พระเมตตาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ.) ที่ทรงมีต่อประชาชาติของท่านศาสนฑูตมุฮำหมัด

ท่านอบูดาวูด ได้กล่าวว่า : อุสมาน อิบนุ อบีฮัยบะฮฺ ได้เล่าให้เราทราบว่า กะซีร อิบนุ ฮิชาม ได้เล่าให้เราทราบว่า อัลมัสอูดีย์ ได้เล่าให้เราทราบจากสะอีด อิบนุ อบี บุรดะฮฺ จากท่านอบู มูซา อัลอัชอะรีย์ ว่าท่านศาสนฑูตได้ทรงกล่าวว่า

أُمَّتِيْ هذِه أُمّةٌ مَرْحُوْ مَةٌ ليس عليهاعذابٌ  الآخرة عذابُهَا في الدُّ نيا الفِتَنُ وَاَلزَّلَازِلُى وَالْقَتْلُ فى

“ประชาชาติของฉันนี้คือ ประชาชาติที่ถูกเมตตา ย่อมไม่มีการลงทัณฑ์ในปรโลกเหนือประชาชาตินี้ การลงทัณฑ์ของประชาชาติในโลกนี้คือ ความวุ่นวาย, การเกิดแผ่นดินไหว และการเข่นฆ่า”

ในหนังสือเอาว์นุ้ลมะอฺบู๊ด ชัรหฺ สุนัน อบีดาวูด เล่มที่ 11 หน้า 358 ได้อธิบายความหมายของหะดีษนี้ว่า คำว่า “ประชาชาติของฉัน” หมายถึง บรรดาบุคคลที่มีชีวิตในขณะที่ท่านศาสนฑูตได้กล่าวถึงอันเป็นกลุ่มชนที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับท่านหรืออาจจะครอบคลุมในเชิงกว้างโดยรวมถึงผู้คนในยุคหลังจากประชาชาติของท่าน

ส่วนคำว่า “คือประชาชาติที่ถูกเมตตา” นั้นหมายถึง เป็นประชาชาติที่ได้รับสิทธิพิเศษด้วยการประทานพระเมตตาอย่างมากมายและได้รับความโปรดปรานอย่างล้นเหลือ หรือไม่ก็ได้รับพระเมตตาด้วยการผ่อนผันข้อลำบากทั้งปวงอันเป็นความหนักอึ้งต่อพระผู้ปฏิบัติดังประชาชาติยุคก่อนๆ ที่มีความยากลำบากในหลายประการ เช่น การกลับเนื้อกลับตัว สำนึกผิดของผู้กระทำความผิดด้วยการปลิดชีพ การจ่ายทรัพย์ซะกาตหนึ่งในสี่ของจำนวนทรัพย์สินที่ถูกครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ และการขจัดสถานที่ซึ่งเปรอะเปื้อนน่ายิส (สิ่งปฏิกูล) โดยไม่สามารถทำความสะอาดด้วยการล้างเพียงอย่างเดียว เป็นต้น

ส่วนถ้อยความที่ระบุว่า “ย่อมไม่มีการลงทัณฑ์ในปรโลกเหนือประชาชาตินี้” นั้นหมายถึง บรรดากลุ่มชนที่เคยถูกลงโทษหรือถูกกระทำทารุณกรรมในโลกนี้แล้วก็จักมิถูกลงโทษในภพหน้าอีก ดังเช่นที่เหล่ามุสลิมในยุคต้นแห่งการประกาศศาสนาอิสลามได้ถูกพวกปฏิเสธได้กระทำการทารุณกรรมในรูปแบบต่างๆ ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หรือถ้าจะถูกลงทัณฑ์ตามความผิดที่ก่อเอาไว้ในโลกนี้มิได้เหมือนกับการลงทัณฑ์ที่พวกปฏิเสธ (กุ๊ฟฟ๊าร) ได้รับ

เฉพาะอย่างยิ่งบรรดาบุคคลในยุคของท่านศาสนฑูต หรือชนมุสลิมในยุคหลังที่พวกเขามีสิทธิสมควรในการได้รับการอภัยโทษจากพระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ.) หรือไม่บุคคลเหล่านี้ก็ได้รับการลงโทษในรูปแบบต่างๆ ในโลกนี้ เป็นต้นว่าการกดขี่ข่มเหง การทดสอบต่างๆ นานา โรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากบุคคลเหล่านี้ได้เสียชีวิตไปในสภาพที่มีศรัทธามั่นก็จะได้รับการอภัยโทษตามพระประสงค์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการลงทัณฑ์ใดๆ อีกในภพหน้า วัลลอฮุอะอฺลัม

ท่านอัลกอรีย์ ได้กล่าวว่า : กล่าวกันว่า หะดีษบทนี้เจาะจงเฉพาะกลุ่มชนจากประชาชาตินี้ อันหมายถึง บรรดาผู้ที่เคยอยู่ร่วมกับท่านศาสนฑูตจากเหล่าอัครสาวก ท่านอัลมุซฮิรกล่าวว่า : ความหมายของคำว่า ประชาชาติในที่นี้คือ บุคคลที่เจริญรอยตามท่านศาสนฑูตตามความเหมาะควรและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านและยุติจากสิ่งที่ท่านได้ห้ามปรามเอาไว้

ท่านอัตตอยยีบีย์กล่าวว่า : หะดีษบทนี้รายงานถึงการสรรเสริญต่อประชาชาติของท่านศาสนฑูตและจำกัดเป็นสิทธิพิเศษจากประชาชาติอื่นๆ ด้วยการใส่พระทัยของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และความเมตตาของพระองค์ต่อพวกเขา และบ่งถึงกรณีที่ว่าถ้าหากพวกเขาได้รับภัยพิบัติในโลกนี้แม้กระทั่งเพียงแค่หนามตำพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ทรงไถ่ถอนบาปที่พวกเขาได้ปฏิบัติในภพหน้า คุณลักษณะพิเศษเช่นนี้มิได้มีสำหรับประชาชาติอื่นๆ

ท่านอัลมุนซิรีย์กล่าวว่า : ในสายรายงานของหะดีษบทนี้มีอัลมัสอูอีย์อยู่ด้วย บุคคลผู้นี้คือ อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ อับดิลลอฮฺ อิบนุ มัสอู๊ด อัลฮัซลียฺ อัลกูฟียฺท่านบุคอรียฺอ้างถึงบุคคลผู้นี้ ส่วนนักวิชาการหะดีษท่านอื่นหลายคนด้วยกัน ได้วิจารณ์สถานภาพของบุคคลผู้นี้

ท่านอัลอุกอยลียฺกล่าวว่า : อัลมัสอูดียฺเปลี่ยนไปในช่วงท้ายของอายุขัย ในหะดีษที่เขารายงานจึงมีความสับสน และท่านอัลฮากิมได้คัดรายงายนี้ไว้และถือว่าเป็นสายรายงานที่ถูกต้อง (เศาะเฮียะหฺ) ท่านอัซซะฮฺบียฺก็เห็นด้วย ท่านอิหม่ามอะหฺหมัดกล่าวว่า : บุคคลใดฟังการรายงานจากอัลมัสอูดียฺที่นครกูฟะหฺ ก่อนที่เขาจะออกไปสู่กรุงแบกแดด การรับฟังของผู้นี้ถูกต้อง วัลลอฮุอะอฺลัม

สิ่งที่ได้รับจากเนื้อหาของอัลหะดีษ

1. ความประเสริฐของประชาชาติที่ได้รับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยมีความประเสริฐเหนือประชาชาติก่อนๆ ทั้งในด้านการประกอบศาสนกิจที่มีความสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกในการปฏิบัติหลักการของศาสนา และในด้านการลดหย่อนผ่อนโทษตลอดจนได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากท่านศาสดาในภพหน้า

2. การประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ของประชาชาตินี้จะมีความรุนแรงน้อยกว่าภัยพิบัติที่ประชาชาติของศาสนฑูตท่านก่อนๆ ได้รับ ดังเช่นประชาชาติของท่านศาสนฑูตนูฮฺ ซึ่งถูกลงโทษด้วยการล้างอย่างสิ้นซาก (ยกเว้นผู้ศรัทธา) ด้วยมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ หรือถูกธรณีสูบการพลิกแผ่นดิน การถูกสาปให้เป็นสุกรหรือฝูงวานร เป็นต้น

อัลหะดีษได้ระบุว่า มหันตภัยที่ประชาชาตินี้ต้องประสบก็คือ ความวุ่นวายและกลียุค การเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งและการเข่นฆ่าสงคราม การรบพุ่ง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง

ดังในเหตุการณ์สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา มีผู้สูญเสียชีวิตเป็นจำนวนล้านคน ตลอดจนสงครามกลางเมืองในหลายประเทศที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ดังในกลุ่มประเทศแอฟริกากลาง ละตินอเมริกา หรือแม้กระทั่งยุโรปตะวันออกในแถบคาบสมุทรบอลข่าน การเข่นฆ่าผู้คนอันเนื่องจากสงครามตั้งแต่ครั้งยุคกลางในช่วงสงครามครูเสด การรุกรานของพวกมองโกล จวบจนกระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวิน่า คอซโซโว และภูมิภาคอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ยืนยันถึงสัจธรรมที่ท่านศาสนฑูตได้บอกกล่าวเอาไว้

การเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ดังเช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศจีน อิหร่านและตุรกี เป็นต้น ผู้คนต่างก็ต้องสังเวยชีวิตเป็นอันมากในเหตุการณ์เหล่านี้ รัฐบาลของประเทศที่ประสบภัยพิบัติดังกล่าวมิอาจที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลย จึงมีการสูญเสียอย่างมากมาย สุดที่จะรับมือได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีในด้านการพยากรณ์จะทันสมัยและเจริญก้าวหน้าเพียงใดก็มิอาจที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัติเหล่านี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่นอกเหนือวิสัยที่มนุษย์จะควบคุมได้ วจนะของท่านศาสนฑูตในเรื่องนี้จึงเป็นสัจธรรมด้วยประการทั้งปวง