คำพยากรณ์ถึงชีวิตในบั้นปลายของท่านค่อลีฟะหฺอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.)

รายงานจากท่านอะนัส อิบนุ มาลิก (ร.ฎ.) ว่า ท่านศาสนฑูต ท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ท่านอุมัร (ร.ฎ.) และท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ได้ขึ้นไปบนภูเขาอุฮุด และภูเขาอุฮุดก็ได้สั่นไหว ท่านศาสนทูตจึงได้กล่าวขึ้นว่า أثْبُتْ عليك نَبِيٌّ وَصِدِّ يْقٌ وشهيدانِ  โอ้ภูเขาอุฮุด เจ้าจงหยุดนิ่งเถิด ทั้งนี้เพราะเหนือเจ้านั้นคือ ศาสดา และศิดดิ๊ก และชะฮีดทั้งสอง รายงานโดย 5 คน ยกเว้นท่านมุสลิม

ซึ่งรายงานว่าเป็นภูเขาฮีรออฺแทนภูเขาอุฮุด ในพระวจนะนี้ได้ระบุชัดว่าท่านอุมัรและท่านอุสมานจะได้เสียชีวิตในฐานะชะฮีด ซึ่งแตกต่างจากท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ที่เสียชีวิตตามปกติโดยมิได้ถูกสังหารและมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร ว่าท่านศาสนทูตได้กล่าวถึงความวุ่นวาย (ฟิตนะห์) และท่านกล่าวไว้ว่า  يُقْتَلُ فِيْهَا هذا مَظْلُومًا  “ผู้นี้จะถูกสังหารในช่วงความวุ่นวายโดยถูกอธรรม” และท่านได้ชี้ไปยังท่านอุสมาน รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์

พระวจนะนี้ได้พยากรณ์ถึงการจบชีวิตของท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) ว่าต่อไปในภายภาคหน้าหลังจากท่านศาสนทูตได้เสียชีวิตจะเกิดกลียุคและความวุ่นวาย ซึ่งในช่วงเวลานั้นท่านอุสมาน (ร.ฎ.) จะถูกสังหารอย่างมิชอบธรรม

ส่วนสาเหตุที่นำไปสู่การจบชีวิตของท่านอุสมาน (ร.ฎ.) นั้น ก็มีคำพยากรณ์ของท่าน ศาสนทูตบ่งชี้ไว้เช่นกัน ดังมีรายงานจากท่านมุรเราะหฺ อิบนุ กะอ์บฺ (ร.ฎ.) ได้กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านศาสนทูตได้กล่าวถึงความวุ่นวายอันเป็นกลียุคที่ใกล้เข้ามา ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งคลุมผ้าเดินผ่านมา ท่านศาสนฑูตจึงได้กล่าวว่า “ชายคนนี้ในวันนั้น (วันแห่งกลียุค) อยู่บนทางนำ” ฉัน (มุรเราะหฺ) จึงลุกขึ้นไปหาชายผู้นั้น เมื่อนั้นก็พบว่าชายผู้นั้นคือ อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.)

ต่อมาฉันก็หันหน้ามาทางท่าน ศาสนทูต และกล่าวว่า “คนนี้หรือ” ท่านศาสนทูตตอบว่า “ใช่” รายงานโดยท่านอัตติรมีซียฺและท่านอัลฮากิม ซึ่งท่านทั้งสองถือว่าเป็นหะดีษเศาะเฮียะหฺ และมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะหฺ (ร.ฎ.) กล่าวว่าท่านศาสนทูต กล่าวว่า “โอ้ อุสมาน หวังว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงสวมอาภรณ์แก่ท่าน ฉะนั้นถ้าหากพวกเขาต้องการให้ท่านถอดอาภรณ์นั้น ท่านจะต้องมิถอดมัน” รายงานโดยอะหฺหมัด อัตติรมีซียฺ อิบนุ มาญะหฺ และอัลฮากิม

การสวมใส่อาภรณ์ที่ถูกระบุในพระวจนะนี้หมายถึงการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺของท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ว่าท่านอุสมาน (ร.ฎ.) จะได้ดำรงตำแหน่งดั่งการสวมใส่อาภรณ์ ส่วนกลุ่มชนที่ต้องการถอดอาภรณ์ดังกล่าวจากท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ก็คือพวกก่อกบถที่สร้างความวุ่นวายและต้องการปลดท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ออกจากตำแหน่ง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวอียิปต์ที่ได้รับการปลุกปั่นยุยงจากอับดุลลอฮฺ อิบนุ สะบะอฺ

พวกก่อความไม่สงบและเรียกร้องให้ค่อลีฟะหฺสละตำแหน่งได้ทำการปิดล้อมบ้านของท่านอุสมาน (ร.ฎ.) เป็นเวลา 40 วัน และในวันที่ท่านจะถูกสังหารนั้นท่านได้ทำการละหมาดโดยอ่านซูเราะห์ตอฮา ในขณะที่บริเวณด้านนอกนั้นเกิดไฟไหม้และผู้คนตกอยู่ในสภาพอลหม่าน เมื่อท่านอุสมานละหมาดเสร็จ ท่านก็นั่งอ่านอัลกุรอาน และแล้วพวกก่อการกบฏก็บุกเข้ามาภายในบ้านของท่าน และจู่โจมเข้ารัดคอท่าน และรุมสังหารท่านในที่สุด วันนั้นเป็นวันศุกร์ในตอนสาย (บ้างก็ว่าตอนเย็น) ตรงกับวันที่ 18 เดือนซุลฮิจญะหฺ ปี ฮ.ศ.ที่ 35 ท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺได้ 12 ปี ขาดไป 12 วัน ขณะนั้นมีอายุได้ 82 ปี

สุสานของท่านอยู่บริเวณฮัชชุเกากับ (ทางด้านตะวันออกของสุสานอัลบะเกียะอ์) ท่านอิหม่ามมาลิก (ร.ฎ.) ได้กล่าวว่า ท่านอุสมาน (ร.ฎ.) เคยเดินผ่านสถานที่ฮัชชุเกากับและกล่าวว่า “ผู้มีคุณธรรมคนหนึ่งจะถูกฝังร่างอยู่ ณ ตรงนี้ นั่นหมายความว่า สถานที่ฮัชชุเกากับเป็นบริเวณที่อยู่นอกกำแพงสุสานอัลบะเกียะอฺขึ้นไปทางทิศตะวันออก บริเวณนั้นมีต้นอินทผลัมขึ้นอยู่หลายต้น

ต่อมาในสมัยของท่านมุอาวียะห์ (ร.ฎ.) ท่านได้สร้างโดมครอบหลุมฝังศพของท่านอุสมาน (ร.ฎ.) และรื้อกำแพงที่กั้นสุสานอัลบะเกียอฺกับฮัชชุเกากับออกและมีคำสั่งให้ผู้คนฝังผู้เสียชีวิตรอบๆโดมดังกล่าวจวบจนกระทั่งฮัชชุเกากับมีอาณาเขตเชื่อมติดต่อกับสุสานอัลบะเกียะอฺในที่สุด (อัลบิดายะห์ วันนิฮายะห์ 4/200)

เกี่ยวกับเรื่องสถานที่ฝังศพของท่าน อุสมาน (ร.ฎ.) นี้มีคำพยากรณ์อันเป็นสัจจะของท่านศาสนทูตได้ระบุไว้เช่นกัน ดังมีรายงานจากท่านอบู มูซา อัลอัชอะรีย์ (ร.ฎ.) ว่า “ท่านศาสนทูตได้เข้าไปยังกำแพงสวนแห่งหนึ่ง และใช้ให้ฉันเฝ้าประตูกำแพงสวนนั้น ต่อมามีชายคนหนึ่งมาขออนุญาตท่านศาสนทูตจึงกล่าวว่า “จงอนุญาตแก่เขาและจงแจ้งข่าวดีถึงสวนสวรรค์แก่เขาด้วย” เมื่อนั้นก็ปรากฏชายผู้นั้นคืออบูบักร (ร.ฎ.) ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งมาขออนุญาตอีกท่านจึงกล่าวว่า “จงอนุญาตแก่เขา และจงแจ้งข่าวดีถึงสวนสวรรค์แก่เขาด้วย” เมื่อนั้นเองชายผู้นั้นก็คือท่านอุมัร (ร.ฎ.)

ต่อมาได้มีชายอีกคนหนึ่งมาขออนุญาต ท่านศาสนทูตก็ได้หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นต่อมาท่านกล่าวว่า “จงอนุญาตแก่เขา และจงแจ้งข่าวดีถึงสวนสวรรค์แก่เขาโดยเขาจักประสบกับการทดสอบต่างๆ นานา” เมื่อนั้นก็ปรากฏว่าชายผู้นั้นคือ ท่านอุสมาน (ร.ฎ.) และจากรายงานของท่านสะอีด อิบนุ อัลมุซัยยิบ จากท่านอบี มูซา (ร.ฎ.) ว่า “ท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ท่านอุมัร (ร.ฎ.) ได้ห้อยขาลงในบ่อน้ำของสวนอัลกอฟฟฺ (โดยทุกท่านนั่งอยู่บนชายตลิ่งของบ่อน้ำเรียงกัน)

ต่อมาอุสมาน (ร.ฎ.) ก็ได้มาสมทบและไม่พบว่ามีที่สำหรับท่านอีก (ท่านอุสมานจึงย้ายไปนั่งอีกฟากหนึ่งเพียงลำพัง) ท่านสะอีดได้ กล่าวว่า “ฉันตีความเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า สุสานของท่านศาสนทูต ท่านอบูบักร (ร.ฎ.) และท่านอุมัร (ร.ฎ.) นั้นจะรวมอยู่ในสถานที่บริเวณเดียวกัน ส่วนท่านอุสมาน (ร.ฎ.) จะถูกฝังเพียงลำพัง” (อัลบิดายะหฺ วันนิฮายะหฺ 4/212)

เหตุการณ์ในสวนอัลกอฟฟฺนั้นมีนัยยะบ่งชี้หลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า การดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺหลังจากท่านศาสนทูตของท่านอบูบักร (ร.ฎ.) ท่านอุมัร  (ร.ฎ.) และท่านอุสมาน (ร.ฎ.) ตามลำดับ การได้รับแจ้งข่าวถึงสวนสวรรค์ ตลอดจนการบ่งชี้ถึงสถานที่ฝังศพของแต่ละท่าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจริงตามนั้นทั้งสิ้น และที่สำคัญก็คือการพยากรณ์อันเป็นสัจจะของท่านศาสนทูตที่ระบุชัดเจนว่า ท่านอุสมาน (ร.ฎ.) จะต้องได้พบกับการทดสอบอันได้แก่กลียุคที่เกิดขึ้นในบั้นปลายของชีวิตของท่านและมันก็เป็นไปตามนั้นโดยมิผิดเพี้ยน

วัลลอฮุอะอฺลัม