั้นบ่งชี้อยู่แล้วว่าองค์พระผู้ช่วยมาจากพระบิดา จึงไม่มีความจำเป็นในการกล่าวประโยคที่ตัดออกไปซ้ำอีก

นอกเหนือจากคำว่า “พระวิญญาณแห่งความจริง” ซึ่งถูกตัดออกไปด้วยดังนั้น เมื่อเราตัดถ้อยคำ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” (the Holy Spirit) และ “พระวิญญาณแห่งความจริง” (the spirit of truth) ออกไปจากสำนวนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับยอห์น เราจะพบคำว่าคำๆ หนึ่งที่เป็นสาระใจความสำคัญที่ถูกกล่าวซ้ำในหลายประโยคนั่นคือ คำว่า “องค์พระผู้ช่วย” (Counselor) และคุณลักษณะหลายประการขององค์พระผู้ช่วยนั้นก็เป็นคำอธิบายของพระเยซูคริสต์ตามที่ยอห์นบันทึกไว้จะปรากฏชัดเจนโดยไม่ต้องไปสับสนกับคำที่ถูกตัดออกไปซึ่งถูกใช้ในหลายความหมายด้วยกัน

4. ความหมายของคำว่า “องค์พระผู้ช่วย”

คำว่า “องค์พระผู้ช่วย” ตรงกับคำว่าในภาษาอาหรับว่า “อัล-มุอัซซียฺ” (المُعَزِّىْ) เป็นคำว่าที่แปลมาจากคำกรีก หมายถึง บุคคลผู้เป็นมนุษย์ซึ่งจะมาภายหลังพระเยซูคริสต์เพื่อบอกมวลมนุษย์ถึงหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า  คำๆ นี้ปรากฏอยู่เอกสารายงานการประชุมร่วมยิวและคริสตชนกับสมเด็จพระสันตประปา บาโนว่าที่ 12 เมื่อปี ค.ศ. 1400 โดยระบุว่าคำๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งจากนามชื่อของ พระเมสสิอาห์ ซึ่งโมเสส (มูซา) สัญญาไว้ถึงการมาของพระองค์ มัทธิว เฮนรี่ย์กล่าวว่า : คำว่า อัล-มุอัซซียฺ (ในภาษาอาหรับ) เป็นหนึ่งในบรรดานามชื่อของพระเมสสิอาห์ที่รู้กันในหมู่ชาวยิวว่า “มะนาฮีม” (مناهيم) (อรรถกถาพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ ยอห์น ; มัทธิว เฮนรี่ย์ หน้า 308 เล่มที่ 3 พิมพ์เมื่อ 1968 อียิปต์)

คุณพ่อ มัดธาย อัล-มิสกีน กล่าวว่า : คำกรีก (ซึ่งแปลเป็นภาษาอาหรับว่า อัล-มุอัซซียฺ) โบราณนี้ประกอบขึ้นจาก 2 ส่วนคือคำว่า “พารา” หมายถึง ควบคู่, ประจำอยู่ และคำว่า “กลีโตส” หมายถึง การเรียกร้องอันบรรเจิด (พารอกลีต : พระวิญญาณบริสุทธิ์ในวิถีชีวิตของผู้คน หน้า 11 พิมพ์เมื่อ1973 อียิปต์)

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ ฉบับแปลภาษากรีกคำว่า Parakletos ซึ่งหมายถึงทนายหรือผู้ที่ปกป้องสิทธิของผู้อื่น บางฉบับก็แปลเป็น Admirable หมายถึงผู้ที่น่าพิศวง หรือ Gloriflied หมายถึง ผู้ที่ให้เกียรติ ส่วนคำว่า Counselor (Counsellor) เป็นคำละติน

ทั้งนี้คำว่า Paraklytos (παρακλητοs) บางทีก็ออกเสียงเป็น Periklytos (περlκλντοs) คือตัวอักษรที่ใส่สระต่างกัน ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับภาษากรีกมักจะใช้ทั้งสองคำ หรือใช้แทนกัน ส่วนในภาษาอังกฤษเขียนว่า “Paraclete” ซึ่งคำๆ นี้โดยรากศัพท์ตรงกับคำว่า “มุฮัมมัด” (محمد) หรือคำว่า “อะหฺมัด” (أحمد) ในภาษาอาหรับ (Hastings, OP ., Cit ., p.14)

ภาษาที่ใช้ในสมัยพระเยซูคริสต์คือภาษา “อาราเมอิก” และภาษาของคัมภีร์ในยุคแรกที่บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ก็เป็นภาษา อาราเมอิก แต่ต้นฉบับภาษาอาราเมอิกได้สูญหายไปแล้วภายหลังการถ่ายภาษาเป็นภาษากรีก (การแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์และกิจการของอัครทูต หน้า 7-9 พิมพ์ที่เบรุต โรงพิมพ์คาทอลิค 1964) ในภาษาสุรยานียะฮฺ (ซีเรียโบราณ) เรียกคำที่เป็นนามขององค์พระผู้ช่วยว่า “อัลมุนหะมันนา” ซึ่งถ่ายเป็นคำกรีกว่า “พารอกลีตุส” ตรงกับภาษาอาหรับว่า “มุฮัมมัด” (สีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชามฺ พิมพ์ที่อียิปต์ 1937 หน้า 251 เล่มที่ 1)

อย่างไรก็ตามเมื่อชาวคริสต์ได้แปลพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นภาษาอาหรับมีการแปลคำๆ นี้ (อัล-มุนหะมันนา) แตกต่างกัน เช่น

– พารอกลีต (بَارَقْلِيْط)

– ฟารอกลีต (فَارقَليْط) – (ฉบับโรม 1591, ฉบับพิมพ์โปรประกันดา 1671, ฉบับพิมพ์ของ ดีร โยฮันน่า อัศ-ศอบิฆฺ 1776) –

– อัล-มุอัซซียฺ (المعزى) (ใน อัล-มัชริก 1912)

– อัล-มุหามียฺ (المحامي) เป็นต้น ส่วนในฉบับแปลภาษาอังกฤษรุ่นเก่า แปลว่า (Advocate) N.E.B Comforter ส่วนในฉบับแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสยังคงใช้คำกรีกในการแปลคือ

B.J, Bouyer : Le Iveme Evangile ,

Le paraclet บ้างก็แปลว่า

Le dafenseur : Pirot และ Le cnsdatur : Crampon

ส่วนคุณพ่อ ออสธีย์ กล่าวว่า Le Defenseur แล้วกล่าวตอนท้ายของหน้าว่า On bien Defenseur, Intercesseut, Consolateur  ทั้งนี้เพราะคำๆ นี้บ่งถึงความหมายทั้งหมดแต่ก็มีความเหมาะสมแตกต่างกันไป (อ้างแล้ว หน้า 61-62) ดร.บาทหลวง เอ.บี. แซมสัน กล่าวว่า คำว่า อัล-มุอัซซียฺ มิใช่เป็นการถ่ายภาษาที่ละเอียดเอาเสียมากๆ” (พระวิญญาณบริสุทธิ์ ; ดร.เอบี แซมสัน แปลเป็นภาษาอาหรับโดย โยเซฟ สตีฟาน, อัมมาน)

ดังนั้น คำว่า พารอกลีต หรือ พีรอกลีต ถึงแม้ว่าจะออกเสียงต่างกัน ต่างก็บ่งถึงผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายคือนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) เพราะถ้าออกเสียงว่า พีรอกลีต ก็จะตรงกับชื่อในภาษาอาหรับว่า “อะหฺมัด” แต่ถ้าออกเสียงเป็น พารอกลีต ก็จะหมายถึงคุณลักษณะของพระองค์อยู่ดี

ทีนี้เรามาพิจารณาถึงบรรดาคุณลักษณะซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กล่าวถึง “พารอกลีต” ดูสิว่า คำๆ นี้ตรงกับบุคคลผู้เป็นมนุษย์หรือเป็นพระวิญญาณแห่งฟากฟ้า หรือตรงกับศาสนทูตของอิสลามหรือว่าหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพระเจ้าตามความเชื่อของคริสตชน

สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงเสียก่อนก็คือ การสนทนาของพระเยซูคริสต์กับบรรดาอัครทูตของพระองค์มิได้หมายถึงการโต้ตอบคำพูดกับพวกเขาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหมดโดยรวมอีกด้วย และสำหรับประเด็นที่จะกล่าวถึงนี้เป็นการอธิบายเพิ่มเติมจาก 7 ประเด็นที่กล่าวมาแล้วซึ่งสามารถย้อนกลับไปทบทวนดูได้

-1. “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14 : 15)  นี่เป็นการพูดเป็นนัยว่า ถ้าหากเหล่าสาวกและคริสตชนรักและเชื่อในพระองค์ก็จะต้องปฏิบัติตามและเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกถึงองค์พระผู้ช่วยนั้น คือผู้มีนามว่า อะหฺมัด (พารอกลีต) นั่นบ่งเป็นนัยว่าพวกเขาอาจจะปฏิเสธและไม่เชื่อในองค์พระผู้ช่วยที่จะเสด็จมา แต่ถ้าองค์พระผู้ช่วยหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

เพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์บันทึกไว้ว่า : ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา ตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด” (ยอห์น 20 : 22) เมื่อพวกเขารับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องย้ำเตือนในการตามบัญญัติของพระองค์อีกเพราะพวกเขารับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้แล้วก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จไปหาพระบิดาเสียอีก

-2. “เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป” (ยอห์น 14 : 16)  หมายความว่า พระธรรมบัญญัติที่องค์พระผู้ช่วยนำมาแจ้งแก่โลกจะอยู่กับพวกเขาและชนรุ่นหลัง พวกเขาที่เชื่อในพระเยซูคริสต์และพระผู้เป็นเจ้าจวบจนวันอวสานของโลก ถ้าองค์พระผู้ช่วยหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้วไซร้ ก็องค์พระเยซูคริสต์นั้นคือพระเป็นเจ้าคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามความเชื่อของชาวคริสต์มิใช่หรือ? พระองค์จะขึ้นไปยังสวรรค์และเสด็จลงมาเพื่ออยู่กับพวกเขาอีกทำไม?

อะไรเป็นเหตุปัจจัยว่าพระองค์จะเสด็จขึ้นไปและลงมาในนามของผู้อื่น ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับมนุษย์ทั้งก่อนหน้าพระเยซูคริสต์และภายหลังพระองค์นับตั้งแต่การบังเกิดมนุษย์คนแรกคือ อาดัม และไม่มีที่สิ้นสุด

-3. “คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์…” (ยอห์น 14 : 17)

หมายความว่า องค์พระผู้ช่วยจะนำสาส์นแห่งความจริงจากพระผู้เป็นเจ้ามา พระองค์จะทำให้พวกท่านและชนรุ่นหลังพวกท่านได้รู้ความจริง ชาวยิวและผู้คนในโลกต่างก็เบี่ยงเบนออกจากความจริง และหันไปเชื่อในความเชื่อของฝ่ายมนุษย์ที่ต่างก็อ้างว่าตนอยู่บนความจริง

แต่ความจริงแท้อยู่กับองค์พระผู้ช่วยผู้เผยพระวจนะนี้ ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้  เพราะโลกในช่วงก่อนการเสด็จมาขององค์พระผู้ช่วยตกอยู่ในความชั่วและความเสื่อม พวกเขาจึงรับความจริงจากพระเจ้าไม่ได้ แต่พวกท่านและผู้ที่เชื่อในยุคหลังพวกท่านจะรู้จักองค์พระผู้ช่วยด้วยคำพูดของพระเยซูคริสต์นี้และสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้แก่พวกท่านมาก่อนแล้ว

คุณลักษณะเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้เป็นเจ้า เพราะโลกรู้จักพระเจ้ามากกว่าที่จะรู้จักองค์พระผู้ช่วย แต่พวกท่านจะรู้จักพระองค์ผู้จะเสด็จมาในภายหลังนั้นเพราะพระเยซูคริสต์ได้บอกเอาไว้แล้ว และหากพระผู้ช่วยคือพระวิญญาณแห่งความจริงหมายถึงพระเยซูคริสต์แล้วไซร้ แล้วพวกเขาคือโลกจะไม่แลเห็นและไม่รู้จักพระองค์ได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาเห็นพระองค์และรู้จักพระองค์ว่าเป็นผู้ใด?

“พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลีลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย” (มัทธิว 4 : 23)

“เมื่อพระองค์เสด็จลงจากภูเขาแล้ว คนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป” (มัทธิว 8 : 1)

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 4 ฉบับต่างก็บันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ของพระเยซูที่พระองค์สั่งสอนประชาชนและรักษาพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ตอบโต้พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี และมีการจับกุมพระองค์ ฯลฯ หากพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์พวกเขาก็ย่อมไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย (ยอห์น 1 : 18)

-4. “ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ยอห์น 14 : 17) คำว่า “สถิตอยู่กับท่าน” ไม่ตรงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้ลงมา ถ้าหากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขาแล้ว เพราะเหตุใดพระเยซูคริสต์จึงต้องสัญญากับพวกเขาถึงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังพวกเขาด้วย? และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขาแล้ว ทำไมพระองค์จึงต้องทูลขอพระบิดาให้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้ลงมาอีก!

“เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน” (ยอห์น 16 : 7)

ประโยคนี้ชัดเจนที่สุดในการหักล้างคำกล่าวของชาวคริสต์ในเรื่องการเสด็จลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์และประโยคที่ว่า “และจะประทับอยู่ในท่าน” (and will be in you) (ยอห์น 14 : 17) ย่อมบ่งถึงเรื่องในอนาคต การสถิตอยู่ก็เช่นกันแต่ที่ประโยคนี้ใช้สำนวนบ่งถึงเวลาปัจจุบันก็เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนนั่นเอง!

-5. “เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้นพระบิดาทรงใช้เรา พระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา” (ยอห์น 12 : 49) ประโยคนี้ยืนยันว่าองค์พระผู้ช่วยผู้เป็นมนุษย์ที่จะเผยพระวจนะนั้นย่อมเสด็จมาแน่นอนเพราะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา ก็ไม่จำเป็นต้องย้ำในเรื่องนี้ และประโยคนี้ก็ยืนยันว่าพระเยซูคริสต์คือผู้เผยพระวจนะมิใช่พระเจ้า! และประโยคนี้ก็เป็นคำพูดที่พระเยซูคริสต์ที่แจ้งไว้ก่อนแล้ว

ครั้นพอพระองค์กล่าวถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้ช่วยพระองค์ก็ย้ำว่า “และคำซึ่งท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นพระวจนะของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น 14 : 24) นี่เป็นประโยคที่ให้ความหมายชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์คือผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พระองค์มิใช่พระเจ้า (พระบิดา) และพระองค์มิใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์แต่อย่างใด?

-6. “เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กับจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่งและจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ยอห์น 14 : 25-26) ณ จุดนี้ เราจะพบว่าการทำหน้าที่เป็นผู้เผยพระวจนะ และสาส์นของพระเจ้าสำหรับพระเยซูคริสต์จะสิ้นสุดลงด้วยการเสด็จมาขององค์พระผู้ช่วย พระเยซูคริสต์จึงย้ำเตือนพวกเขาให้รอคอยผู้สอนอีกคนหนึ่ง

และบอกให้พวกเขาทราบว่า ผู้เผยพระวจนะนี้จะถูกส่งมาจากพระเป็นเจ้าตามคำทูลขอของพระเยซู ซึ่งจำเป็นต้องให้เกียรติแก่ผู้ที่จะเสด็จมานั้น เพราะผู้ที่จะเสด็จมานั้นคือคำทูลขอของผู้เป็นนายและอาจารย์ของพวกเขา และการเสด็จมาของผู้เผยพระวจนะผู้นี้ซึ่งมาในนามของพระเยซูคริสต์จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เหล่าผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ต้องยอมรับหลักคำสอนและเข้าสู่วิถีทางแห่งการเรียกร้องของผู้เผยพระวจนะผู้นี้

เพราะพระองค์จะให้เกียรติแก่พระเยซูคริสต์ และคำสอนที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์และประกาศความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์และพระมารดาของพระองค์จากคำกล่าวหาของชาวยิว “จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง” นี่หมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเดิมและยึดถือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะจะสอนพวกเขาด้วยพระธรรมบัญญัติใหม่ “และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”

นี่บ่งชี้พวกเขาจะลืมคำสอนเป็นอันมาก ที่พระเยซูคริสต์ได้เคยกล่าวไว้แก่พวกเขา เมื่อผู้เผยพระวจนะได้เสด็จมาท่านจะเป็นผู้สอนและผู้เตือนให้รำลึก ซึ่ง 2 คุณลักษณะนี้ไม่สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่สอนและไม่พูดแต่กระจายอยู่เหนือเหล่าอัครทูตทำให้พวกเขาตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด (ดู กิจการของอัครทูต 2 : 1-4)  หมายความว่า อัครทูตเหล่านั้นเป็นผู้พูดโดยพระวิญญาณมิได้พูดโดยตรงแต่อย่างใด!

-7. “และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลาย ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเพื่อว่า เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้วท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ยอห์น 15 : 29) ประโยคนี้บ่งถึงการให้เกียรติและความสำคัญยิ่งขององค์พระผู้ช่วยที่จะเสด็จมา เพราะถ้าหากพวกเขารู้ว่าพระองค์จะมาเพื่อสิ่งใด? และรู้ว่าในคำสอนของพระองค์มีความสะดวกง่ายดาย พวกเขาย่อมยินดีต่อการมาของพระองค์เป็นที่สุด

และประโยคนี้ก็ไม่สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรื่องการศรัทธาต่อพระวิญญาณนั้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้านี้ก็คือองค์พระเยซูคริสต์เองตามความเชื่อของชาวคริสต์นิกาย ออธอดอกซ์ ซึ่งพวกเขาเชื่ออยู่แล้ว แต่สอดคล้องกับผู้เผยพระวจนะและพระธรรมบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ทรงย้ำให้พวกเขาเชื่อเมื่อผู้นั้นเสด็จมา

-8. “เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา”

“และพวกท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว” (ยอห์น 15 : 26-27)

ประโยคนี้ไม่สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าย่อมไม่ส่งพระเจ้าที่เป็นเหมือนพระองค์มา ความหมายของประโยคคือ “พารอกลีต” (อะหฺมัด) จะมาจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว คือจะถูกส่งมาจากพระเจ้าเป็นเจ้าเท่านั้น และพระเยซูคริสต์ก็จะทูลต่อพระองค์ให้ส่งท่านผู้นี้มา

และพารอกลีต (อะหฺมัด) ผู้นี้จะเป็นพยานให้แก่พระเยซูคริสต์ในความเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์ตลอดจนความเป็นบ่าวที่ได้รับความพอพระทัยจากพระองค์ผู้ทรงส่งพระเยซูคริสต์มา และนี่เป็นหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์รู้ถึงความสัจจริงของพารอกลีต (อะหฺมัด)

กล่าวคือ หากพารอกลีตยืนยันถึงความประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ความเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเยซูคริสต์และความบริสุทธิ์ของพระมารดาพระองค์ พารอกลีตก็ย่อมเป็นผู้ที่สัจจริง แต่ถ้าภายหลังพระเยซูคริสต์มีผู้อ้างตนว่าเป็นผู้เผยพระวจนะแต่ไม่เป็นพยานถึงสถานภาพที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์คือความเป็นมนุษย์ผู้รับใช้พระเจ้ามาเผยพระวจนะและเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสำแดงฤทธานุภาพในการสร้างของพระองค์ให้พระเยซูคริสต์ถือกำเนิดโดยไม่มีบิดาซึ่งสถานภาพของพระเยซูคริสต์กลายเป็นความสุดโต่ง 2 ด้าน

ด้านหนึ่งยกพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้า หรือเป็นพระบุตร หรือเป็นหนึ่งในพระภาคทั้ง 3 ภาค กับอีกด้านหนึ่งปฏิเสธและกล่าวหาพระองค์และพระมารดาของพระองค์ องค์พระผู้ช่วยจะเสด็จมายืนยันสถานภาพที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่ 2 ด้านนั้น แต่เป็นทางสายกลางที่สอดคล้องกับพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ว่า พระเจ้าหนึ่งเดียวและพระองค์ทรงเลือกสรรมนุษย์ให้เผยพระวจนะของพระองค์ ถ้าผู้อ้างการเผยพระวจนะไม่ยืนยันเช่นนี้ก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้เผยพระวจนะเท็จ!

และการเป็นพยานยืนยันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เสด็จลงมา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้กระทำสิ่งใดมากไปกว่าการทำให้เหล่าอัครทูตพูดภาษาต่างๆ ได้เท่านั้นตามที่ระบุในพระคริสตธรรมคัมภีร์ กิจการของอัครทูต 2 : 4 และบรรดาสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ในเวลานั้นก็รู้จักพระเยซูคริสต์เป็นอย่างดี จึงไม่มีความจำเป็นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเป็นพยานแก่พระองค์เพราะพระบิดาคือพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานแก่พระเยซูคริสต์อยู่แล้ว “และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์เองก็ได้ทรงเป็นพยานให้แก่เรา ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างของพระองค์ และท่านทั้งหลายไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน…” (ยอห์น 5 : 37-38)

-9. “เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา” (ยอห์น 16 : 8) หมายความว่า เมื่อองค์พระผู้ช่วยเสด็จมาพระองค์จะตำหนิโลกด้วยการทำให้พวกเขาจนปัญญาที่จะคัดค้านพระองค์ โลกหมายถึง “ชาวยิวและประชาชาติทั้งหลาย” (มัทธิว เฮนรี่ อรรถกถาพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับยอห์น เล่มที่ 4 หน้า 17)

ประเด็นอยู่ที่ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อเสด็จลงมาตามคำอ้างนั้นได้ตำหนิโลกคือชาวยิวและประชาชาติหรือไม่? แน่นอนพระวิญญาณบริสุทธิ์มิได้เอ่ยถ้อยคำใดๆ เลยจากปากของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เมื่อผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายได้เสด็จมาพระองค์ได้ตำหนิโลกทั้งผอง ตำหนิชาวยิวที่บิดเบือนคัมภีร์และพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า และตำหนิชาวคริสต์เช่นกันที่พวกเขาบิดเบือนคำสอนของพระเยซูคริสต์ ตลอดจนตำหนิบรรดาผู้เคารพกราบไหว้รูปเจว็ดและนำสิ่งถูกสร้างมาตั้งภาคีเทียบพระเจ้าและการตำหนิขององค์พระผู้ช่วยที่จะเสด็จมานั้นมุ่งประเด็นเฉพาะใน 3 เรื่องตามที่พระเยซูคริสต์แจ้งไว้คือ ความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา

“ในเรื่องความผิดนั้น คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา” (ยอห์น 16 : 9) ประโยคนี้ไม่สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะบรรดาสานุศิษย์ของพระเยซูขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาตามคำอ้างของพวกเขานั้น พวกเขาเชื่อและศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์แล้ว หากแต่สอดคล้องกับผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายซึ่งพระองค์ทรงตำหนิชาวยิวที่พวกเขาไม่ศรัทธาต่อการเป็นผู้ประกาศสาส์นของพระเยซูคริสต์ และตำหนิชนกุล่มอื่นที่มิใช่ชาวยิวซึ่งพวกเขานำเอาคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้ามาใส่ให้กับพระเยซูคริสต์ ตลอดจนพวกที่ไม่เชื่อในสาส์นของพระเจ้าหรือพวกที่ปฏิเสธพระเจ้าอีกด้วย

“ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก” (ยอห์น 16 : 10) ในพระคริสตธรรมเดิมฉบับดาเนียล ระบุถึงทูตสวรรค์กาเบรียลในนิมิตของดาเนียลกล่าวพยากรณ์เรื่องเจ็ดสิบสัปตะว่า “เพื่อนำความชอบธรรมนิรันดร์เข้ามาเพื่อประทับตราทั้งนิมิตและคำของผู้เผยพระวจนะไว้” (ดาเนียล 9 : 24)  คำพยากรณ์นี้ระบุถึงศาสนทูตท่านสุดท้ายผู้เป็นตราประทับของสาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้าและเป็นความชอบธรรมนิรันดร์

ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงกล่าวว่า ผู้เผยพระวจนะสุดท้ายนี้เมื่อมายังโลกก็จะกล่าวตำหนิโลกที่ปฏิเสธท่าน เพราะท่านคือความชอบธรรม นิรันดร์ที่พวกเขารอคอยและคัมภีร์ทั้งหลายก็บ่งชี้ถึงการมาของท่าน ประโยคที่พระเยซูคริสต์กล่าวว่า “เพราะเราไปหาพระบิดาและท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก” เพราะพระเยซูมิใช่ความชอบนิรันดร์ แต่เป็นผู้เผยพระวจนะอีกคนหนึ่ง

“ในเรื่องการพิพากษานั้นคือ เพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว” (ยอห์น 16:11) คำว่า “เจ้าโลกนี้” (the prince of this world) ชาวคริสต์อธิบายว่าหมายถึง ซาตาน (ชัยฏอน – อิบลีส)

มัธทิว เฮนรี่ย์กล่าวว่า : ซาตาน (อิบลีส) คือเจ้าโลกนี้ได้ถูกพิพากษา เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ซาตานเป็นผู้ที่ทำให้หลงทาง และเป็นผู้ทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่ เหตุนั้นมันจึงถูกพิพากษา และการพิพากษาได้เริ่มขึ้นเพียงบางส่วน กล่าวคือ มันถูกขับไล่ออกจากโลกที่เคารพบูชาเจว็ด ขณะที่คำสอนของมันถูกทำให้หยุดนิ่งและแท่นบูชาของมันถูกละทิ้ง” (อ้างแล้ว หน้า 21)

นี่หมายความว่า ผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายจะตำหนิโลกที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ในขณะที่คำสอนของพระองค์เปิดโปงวิถีทางและคำสั่งใช้ของซาตานตลอดจนพิพากษาซาตานถึงจุดจบของมัน

-10. “พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16 : 14) หมายความเมื่อผู้เผยพระวจนะท่านสุดท้ายได้เสด็จมาพระองค์จะให้เกียรติความเป็นผู้ประกาศสาส์นและยอมรับถึงความประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นพวกท่านจงอย่าดูแคลนความเป็นผู้เผยพระวจนะของผู้ที่มาภายหลังพระเยซูคริสต์แต่จงยอมรับและให้เกียรติแก่ผู้เผยพระวจนะนั้นเหมือนอย่างที่เขาให้เกียรติพระเยซูคริสต์

ทั้งหมดที่กล่าวมาย่อมยืนยันว่าพระเยซูคริสต์หรืออัล-มะสีหฺ อีซา บุตร มัรยัม (อ.ล.) ได้ประกาศถึงการมาของศาสนทูตท่านสุดท้ายคือ นบี มุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ผู้ซึ่งมีนามอีกว่า “อะหฺมัด” คือผู้ที่สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สุดดังที่คัมภีร์อัล-กุรอานได้ระบุว่า

وَمُبَشِّرًا بِرَسُولٍ يَأْتِي مِن بَعْدِي اسْمُهُ أَحْمَدُ

ความว่า “และแจ้งข่าวดีถึงศาสนทูตหนึ่งที่จะมาภายหลังฉัน (อีซา บุตร มัรยัม) นามของศาสนทูตนั้นคือ อะหฺมัด” (อัศศอฟ อายะฮฺที่ 6)

5. การแจ้งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ถึงศาสนทูตท่านสุดท้ายตามที่ปรากฏในส่วนอื่นของพระคริสตธรรมคัมภีร์

5.1 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ มัทธิว

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือ ซึ่งว่า

ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย

     ยังได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว

การนี้เป็นมาจากพระเจ้า

     เป็นการมหัศจรรย์ประจักษ์ตาเรา

เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า แผ่นดินของพระเจ้าต้องเอาไปจากท่าน ยกให้แก่ชนชาติหนึ่งซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น

ผู้ใดล้มทับศิลานี้ ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ศิลานั้นจะตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกละเอียดไป

    (มัทธิว 21 : 42-44)


“ศิลา” ที่ถูกกล่าวนี้คือท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ดังปรากฏในเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรียฺ และมุสลิม รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) และญาบิร อิบนุ อับดิลลาฮฺ (ร.ฎ.) แท้จริงท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า

“แท้จริงอุปมาตัวฉันและอุปมาบรรดาผู้เผยพระวจนะก่อนหน้าฉัน อุปมัยดั่งชายผู้หนึ่งได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง เขาทำมันอย่างสวยงามและทำให้บ้านนั้นงดงามยกเว้นตำแหน่งของศิลา (อิฐ) จากมุมหนึ่ง (ที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ก่อให้เสร็จ) ผู้คนก็เริ่มวนเวียนรอบศิลานั้นและแสดงความฉงนต่อศิลานั้นและพลางกล่าวว่า : เหตุใดหนอ ศิลาจึงมิถูกวาง? ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า : ฉันนั้นคือศิลานั้นและฉันคือตราประทับ (ผู้เผยพระวจนะท้ายสุด) ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ”

สังเกตประโยคที่ว่า “ผู้คนก็เริ่มเดินวนเวียนรอบศิลานั้น และแสดงความฉงนต่อศิลานั้น” กับประโยคในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ว่า “เป็นการมหัศจรรย์ประจักษ์ตาเรา” และสังเกตประโยคที่ว่า “แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่านยกให้แก่ชนชาติหนึ่ง…” แล้วพิจารณาที่อัล-กุรอานกล่าวถึงดังนี้ว่า :

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِن بَعْدِ الذِّكْرِ أَنَّ الْأَرْضَ يَرِثُهَا عِبَادِيَ الصَّالِحُونَ

ความว่า “และแน่แท้เราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์อัซซะบู๊ร (ของนบีดาวูด-ดาวิด) ภายหลังจากอัซซิกร์ (คัมภีร์เตารอต) ว่า แท้จริงแผ่นดินนั้นบรรดาบ่าวของข้าที่ประพฤติการดี (คือทำให้เกิดผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น) จะได้รับสืบทอดแผ่นดินนั้นเป็นมรดก)  (อัล-อัมบิยาอฺ อายะฮฺที่ 105)

และพระดำรัสในอัล-กุรอานที่ว่า :

وَعَدَ اللَّـهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنكُمْ وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ لَيَسْتَخْلِفَنَّهُمْ فِي الْأَرْضِ كَمَا اسْتَخْلَفَ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ وَلَيُمَكِّنَنَّ لَهُمْ دِينَهُمُ الَّذِي ارْتَضَىٰ لَهُمْ وَلَيُبَدِّلَنَّهُم مِّن بَعْدِ خَوْفِهِمْ أَمْنًا ۚ يَعْبُدُونَنِي لَا يُشْرِكُونَ بِي شَيْئًا

ความว่า : อัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาจากหมู่สูเจ้าและประพฤติการงานที่ดีว่าพระองค์จะให้พวกเขาได้สืบทอดในแผ่นดินนั้นเหมือนอย่างที่พระองค์เคยให้บรรดาผู้ซึ่งอยู่ก่อนหน้าพวกเขาได้สืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์พอพระทัยแก่พวกเขาเป็นที่มั่นคงแก่พวกเขา และพระองค์จะทรงเปลี่ยนพวกเขาภายหลังความหวาดกลัวของพวกเขาให้เป็นความปลอดภัย พวกเขาจะเคารพสักการะต่อข้าโดยพวกเขาจะไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีต่อข้า”  (อัน-นูร อายะฮฺที่ 55)

แล้วย้อนกลับไปอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งระบุว่า :

“เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาร่วมสำรับกับอับราฮัม และอิสอัคและยาโคบในแผ่นดินสวรรค์ แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มัทธิว 8 : 11-12)

นี่คือการแจ้งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่บ่งชี้ถึงการปรากฏขึ้นของประชาชาติอิสลามซึ่งมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ประชาชาตินี้จะได้รับความพึงพอพระทัย ณ องค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเขาทั้งบรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรดาผู้มีความสัจจริง บรรดาผู้ได้รับมรณะสักขีและเหล่าผู้ประพฤติสิ่งที่ชอบธรรม พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นกัลยาณชน

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้บอกกล่าวนี้มิได้หมายถึงชาวยิวหรือชาวคริสต์เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์โต้ตอบอยู่ในขณะนั้น และพวกเขาก็ถูกกันออกไปจากนัยของประโยคที่ระบุว่า “แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน ยกให้แก่ชนชาติหนึ่ง…” และประโยคที่ว่า “แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด” คือทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ที่เป็นชาวแผ่นดินต้องแตกกระซ่านกระเซ็นออกไปยังดินแดนต่างๆ ของผู้คนที่ไม่เชื่อในพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าและถูกกระทำต่างๆ นาๆ และถูกบีบคั้นจนมีสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของตน

5.2 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับของลูกา

“เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จะมีคนมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ จะมาร่วมสำรับในแผ่นดินของพระเจ้า และดูเถิดจะมีผู้ที่เป็นคนสุดท้ายกลับมาเป็นคนต้นและผู้ที่เป็นคนต้นกลับเป็นคนสุดท้าย” (ลูกา 13 : 28-30)

หมายถึง เรื่องราวของ อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะจะถูกนำมาตีแผ่ให้ได้รู้ได้เห็นอีกครั้งในแผ่นดินของพระเจ้าโดยการประกาศสาส์นของพระเจ้าผ่านผู้มาเป็นคนสุดท้าย คือท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ประชาชาติของนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) จะแผ่ออกไปทุกสารทิศ แล้วต่อมาพวกเขาก็จะมุ่งหน้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าและสืบทอดแผ่นดินนี้(ปาเลสไตน์) จากผู้คนในยุคก่อนพวกเขาที่จะกระจัดกระจายกันไปด้วยการถูกขับออกจากที่นั่นไปอยู่ในที่พลัดถิ่นซึ่งหมายถึงชาวยิวนั่นเอง!

5.3 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับยอห์น

“พระเยซูตรัสกับนางว่า (คือหญิงชาวสะมาเรีย) หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้ามิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม” (ยอห์น 4 : 21)

“แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง…” (ยอห์น 4 : 23)

ข้อความข้างต้นนี้บ่งถึงการปรากฏขึ้นของศาสนาใหม่และศูนย์กลางของศาสนานี้จะเปลี่ยนจากเยรูซาเล็มไปสู่ดินแดนใหม่นั่น คือ นครมักกะฮฺ อันเป็นที่ตั้งของอัล-กะอฺบะฮฺ และบรรดาผู้ที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงและถูกต้องก็คือ ประชาชาติของนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม)

คัมภีร์อัล-กุรอานได้ระบุถึงเรื่องการเปลี่ยน ชุมทิศ (กิบละฮฺ) ไว้ในบท อัล-บะเกาะเราะฮฺและทิ้งท้ายเรื่องนี้ว่า

وَإِنَّ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ لَيَعْلَمُونَ أَنَّهُ الْحَقُّ مِن رَّبِّهِمْ ۗ وَمَا اللَّـهُ بِغَافِلٍ عَمَّا يَعْمَلُونَ

ความว่า “และแท้จริงบรรดาผู้ที่ถูกประทานคัมภีร์ให้ (ชาวยิวและคริสต์) ย่อมรู้ดีว่าแท้จริงนั่น (การเปลี่ยนชุมทิศ) คือความจริงจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และอัลลอฮฺมิทรงหลงลืมจากสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติกัน”  (อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 144)

“องค์พระผู้ช่วย” ซึ่งเป็นคำทูลขอของพระเยซูคริสต์นั้นได้เสด็จมาแล้วพร้อมด้วยความชอบธรรมอันเป็นนิรันดร์ตามที่ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้พยากรณ์

“องค์พระผู้ช่วย” ซึ่งไม่ตรัสโดยพลการแต่จะตรัสตามที่ได้ยิน พระองค์ทรงพิพากษาจอมมาร ยอยกเกียรติของพระเยซูคริสต์และพระมารดาตามความสัจจริงและพระองค์ทรงเรียกร้องผู้คนสู่การภักดีในพระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียว พระนามของพระผู้เป็นเจ้าทรงเกริกเกียรติและเกรียงไกรด้วยคำประกาศของพระองค์ องค์พระผู้ช่วยนี้เสด็จมาแล้ว

“องค์พระผู้ช่วย” ผู้เป็นศิลาเอกชิ้นสุดท้ายได้ถูกส่งมาแล้ว โอ้ผองชนชาวคริสต์ เหตุไฉนพวกท่านจึงไม่ยอมรับพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพยานแก่พระเยซูคริสต์ และในนามของพระองค์ หากพวกท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วยความสัจจริงแล้วไซร้ ขอท่านทั้งหลายจงตรึกตรองและใคร่ครวญเถิด หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว “องค์พระผู้ช่วย” ที่พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาว่าจะเป็นประโยชน์แก่พวกท่านก็จะเป็นพยานยืนยันต่อหน้าองค์พระเป็นเจ้าผู้ทรงจะพิพากษาเราและท่านทั้งหลายว่า พระองค์ได้กระทำกิจตามสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทรงทูลเอาไว้แล้วทุกประการ

แต่พวกท่านไม่สนองตอบและไม่รับพระองค์ไว้ในความเชื่อ แล้วพวกท่านจะพบความรอดได้อย่างไร?