อัลมุรอบิฏูน (Almoravides) เข้าสู่อัลอันดะลุส
พวกมุรอบิฏูน มีเชื้อสายเบอร์เบอร์ก๊กซอนฮาญะฮฺที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลทรายในแอฟริกาเหนือ ประกอบด้วยเผ่าลัมตูนะฮฺ, ญุดาละฮฺ และมะซูฟะฮฺ โดยเผ่าลัมตูนะฮฺ เป็นผู้นำ เหตุที่เรียกพวกเขาว่ามุรอบิฏูนนั้น นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าเป็นการอ้างถึง ริบาฏ ของชัยคฺ อิบนุ ยาซีนผู้เผยแพร่ความคิดและอุดมการณ์ทางศาสนาในหมู่ชนเผ่าซอนฮาญะฮฺ คำว่า ริบาฏ แต่เดิมหมายถึง สถานที่รวมฝูงม้าที่เตรียมเอาไว้สำหรับการทำศึกกับศัตรู และยังมีความหมายรวมถึง สถานที่พำนักของบรรดานักปฏิบัติธรรม เรียกผู้พักอาศัยอยู่ในริบาฏว่า อัลมุรอบิฏ ซึ่งจะทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ
การปฏิบัติธรรมและการเป็นทหารรักษาเส้นพรมแดน ริบาฏของชัยค์ อิบนุ ยาซีนเป็นที่รวมของผู้คนราว 1,000 คน ทั้งหมดถูกเรียกขานว่า อัลมุรอบิฏูน นอกจากนี้พวกเขายังถูกเรียกขานอีกว่า อัลมุลัซซิมูนฺ (หมายถึงบรรดาผู้ที่ใช้ผ้าคลุมหน้า) เพราะพวกเขาจะใช้ผ้าสีเข้มปกปิดส่วนล่างของใบหน้าเหมือนอย่างที่พวกตอวาริก (ตูอาเร็ก) ในแอฟริกาเหนือมักจะใช้กัน พวกมุรอบิฏูนได้เริ่มแผ่ขยายอำนาจของพวกตนด้วยการรวบรวมเผ่าต่างๆ ในก๊กซอนฮาญะฮฺให้เป็นหนึ่งเดียว
หลังจากนั้นก็ครอบครองดินแดนภาคตะวันตกของแอฟริกาเหนือ ผู้นำที่เข้มแข็งที่สุดของพวกอัลมุรอบิฏูน คือ ยูซุฟ อิบนุ ตาชฺฟีน ซึ่งเป็นเจ้าเมืองมอรอคโค ในปีฮ.ศ.1061 ยูซุฟได้สร้างนครมัรรอกิช เป็นเมืองหลวงของพวกมุรอบิฏูน แทนจากเมืองอัฆมาตฺ ในปีฮ.ศ.455 ยูซุฟสามารถพิชิตนครฟ๊าสได้สำเร็จ และแผ่อำนาจครอบคลุมมอรอคโคทั้งหมด อำนาจของอาณาจักร อัลมุรอบิฏูน ที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺยังได้แผ่ครอบคลุมซูดานตะวันตก, กาน่า, มาลี และไนเจอร์อีกด้วย เหตุนี้พวกอัลมุรอบิฏูนจึงกลายเป็นความหวังสำหรับพลเมืองอัลอันดะลุสในการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการคุมคามของพวกคริสเตียน
ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺได้เริ่มจัดเตรียมความพร้อมในการเข้ากู้สถานการณ์ในอัลอันดะลุส เขาจัดเตรียมทัพในมอรอคโคที่มั่นของตนแล้ว มุ่งหน้าสู่เมืองซิบตะฮฺ (คิวต้า) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลที่จะใช้ข้ามช่องแคบญิบรอลต้าสู่ฝั่งตอนใต้ของอัลอันดะลุส แต่สะกูต อิบนุ มุฮำหมัดไม่ยอมอนุญาตให้กองทัพของยูซุฟผ่านเข้าเมืองและใช้กองเรือของตน ยูซูฟพยายามติดต่อกับเจ้าเมืองซิบตะฮฺ (คิวต้า) และยึดครองเมืองนี้ได้สำเร็จ และเริ่มเตรียมการสำหรับการยกกำลังทหารข้ามช่องแคบญิบรอลต้า
แต่ทว่าบรรดาผู้ปกครองในหัวเมืองภาคใต้ของอัลอันดะลุสกลับมีคำสั่งห้ามเรือทุกลำที่มีพวกมุรอบิฏูนโดยสารข้ามมาเข้าจอดเทียบท่าตามชายฝั่ง ด้วยเหตุนี้ การช่วยเหลือของยูซุฟ จึงล่าช้าเนื่องจากการกระทำของผู้ปกครองชาวมุสลิมเหล่านั้น อัลมุอฺตะมัด อิบนุ อับบาดฺ เจ้าเมืองอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) จึงมีสาส์นถึงเจ้าเมืองบัฏลิยูส (Badajoz) และเจ้าเมืองฆอรนาเฏาะฮฺ (Granada) โดยร้องขอให้บุคคลทั้งสองส่งบรรดากอฎีย์ (ผู้พิพากษา) มายังเมืองอิชบีลียะฮฺ ทั้งหมดได้ร่วมปรึกษาหารือกัน อิบนุ อับบาดเจ้าเมืองอิชบีลียะฮฺได้กล่าวว่า “คนเลี้ยงอูฐ ย่อมดีสำหรับฉันมากกว่าคนเลี้ยงสุกร”
หมายถึง อิบนุ ตาชฟีนฺย่อมดีกว่าอัลฟองซัว ถึงแม้ว่าการเข้ามายังอัลอันดะลุสของอิบนุ ตาชฟีน อาจจะเป็นสาเหตุทำให้อำนาจของผู้ครองรัฐอิสระต้องหมดไปก็ตาม ทั้งหมดจึงตกลงกันในการขอความช่วยเหลือจากอัลมุรอบิฏูน แม้แต่เจ้าเมืองทั้งสองข้างต้นก็เห็นด้วยเช่นกัน
คณะตัวแทนของอัลอันดะลุส ได้เดินทางสู่อัลญะซีเราะฮฺ อัลคอฎรออฺ (Algeciras) ซึ่งมีอัรรอฎี ยะซีด อิบนุ อัลมุอฺตะมัด เป็นผู้ปกครอง ต่อจากนั้นก็ลงเรือข้ามฝั่งไปยังแอฟริกาเหนือเพื่อร่วมหารือกับอิบนุ ตาชฟีน โดยเฉพาะสถานที่สำหรับการยกพลขึ้นบกของพวกมุรอบิฏูน อิบนุ ซัยดูนได้ชี้แนะให้ยกพล ณ ภูเขาตอริกในฝั่งอัลอันดะลุส
ในวันที่ 15 ร่อบีอุลเอาวั้ล ปีฮ.ศ.479/คศ.1086 ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนก็มีคำสั่งให้กองทัพของตนทยอยข้ามฝั่งเป็นระลอกๆ โดยมีดาวุด อิบนุ อาอิชะฮฺ เป็นแม่ทัพ มีจำนวนกำลังพล 7,000 คน ส่วนยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีน ได้ข้ามฝั่งพร้อมกับกองทัพระลอกสุดท้าย ขณะนั้นยูซุฟมีอายุได้ 80 ปี เขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมในการญิฮาดเพื่อที่จะได้รับเกียรติของการญิฮาด ซึ่งจริงๆ แล้วเขาสามารถบัญชาการกองทัพของตนจากเมืองซิบตะฮฺ (คิวต้า) ได้ แต่เขาไม่ต้องการพลาดโอกาสในการญิฮาด จึงเข้าร่วมในการศึกด้วยตนเอง
เมื่อยูซุฟต้องการจะข้ามฝั่งก็ปรากฏว่าเกิดพายุขึ้นในท้องทะเล มีคลื่นสูงและรุนแรง ยูซุฟจึงทำการละหมาดอิสติคอเราะฮฺ และวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ว่า : “โอ้ พระองค์อัลลอฮฺ หากพระองค์ทรงรู้ว่าในการข้ามฝั่งของเรานี้เป็นความดีสำหรับชาวมุสลิมแล้วไซร้ ขอพระองค์ได้ทรงเอื้ออำนวยให้การเคลื่อนกำลังพลข้ามฝั่งนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ถ้าหากไม่เป็นไปตามนั้นแล้ว ขอให้พระองค์ทรงให้เกิดความยากลำบากจนข้าพระองค์ไม่สามารถข้ามฝั่งไปได้ด้วยเถิด”
ยังไม่ทนจบคำวิงวอนนั้น ท้องทะเลก็สงบลง ยูซุฟจึงทำการข้ามฝั่ง และยกพลขึ้นบกที่อัลญะซีเราะฮฺ อัลคอฎรออฺ (Algaciras) หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ชานเมืองอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) ในระหว่างนั้นเอง ข่าวการเสียชีวิตของอบูบักร บุตรชายของยูซุฟซึ่งเป็นผู้ปกครองมอรอคโคได้มาถึงยูซุฟ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะทำการญิฮาดต่อไปโดยส่งมัซฺดะลีย์ เสนาบดีของตนไปเป็นผู้ปกครองอาณาจักรมุรอบิฏูนในมอรอคโคในระหว่างเส้นทางการเดินทัพสู่อิชบีลียะฮฺนั้น
ผู้คนได้ออกมาต้อนรับกองทัพมุสลิม และบรรดาอาสาสมัครเป็นจำนวนมากก็เข้าร่วมสมทบในกองทัพ ครั้นเข้าใกล้เมืองอิชบีลียะฮฺ อัลมุอฺตะมัด ก็ออกมาต้อนรับยูซุฟ อิบนุ ตาชฺฟีนและพบกันเป็นการส่วนตัว ทั้งสองได้สัมผัสมือและโอบกอดกัน แต่ละฝ่ายได้แสดงออกซึ่งความรักระหว่างกัน และวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้ภารกิจของตนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หลังจากพักทัพเป็นระยะเวลาสั้นๆ กองทัพก็เคลื่อนกำลังพลมุ่งหน้าสู่เมืองบัฏลิยูส (Badojoz) อัลมุตะวักกิล เจ้าเมืองบัฏลิยูสซึ่งเป็นผู้ปกครองรัฐอิสระที่ดีที่สุดคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับกองทัพและสนับสนุนทุกสิ่งเท่าที่สามารถกระทำได้แก่กองทัพพันธมิตรมุสลิม อัลมุตะวักกิล ประกาศตนเองเป็นทหารคนหนึ่งภายใต้การบัญชาการของอิบนุ ตาชฟีนฺ บรรดาผู้ปกครองรัฐอิสระทั้งหลายก็เร่งรุดออกมาร่วมสมทบ ในขณะที่บางส่วนก็ให้การสนับสนุน พลเมืองอัลอันดะ ลุสยืนกรานที่จะเป็นทัพหน้าให้กับกองทัพมุรอบิฏูน ภายใต้การนำทัพของอิบนุ อับบาด
ส่วนกองทัพมุรอบิฏูนก็เป็นทัพหลัง อิบนุ อับบาดซึ่งเป็นนักกวีได้กล่าวบทกวีในระหว่างการเดินทัพมีเนื้อความว่า :
“ไม่มีทางเลี่ยงแล้วจากการพ้นโศกอันใกล้
ความประหลาดใจจะมายังเจ้าโดยอัศจรรย์
การศึกที่เป็นสิริมงคลเหนือตัวเจ้า
จะนำเอาการพิชิตอันใกล้กลับคืน
เพื่อพระผู้เป็นเจ้าลางดีของเจ้านั้นจักเป็น
การลบล้างศาสนาแห่งไม้กางเขน
ไม่มีทางเลี่ยงแล้วจากวันที่จำเป็น
พี่น้องเคียงคู่กับวันแห่งอัลกอลีบ”
(คำว่า อัลกอลีบ หมายถึง กอลีบ (บ่อร้าง) ที่ตำบลบัดร์ซึ่งเกิดสมรภูมิบัดร์ อัลกุบรอ ซึ่งชาวมุสลิมได้รับชัยชนะต่อพวกมุชริกีนมักกะฮฺ และกอลีบ (บ่อร้าง) นั้นเป็นที่ฝังศพของเหล่ามุชรีกีนที่ถูกสังหารในสมรภูมิบัดร์)
สมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas)
ปีฮ.ศ.479/คศ.1086 กองทัพพันธมิตรมุสลิมได้เคลื่อนทัพสู่เขตแดนที่เรียกว่า อัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas) ณ ที่นี่ อิบนุ ตาชฟีนได้เริ่มจัดระเบียบกองทัพของตน ครั้นเมื่อข่าวการมายังอัลอันดะลุสของกองทัพมุรอบิฏูนได้รู้ถึงอัลฟองซัว อัลฟองซัวก็ยกเลิกการปิดล้อมเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) และเคลื่อนทัพบ่ายหน้าสู่อัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas) อัลฟองซัวได้มีสาส์นถึงชานญะฮฺ (Sancho) กษัตริย์อรากอน (Aragon) เพื่อขอกำลังสนับสนุน ตลอดจนกษัตริย์ฝรั่งเศสและแคว้นญะลีกียะฮฺ (Galicia) และนาฟาร่า (Navarre) เพื่อขอทัพเสริมและเสบียงในการทำศึก
บรรดาสังฆนายกและบาดหลวงชั้นผู้ใหญ่ก็มีสาส์นถึงพระสันตะปาปาเพื่อให้พระองค์ประกาศสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ (ครูเสด) กับกองทัพมุสลิม นอกจากนี้ยังมีกองทหารอาสาคริสเตียนจากฝรั่งเศสและอิตาลีเข้าร่วมสมทบจนกระทั่งกองทัพของอัลฟองซัวซึ่งมีจำนวนกำลังพลถึง 150,000 คนโดยประมาณในระหว่างที่ชาวมุสลิมมีจำนวนทหารไม่เกิน 25,000 คนเท่านั้น
จนกระทั่งอัลฟองซัวถึงกับกล่าวอย่างโอหังว่า : ข้าจะรบกับเหล่าอมนุษย์ (ญิน) มนุษย์และบรรดาเทวทูตแห่งชั้นฟ้า! และมีสาส์นถึงอิบนุ อับบาดและอิบนุ ตาชฺฟีนฺโดยดูแคลนบุคคลทั้งสอง อิบนุ ตาชฟีนฺจึงมีสาส์นตอบกลับไปว่า : “โอ้ อัซฺฟอนซ์ (อัลฟองซัว) เราได้รู้แล้วว่าท่านได้เคยวิงวอนให้เรามาพบกัน (ในการทำศึก) และท่านก็ปรารถนาว่าจะมีกองเรือที่นำท่านข้ามทะเลมาหาเรา แน่แท้เราได้ข้ามทะเลมาหาท่านแล้ว และแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงรวมระหว่างเรากับท่านในดินแดนนี้ และท่านจะได้ประจักษ์ถึงบั้นปลายแห่งคำวิงวอนของท่าน และคำวิงวอนของเหล่าผู้ปฏิเสธนั้นหาใช่อื่นใดนอกจากตกอยู่ในความหลงผิดเพียงนั้น!”
อิบนุ ตาชฟีนฺได้เขียนสาส์นสลักหลังสาส์นของอัลฟองซัว และมีข้อเสนอแก่อัลฟองซัวให้เลือกเอา 3 ข้อ คือ
1. เข้ารับอิสลาม แล้วเขาก็จะมีสิทธิหน้าที่เฉกเช่นชาวมุสลิม
2. จ่ายภาษีญิซฺยะฮฺ อย่างไร้ศักดิ์สิทธิ์
3. ทำสงคราม
การมีจำนวนทหารในกองทัพที่มากกว่ากองทัพมุสลิมหลายเท่า ทำให้อัลฟองซัวเกิดความลำพองตนและหยิ่งยะโสโอหัง อัลฟองซัวได้ปลุกเร้าเหล่าทหารในกองทัพของตนให้เตรียมทำศึกขั้นแตกหักกับชาวมุสลิม พวกเขาเริ่มยกไม้กางเขน และอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลและให้สัตยาบันว่าจะยอมตาย ในระหว่างที่ชาวมุสลิมต่างก็เตือนกันให้ระวังถึงโทษทัณฑ์ในการหนีทัพในวันแห่งการยาตราทัพและอ่านซูเราะฮฺ อัลอัมฟาลฺ และกำชับในระหว่างกันให้มีความอดทนในการเผชิญหน้ากับศัตรู
อัลฟองซัวได้มีสาส์นถึงฝ่ายมุสลิมในวันพฤหัสบดี โดยกล่าวว่า : “ให้การศึกเป็นที่รู้กันระหว่างเรากับพวกท่านในวันจันทร์ เป็นต้น หรือวันเสาร์โดยที่วันเสาร์อยู่ระหว่างวันศุกร์อันเป็น อีดของชาวมุสลิม และวันอาทิตย์อันเป็นวันตรุษของชาวคริสเตียน” แต่อิบนุ ตาชฟีนฺและอิบนุ อับบาด ก็สั่งให้ทหารของตนเตรียมพร้อมเสมอ เพราะอาจจะเกิดการโจมตีเมื่อใดก็ได้และสาส์น ของอัลฟองซัวก็น่าจะเป็นกลอุบายในการศึก
อิบนุ รุมัยละฮฺ นักปราชญ์ชาวมุสลิมได้ตื่นขึ้นในตอนดึกสงัด และขอพบอิบนุ ตาชฟีนโดยด่วนพร้อมกับบรรดาแม่ทัพนายกอง อิบนุ รุมัยละฮฺได้บอกข่าวดีแก่พวกเขาว่า : ฉันได้ฝันเห็นท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺมาบอกข่าวดีแก่ฉันถึงการพิชิตและชัยชนะ และท่านยังได้บอกว่าฉันจะได้รับมรณะสักขี (ชะฮีด) ในวิถีทางของพระองค์อัลลอฮฺ” ข่าวดีดังกล่าวได้แพร่สะพัดออกไปในหมู่ทหาร ทำให้พวกเขายินดีและมีขวัญกำลังใจเป็นอันมาก ฝ่ายอิบนุ รุมัยละฮฺ ได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายและใส่น้ำมันหอมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการได้รับมรณะสักขี (ชะฮีด)
ในวันที่ 12 ร่อญับ ปีฮ.ศ.479/คศ.1086 สมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas) ก็เริ่มขึ้น กองทัพของอัลฟองซัวได้กรีฑาทัพเข้าสู่สมรภูมิ ฝ่ายกองทัพมุสลิมก็ทำการต่อสู้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อิบนุ อับบาด ต้องสูญเสียม้าศึกของตนถึง 3 ตัว พวกคริสเตียนทุ่มกำลังเข้าสู้รบกับฝ่ายมุสลิมอย่างหนักหน่วงรุนแรงจนกระทั่งแนวรบของฝ่ายมุสลิมเริ่มเสียเปรียบเลือดไหลนองไปทั่วพื้นสมรภูมิ จนกระทั่งม้าศึกและผู้คนต่างก็ลื่นไถลไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ นี่คือที่มาของชื่อสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (ที่หมายถึงลื่นไถล)
ความปราชัยเริ่มปรากฏขึ้นในฝ่ายกองทัพมุสลิม นอกจากว่าอิบนุ ตาชฟีนได้เตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ เขานำทหารจำนวนหนึ่งแยกออกมาคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ของสมรภูมิ และมีบัญชาให้กองทหารของตนเข้าโจมตีฝ่ายศัตรู 2 ส่วนด้วยกัน กองทหารส่วนหนึ่งเข้าโจมตีกลางกองทัพคริสเตียนซึ่งเป็นทัพหลวงของอัลฟองซัว และกองทหารอีกส่วนหนึ่งเข้าโอบล้อมเป็นแนวยาวรอบกองทัพของอัลฟองซัว โดยมีอิบนุ อาอิชะฮฺเป็นแม่ทัพเพื่อจุดไฟเผาทัพหลังของพวกคริสเตียน
กองทัพมุสลิมทั้ง 2 ส่วนได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากอิบนุ ตาชฟีนฺเป็นอย่างดี ณ จุดนี้เองความปั่นป่วนและความระส่ำระสายตลอดจนความเสียเปรียบของฝ่ายกองทัพคริสเตียนก็เริ่มขึ้น ความปราชัยก็คืบคลานสู่แนวรบของอัลฟองซัวและตกอยู่ระหว่างวงล้อมของกองกำลังที่อัลมุอฺตะมัดบัญชาการและกองทหารคุมเชิงของพวกมุรอบิฏูน ซึ่งมีอิบนุ ตาชฟีนฺ –อายุ 80 ปี- เป็นผู้บัญชาการด้วยตัวเองเขามุ่งหวังที่จะได้รับมรณะสักขี (ชะฮีด) ในสมรภูมิครั้งนี้
การสู้รบดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนับแต่รุ่งเช้าจนพลบค่ำ กองทัพที่อิบนุ ตาชฟีนฺบัญชาการก็สามารถตีฝ่าเข้าสู่ใจกลางกองทัพของพวกคริสเตียนจนเข้าไปถึงตัวอัลฟองซัว ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัวเข่า (ซึ่งส่งผลให้เขากลายเป็นคนขาเป๋ไปตลอดชีวิต) อัลฟองซัวหลบหนี และติดตามด้วยกองทัพของตน ฝ่ายทหารชาวมุสลิมก็ไล่ติดตามพวกคริสเตียนจนกระทั่งมืดค่ำ ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺจึงมีคำสั่งให้ยุติการไล่ติดตามและถอยกลับสู่ที่มั่น อัลฟองซัวสามารถหลบหนีถึงนครโทเลโดพร้อมด้วยอัศวินที่รอดชีวิตเพียง 100 คนเท่านั้นจากทั้งหมด 50,000 นาย (เฉพาะจำนวนอัศวินทหารม้า)
ในสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajaz) มีนักวิชาการศาสนาและบุคคลสำคัญได้พลีชีพเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น อิบนุ รุมัยละฮฺ, อัลมัซมูดีย์ กอฎีย์แห่งนครมัรรอกิช, อบูรอฟิอฺ อัลฟัฎล์ อิบนุ ฮัซฺม์ นักนิติศาสตร์อิสลาม เป็นต้น อิบนุ ตาชฟีนฺไม่ได้เอาทรัพย์สงครามแต่อย่างใด หากแต่ได้แบ่งทรัพย์สงครามที่ยึดได้แก่บรรดาผู้ครองนครรัฐและทหารชาวอัลอันดะลุส
ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺมีเจตนาจะทำการศึกอย่างต่อเนื่องเพื่อปราบปรามนครโทเลโด และยุติการแผ่อำนาจของอัลฟองซัวและกองทัพคริสเตียนแต่ทว่าเกิดภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของอาณาจักรอัลมุรอบิฏูนในมอรอคโคทำให้ยูซุฟจำต้องเดินทางกลับสู่มอรอคโค ในปีฮ.ศ.479/คศ.1086
ภายหลังการทำศึกในสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺได้หนึ่งเดือน ยูซุฟได้ละทิ้งทหารของตนเอาไว้ในอัลอันดะลุสเพื่อให้ทำการญิฮาดต่อไปภายใต้การนำทัพของซิยัร อิบนุ อบีบักรฺ ในส่วนของบรรดาผู้ปกครองรัฐอิสระในอัลอันดะลุสก็ยังคงมีความแตกแยกและไม่คิดที่จะฉวยโอกาสในการญิฮาดเพื่อปลดแอกนครโทเลโดให้กลับสู่การปกครองของชาวมุสลิมทั้งๆ ที่อัลฟองซัวก็บาดเจ็บสาหัส และมีกำลังพลที่บอบช้ำจากการปราชัยในสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas)
ฝ่ายอัลฟองซัวได้กลับมายังนครโทเลโดและเริ่มรวบรวมกำลังทหารที่แตกพ่ายกระจัดกระจายไปในภาคเหนือของอัลอันดะลุสอีกครั้งในปีฮ.ศ.480/คศ.1087 หนึ่งปีหลังจากความปราชัยในสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ อัลฟองซัวก็มีบัญชาให้สร้างป้อมปราการลุยัยฏ์ (Aledo) ใกล้กับเมืองมัรซียะฮฺ (Murcia) และระดมพลจำนวน 13,000 คน เพื่อเข้าประจำการในป้อมปราการแห่งนี้และเตรียมการสำหรับการเข้าโจมตีรัฐอิสระของชาวมุสลิม
อีกครั้งหนึ่งที่พลเมืองอัลอันดะลุสรู้สึกถึงภัยคุกคามของอัลฟองซัว และรับรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับอัลฟองซัวและกองทัพของเขาได้นอกจากต้องอาศัยกองทัพของอิบนุตาชฟีน ด้วยเหตุนี้อัลมุอฺตะมัด อิบนุ อับบาดจึงข้ามฝั่งไปยังมอรอคโคด้วยตัวเองและพบกับยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนเพื่อขอให้ปกป้องอัลอันดะลุสจากภัยคุกคามของพวกคริสเตียน ในปีฮ.ศ.482 จึงนำทัพข้ามฝั่งสู่อัลอันดะลุสอีกครั้งและบรรดาผู้ปกครองรัฐอิสระก็เข้าร่วมกับยูซุฟในการเคลื่อนกำลังพลสู่ป้อมปราการลุยัยฏ์ และเข้าปิดล้อมอย่างหนักหน่วง
อัลฟองซัวจึงเตรียมรี้พลของตนมุ่งหน้าเข้าช่วยเหลือป้อมปราการและทหารที่ถูกปิดล้อม ทำให้ยูซุฟจำต้องล่าถอยจากป้อมปราการเพื่อคุมเชิงฝ่ายศัตรู ฝ่ายอัลฟองซัวเห็นว่าตนจำต้องละทิ้งป้อมปราการลุยัยฏ์ จึงสั่งให้รื้อทำลายลงเสีย และถอยทัพกลับสู่นครโทเลโด ภัยคุกคามที่มีต่อรัฐอิสระจึงยุติลงในด้านตะวันออกของอัลอันดะลุส ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีน จึงเดินทางกลับสู่มอรอคโคอีกครั้งโดยทิ้งกองกำลังรักษาการณ์เอาไว้ในอัลอันดะลุส แต่ทว่าบรรดาผู้ปกครองรัฐอิสระก็ยังคงจมปลักอยู่ในความขัดแย้ง มีการรบพุ่งระหว่างกันอยู่เช่นเดิม ทำให้พลเมืองมุสลิมในอัลอันดะลุสจำต้องมีสาส์นไปถึงยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺ
นอกจากนี้ยังมีฟัตวา (คำวินิจฉัย) ของบรรดานักวิชาการศาสนา อาทิเช่น อบูฮามิด อัลฆ่อซาลีย์ และอบูบักร อัฏฏอรฏูซีย์ให้ปลดบรรดาผู้ปกครองเหล่านั้นออกจากตำแหน่ง คำฟัตวาได้ถูกส่งจากแคว้นชาม (ซีเรีย) ถึงยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺซึ่งยูซุฟก็ยอมรับในคำฟัตวาและการเรียกร้องของพลเมืองอัลอันดะลุส ในปีฮ.ศ.483 ยูซุฟจึงนำกองทัพของตนข้ามสู่ฝั่งอัลอันดะลุสเป็นครั้งที่สาม
บรรดาผู้รักการญิฮาดจากพลเมืองอัลอันดะลุสก็เข้าร่วมกับยูซุฟ ตลอดจนผู้ปกครองรัฐอิสระบางคนก็ร่วมสมทบ ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺมีความมุ่งมั่นที่รวมอัลอันดะลุสให้เป็นปึกแผ่นถึงแม้จะต้องใช้กำลังในกรณีที่จำเป็นก็ตาม เขานำทัพมุ่งหน้าสู่เมืองโทเลโดเป็นอันดับแรกเพื่อพิชิตเมืองนี้กลับคืนจากพวกคริสเตียน มีการปิดล้อมอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถตีเมืองโทเลโดได้ ยูซุฟจึงจำต้องถอยทัพและมุ่งสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่อัลอันดะลุสให้สำเร็จเสียก่อน แต่ทว่าเหตุการณ์ในมอรอคโคได้กดดันให้ยูซุฟต้องเดินทางกลับสู่ฝั่งแอฟริกาเหนืออีกครั้ง
โดยมอบหมายให้แม่ทัพซิยัร อิบนุ อบีบักรบัญชาการกองทัพที่ทิ้งไว้ในอัลอันดะลุสเพื่อสานต่อการรวมต่ออัลอันดะลุสให้เป็นหนึ่ง ในปีฮ.ศ.484/คศ.1091 แม่ทัพซิยัรได้นำกองทัพอัลมุรอบิฏูนมุ่งหน้าสู่นครโคโดบาฮฺซึ่งขึ้นกับนครอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) มีอัลฟัตฮฺ อิบนุ อัลมุอฺตะมัด อิบนิ อับบาดเป็นผู้ปกครอง อัลฟัตฮฺ ปฏิเสธที่จะยอมส่งมอบเมืองโคโดบาฮฺ การรบพุ่งจึงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย กองทัพของนครโคโดบาฮฺได้รับความปราชัย และอัลฟัตฮฺเสียชีวิตในการรบ ภรรยาของอัลฟัตฮฺคือพระนางซาอิดะฮฺก็ลี้ภัยไปยังอาณาจักรกิชตาละฮฺ (Castile) ของพวกคริสเตียน กล่าวกันว่า พระนางได้เข้ารีตในคริสต์ศาสนา!
แม่ทัพซิยัร อิบนุ อบีบักรสามารถนำทัพเข้าพิชิตนครโคโดบาฮฺได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่อิชบีลียะฮฺ (Sevilla) นครรัฐอิสระที่ใหญ่ที่สุดในอัลอันดะลุส อัลฟองซัวจึงฉวยโอกาสนี้ในการส่งกองทัพของตนภายใต้การนำของแม่ทัพ อัลบัรฮานุช (อัลเบอร์ฮันช์) เพื่อเข้าบดขยี้กองทัพของอัลมุรอบิฏูน การรบพุ่งเป็นไปอย่างรุนแรง ฝ่ายกองทัพคริสเตียนก็ประสบความปราชัย ส่วนแม่ทัพอัลบัรฮานุชบาดเจ็บสาหัส
ครั้นเมื่อข่าวการได้รับชัยชนะของกองทัพมุสลิมแพร่สะพัดออกไป เจ้าเมืองดานียะฮฺ (Denia) และเจ้าเมืองอัลบิลยารฺ (Islas Baleaves) ก็ประกาศเข้าร่วมกับกองทัพอัลมุรอบิฏูน หลังจากนั้นแม่ทัพซิยัรก็นำกองทัพมุ่งหน้าสู่นครอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) เพื่อพิชิตนครแห่งนี้ อัลมุอฺตะมัด ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับกองทัพ อัลมุรอบิฏูน จึงยืนกรานที่จะทำการสู้รบ เขาปลุกเร้าพลเมืองของตนให้ทำการต่อสู้ป้องกันเมือง แต่พลเมืองอิชบีลียะฮฺปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนต่ออัลมุอฺตะมัด นครอิชบีลียะฮฺจึงตกอยู่ในกำมือของกองทัพอัลมุรอบิฏูนในปีฮ.ศ.484/คศ.1091
นับว่า อิบนุ อับบาด (อัลมุอฺตะมัด บิลลาฮฺ) เจ้าเมืองอิชบีลียะฮฺเป็นผู้ปกครองรัฐอิสระในอัลอันดะลุสที่ดีที่สุดผู้หนึ่ง ทั้งในด้านสถานะที่สูงส่งซึ่งเปรียบได้กับค่อลีฟะฮฺฮารูน อัรร่อชีด และในด้านการสร้างความเจริญให้กับรัฐอิสระของตนซึ่งถือเป็นรัฐอิสระที่ใหญ่ที่สุดในอัลอันดะลุสอย่างน้อยคุณงามความดีของอิบนุ อับบาดก็เป็นที่ประจักษ์เมื่อเขาทำการขอความช่วยเหลือไปยังพวกมุรอบิฏูนให้ส่งกองทัพมาพิทักษ์อัลอันดะลุส
เมื่อนครอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) พร้อมกับหัวเมืองภาคใต้ทั้งหมดของอัลอันดะลุสยอมจำนนต่ออำนาจของอัลมุรอบิฏูนแล้ว แม่ทัพซิยัร อิบนุ อบีบักรก็มีคำสั่งให้เนรเทศอัลมุอฺตะมัด อิบนุ อับบาดไปยังเมืองอัฆมาตฺในมอรอคโค พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของเขา อิบนุ อับบาด ต้องใช้ชีวิตที่ลำเค็ญและยากจนข้นแค้นในมอรอคโค จวบจนกระทั่งในปีฮ.ศ.488/คศ.1095 ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺได้ปล่อยตัวเขาเป็นอิสระต่อมาเขาก็สิ้นชีวิตลง การปกครองในยุคหลายก๊กของรัฐอิสระก็จบลงด้วยการสิ้นชีวิตของอิบนุ อับบาดผู้นี้
สรุปเหตุการณ์สำคัญในช่วงการปกครองของรัฐอิสระ
ฮ.ศ.400 อัลอันดะลุสแตกออกเป็นรัฐอิสระ 22 รัฐ
ฮ.ศ.403 สุลัยมาน อิบนุ อัลหะกัม อัลอุม่าวีย์ ปลดฮิชาม อัลมุอัยยัดบิลลาฮฺ
ฮ.ศ.422 ประกาศยกเลิกการปกครองของอัลอุม่าวียะฮฺในอัลอันดะลุส
ฮ.ศ.440 อบุลวะลีด อัลบาญีย์เรียกร้องให้รวมอัลอันดะลุสเป็นหนึ่ง
ฮ.ศ.456 โศกนาฏกรรมเมืองบัรบัชตัร (Barbastro) โดยน้ำมือของพวกฝรั่งเศสและนอร์แมนด์
ฮ.ศ.468 ซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) ดานียะฮฺ (Denia) และบะลันซียะฮฺ (Valencia) รวมเป็นหนึ่ง
ฮ.ศ.475 นครฏุลัยฏุละฮฺ (Toledo) ตกอยู่ในกำมือของอัลฟองซัวที่ 6
ฮ.ศ.478 เสียเมืองบะลันซียะฮฺ (Valencia)
ฮ.ศ.479 อิบนุ ตาชฟีนฺข้ามฝั่งสู่อัลอันดะลุส
ฮ.ศ.479 สมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas)
ฮ.ศ.483 อิบนุ ตาชฟีนฺ เริ่มสร้างความเป็นปึกแผ่นในอัลอันดะลุส
ฮ.ศ.484 อิบนุ อับบาด ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมอยู่ภายใต้ร่มธงของอิบนุ ตาชฟีนฺ นครอิชบีลียะฮฺถูกปิดล้อมและตกอยู่ใต้อำนาจของอัลมุรอบิฏูน อิบนุ อับบาดถูกเนรเทศ
ฮ.ศ.488 อัลมุอฺตะมัด อิบนุ อับบาด สิ้นชีวิต
(สิ้นสุดยุคการปกครองของรัฐอิสระ)
เมืองบะลันซียะฮฺ (Valencia) อยู่ใต้อำนาจของอัลกอดิร บิลลาฮฺ ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่แย่ที่สุดในบรรดารัฐอิสระของอัลอันดะลุส อัลกอดิรได้ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลฟองซัวที่ 6 (Alfonso VI (Leon) ยิ่งไปกว่านั้นยังยอมอยู่ใต้อำนาจของอัลกุมบีฏูร (เอลซิด) ซึ่งปล่อยให้อัลกอดิรปกครองเมืองบะลันซียะฮฺ โดยแลกกับเครื่องบรรณาการ พลเมืองบะลันซียะฮฺต้องตกอยู่ในภาวะกดดันที่เลวร้ายจากอัลกอดิร บิลลาฮฺจึงทำให้อิบนุ ญะฮฺฮาฟฺ กอฎีย์ (ผู้พิพากษา) ต้องร่วมมือกับพรรคพวกของตนในการขจัดอำนาจของอัลกอดิร อิบนุ ญะฮฺฮาฟฺได้ลอบติดต่อกับพวกมุรอบิฏูนและสามารถจับกุมตัวอัลกอดิรในขณะที่กำลังจะหลบหนีออกจากปราสาทของตนได้สำเร็จ
อัลกุมบีฏูร (เอลซิด) จึงนำกองทัพของตนเข้าปิดล้อมเมืองอิชบีลียะฮฺและเผาทำลายเขตชานเมืองจนสูญเสียอย่างหนัก ในขณะที่พวกมุรอบิฏูนยังไม่สามารถส่งกองทัพมาช่วยเหลือได้ทันเวลา ฝ่ายเจ้าเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) อัลมุสตะอีน บิลลาฮฺก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ ทำให้ชาวเมืองบะลันซียะฮฺจำต้องทำข้อตกลงกับอัลกุมบีฏูร (เอลซิด) แต่ทว่าเงื่อนไขของอัลกุมบีฏูร (เอลซีด) กระทำกับชาวเมืองนั้นสุดที่จะยอมรับได้ การปิดล้อมยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลา 20 เดือน จนกระทั่งชาวเมืองอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) ตกอยู่ในภาวะคับขัน ไม่มีอาหารและน้ำดื่ม
นักประวัติศาสตร์ระบุว่า : ชาวเมืองที่ถูกปิดล้อมต้องกินหมู แมว และซากสัตว์ประทังชีวิต ผู้ใดหลบหนีออกจากเมืองก็จะถูกจับกุมและถูกควักลูกตา หรือตัดมือ หรือถูกสังหาร โรคระบาดก็แพร่กระจายไปทั่วเมือง ในที่สุดชาวเมืองอิชบีลียะฮฺจึงจำต้องส่งตัวแทนออกไปเจรจากับเอลซิดว่าจะยอมจำนนแต่ขอให้ เอลซิดรับประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพลเมือง ในปีฮ.ศ.487 ประตูเมืองก็ถูกเปิดออก ทหารของเอลซิดก็เข้ายึดครองป้อมประตูหอรบอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ทหารรวบรวมคนหนุ่มและชายฉกรรจ์ทั้งหมดที่สามารถทำการรบได้ และสั่งให้ประหารชีวิตทั้งหมดเสีย ใครที่ไม่สามารถทำการรบได้ก็สั่งให้เนรเทศ เอลซิดสั่งให้ฆ่าคนทุกคนในเมืองที่มีท่อนเหล็กหรือมีดพร้า และให้เปลี่ยนมัสญิดญามิอ์เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนา ส่วนกอฎีย์ อิบนุ ญะฮฺฮาฟฺ นั้นถูกฝังทั้งเป็นหน้าโบสถ์แห่งนั้น นี่คือความโหดร้ายป่าเถื่อนของอัลกุมบีฏูร (Compeador,Elcid) บุคคลที่ชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวคริสเตียนในสเปนยกย่องและขนานนามเขาว่าเป็นวีรบุรุษแห่งตำนาน มีการแต่งเพลงขับร้องที่เกี่ยวกับวีรกรรมของเขา
นักบูรพาคดีบางคนถึงขั้นกล่าวว่า เอลซิดเป็นต้นแบบของอัศวินที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ภาพลักษณ์ของเอลซิดในภาพยนตร์ที่ฮอลลีวูด สร้างขึ้นช่างสง่างามและมีท่าทีที่อ่อนโยนกับศัตรู เป็นผู้พิทักษ์บัลลังก์ของกษัตริย์คริสเตียนแห่งสเปน และเป็นอัศวินที่กล้าหาญ รักความยุติธรรม แต่ทว่านั่นก็เป็นเพียงภาพมายาอันจอมปลอมที่พวกตะวันตกสร้างขึ้นในตำนานของเอลซิดผู้ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นวีรบุรุษแห่งตำนาน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพียงหัวหน้ากองทหารรับจ้างที่มุ่งแสวงหาอำนาจและทรัพย์สิน และพร้อมที่จะตระบัดสัตย์ได้ทุกเมื่อเพื่อแลกกับข้อเสนอที่มากกว่า เอลซิดผู้นี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงธาตุแท้ของชาวคริสเตียนในยุคนั้นว่ามีความจงเกลียดจงชังต่อชาวมุสลิมมากเพียงใด!
เมื่อเหตุการณ์ในแอฟริกาเหนือสงบลงแล้ว ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺก็ได้ข้ามฝั่งสู่แคว้นอัลอันดะลุสเป็นครั้งที่ 4 ในปีฮ.ศ.490/คศ.1097 และจัดเตรียมกองทัพใหญ่ทางตอนใต้ของอัลอันดะลุสและให้มุฮำหมัด อิบนุ อัลฮาจฺญ์เป็นแม่ทัพ ยกทัพมุ่งหน้าสู่นครโทเลโด นครหลวงของอัลฟองซัวฝ่ายอัลฟองซัวจึงแต่งทัพออกมาต้านทานกองทัพของมุสลิม โดยทัพทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน ณ กันชะเราะฮฺ การรบพุ่งเป็นไปอย่างรุนแรง ในที่สุดอิบนุ อัลฮาจฺญ์ก็สามารถเอาชนะกองทัพส่วนใหญ่ของพวกคริสเตียน
ส่วนพวกที่เหลือก็หลบหนีเข้าสู่กำแพงเมืองของนครโทเลโด อิบนุ อัลฮาจญ์ก็นำทัพมุ่งหน้าสู่เมืองบะลันซียะฮฺ (Valencia) ในปีฮ.ศ.493/คศ.1100 และทำการปิดล้อมเมืองบะลันซียะฮฺ เอาไว้หลังจากที่สร้างความปราชัยแก่กองทัพของเอลซิดในสมรภูมิหลายครั้งที่เกิดขึ้นรอบๆ เมือง
การปิดล้อมเมืองบะลันซียะฮฺไปอย่างต่อเนื่อง อิบนุ ตาชฟีนฺจึงส่งทัพเสริมที่นำโดย อบูมุฮำหมัด อัลมัซฺดะลีย์ ในปีฮ.ศ.495 เพื่อสนับสนุนการปิดล้อมของชาวมุสลิมที่นั่น อัลกุมบีฏูร (เอลซิด) ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ปีฮ.ศ.493 แล้ว ชัยมานะฮฺ ภรรยาของเอลซิดได้บัญชาการต่อมาและพยายามที่จะต่อสู้ป้องกันเมืองบะลันซียะฮฺเอาไว้ แต่ในที่สุดก็จำต้องล่าถอยออกไปหลังจากทำลายอาคารบ้านเรือนจนหมดสิ้น อัลมัซฺดะลีย์ได้ยาตราทัพเข้าสู่เมืองบะลันซียะอฺ (Valencia) ในเดือนร่อญับ ปีฮ.ศ.495 และยุติการปิดล้อมเมืองซึ่งใช้เวลาถึง 8 ปี
อิบนุ ตาชฟีนฺซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 95 ปี ได้ตัดสินใจกลับสู่แอฟริกาเหนืออีกครั้ง โดยรับสัตยาบันให้กับอะลี อิบนุ ยูซุฟบุตรชายของตนให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งในการปกครองอัลอันดะลุสก่อนที่จะเดินทางกลับสู่มอรอคโคในแอฟริกาเหนือ อิบนุ ตาชฟีนฺได้กำชับสั่งเสียบุตรชายของตนสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่อัลอันดะลุสด้วยการจัดตั้งกองทัพและกระจายกำลังทหารตามเขตพรมแดนและที่มั่นสำคัญ
กองทัพหลักมีจำนวนกำลังพล 17,000 คน (เป็นทหารม้า) ส่วนหนึ่งประจำการในนครอิชบีลียะฮฺ 7,000 คน นครโคโดบาฮฺ 1,000 คน ฆอรนาเฏาะฮฺ 1,000 คน ดินแดนตะวันออกของอัลอันดะลุสจำนวน 4,000 คน และ 4,000 คนที่เหลือกระจายกำลังอยู่ตามเส้นพรมแดนและป้อมปราการที่อยู่ประชิดพรมแดนของศัตรู
อะลี อิบนุ ยูซุฟมิใช่บุตรชายคนโตของยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺแต่เขาเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าพี่น้องของตนทั้งในด้านความสุขุมคัมภีรภาพ, ความยำเกรง, ความเคร่งครัดในหลักคำสอนของศาสนาและการญิฮาด อะลี อิบนุ ยูซุฟจึงมีความเหมาะสมในการเป็นผู้สืบทอดอำนาจจากบิดาของเขา
ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนได้กลับสู่มอรอคโค และลงพำนักที่ปราสาทในนครหลวงมัรรอกิช เขาล้มป่วยและเสียชีวิตในตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 1 เดือนมุฮัรรอม ในปีฮ.ศ.500/คศ.1107 ขณะมีอายุได้ร้อยปีเศษ ศพของเขาถูกฝังในนครมัรรอกิช คุณูปการที่สำคัญที่สุดซึ่งยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺได้สร้างวีรกรรมเอาไว้ก็คือ การกู้สถานการณ์ของอัลอันดะลุสที่กำลังถูกคุกคามจากพวกคริสเตียนทางตอนเหนือ และทำให้ชาวมุสลิมยังคงสืบสานอารยธรรมอิสลามต่อมาอีกหลายร้อยปี
อาณาจักรอัลมุรอบิฏูนในรัชสมัยอะลี อิบนุ ยูซุฟ อิบนิ ตาชฟีนฺ
อะลี อิบนุ ยูซูฟ ได้รับสัตยาบันขึ้นเป็นผู้ปกครองอัลอันดะลุสในวันที่ยูซุฟ บิดาของเขาเสียชีวิต ขณะมีอายุได้ 23 ปี เขาดำเนินตามแบบอย่างของบิดาที่วางเอาไว้ นักประวัติศาสตร์ระบุว่า เขามีความมุ่งมั่นอันสูงส่ง มีความรู้อย่างกว้างขวาง เป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ มีความรักและนิยมชมชอบบรรดานักวิชาการศาสนาและมักจะเข้าร่วมในวงสนทนาและการศึกษา อะลี อิบนุ ยูซุฟได้แต่งตั้งให้ตะมีม พี่ชายของตนเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอัลมุรอบิฏูนในอัลอันดะลุส หลังจากนั้นเขาก็เดินทางกลับสู่มอรอคโค
ในปีฮ.ศ.501/คศ.1108 อะลี อิบนุ ยูซุฟได้มีสาส์นถึงตะมีม พี่ชายของตนเพื่อให้แม่ทัพตะมีมเริ่มเตรียมการสู้รบกับดินแดนตะวันออกของอัลอันดะลุสเพื่อทำลายเมืองหน้าด่านที่เหลืออยู่สำหรับพวกคริสเตียน แม่ทัพตะมีมจึงนำทัพมุ่งหน้าสู่อุกลีชฺ (Ucles) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของนครโทเลโด ในเมืองอุกลีชฺ (Ucles) แห่งนี้มีทหารคริสเตียนประจำการอยู่ราว 10,000 คน แต่ทว่าพวกทหารคริสเตียนได้หลบหนีจากเมืองอุกลีชฺ ภายใต้การกดดันจากกองทัพอัลมุรอบีฎูน ไปรวมตัวกันที่ป้อมปราการที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมืองอุกลีชฺ (Ucles)
อัลฟองซัวจึงส่งทัพภายใต้การนำของชานญะฮฺ (Sancho) ซึ่งมีอายุยังไม่เกิน 11 ปี แต่อัลฟองซัวส่งบุตรชายคนเดียวของเขามาในกองทัพเพื่อเป็นสัญลักษณ์ โดยมีอัศวินจำนวน 7 คนให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งสมรภูมิครั้งนี้ถูกเรียกขานว่า “สมรภูมิ 7 อัศวิน” กองทัพของอาณาจักรกิชตาละฮฺ (Castile) รัชทายาทของอัลฟองซัวและเหล่าอัศวินทั้ง 7 ได้ถูกกองทัพอัลมุรอบิฏูนทำลายลงอย่างราบคาบ อัลฟองซัวได้รับความสะเทือนใจเป็นอันมากที่ต้องสูญเสียดินแดนตะวันออกของอัลอันดะลุสจากอำนาจของตน
และที่สำคัญคือสูญเสียชานญะฮฺรัชทายาทของตน เนื่องจากชานญะฮฺได้จู่โจมเข้าสู่ใจกลางของสมรภูมิเคียงคู่กับอัศวินที่คอยดูแล และถูกทหารชาวมุสลิมเข้าล้อมและแทงบุคคลทั้งสองจนเสียชีวิต ทำให้กองทัพคริสเตียนเสียขวัญและแตกพ่ายไม่เป็นขบวน แม่ทัพอัลบัรฮานุช (เอลเบอร์ฮันช์) จึงถอยทัพกลับสู่นครโทเลโดแต่กองทัพอัลมุรอบิฏูนก็ไล่ติดตามและสามารถสังหารแม่ทัพและเหล่าอัศวินทั้ง 7 คนได้สำเร็จ สมรภูมิที่เมืองอุกลีชฺ (Ucles) ซึ่งถูกเรียกขานว่า “สมรภูมิ 7 อัศวิน” เป็นชัยชนะของฝ่ายมุสลิมเทียบได้กับสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น
หลังจากนั้นอัลฟองซัวที่ 6 (Alfonso VI) ได้สิ้นพระชนม์อาณาจักรคริสเตียนก็แตกออกเป็น 2 ส่วนคือ อาณาจักรที่ปกครองโดยอัลฟองซัวที่ 1 แห่งอารากอน (Aragon) ผู้มีฉายานามว่า อัลมุฮาริบ (นักรบ) และอาณาจักรที่ปกครองโดยอัลฟองซัวที่ 7 (Alfonso Raimundez Vii)
ในปีฮ.ศ.503/คศ.1110 อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟได้ข้ามช่องแคบญิบรอลต้าสู่ฝั่งอัลอันดะลุสเพื่อสืบสานการญิฮาด เขาได้จัดเตรียมทัพและมุ่งหน้าสู่นครโทเลโดเพื่อกดดันให้โทเลโดยอมจำนน ฝ่ายอัลฟองซัว อัลมุฮาริบก็จัดเตรียมกองทัพคริสเตียนเพื่อรับมือกองทัพอัลมุรอบิฏูน ฝ่ายกองทัพคริสเตียนได้เผชิญหน้ากับกองทัพอัลมุรอบิฏูนบนเส้นทางในเขตของเมืองมัจฺญ์รีฏ (แมด ดริด)
อะมีร อะลีได้นำกองทัพเข้าจู่โจมและไล่ติดตามบดขยี้พวกคริสเตียนในเมืองฏอละบีเราะฮฺ (Talavera de la Reina) การรบพุ่งเป็นไปอย่างรุนแรงและหนักหน่วง และจบลงด้วยความปราชัยของฝ่ายคริสเตียน สงครามครั้งนี้ถูกเรียกว่า สมรภูมิเหล่ากอฎีย์ เพราะมีบรรดากอฎีย์ (ผู้พิพากษา) จากหัวเมืองมุสลิมเข้าร่วมในกองทัพอัลมุรอบิฏูนเป็นอันมาก
ต่อจากนั้นกองทัพอัลมุรอบิฏูนก็บ่ายหน้าสู่ตอนเหนืออันเป็นที่ตั้งของเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ ในปีฮ.ศ.505/คศ.1112 และเข้าปิดล้อมเมืองนี้เอาไว้ทุกด้านและสามารถยึดเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) ได้จากพวกคริสเตียน
อัลฟองซัว อัลมุฮาริบ (นักรบ) รู้ว่าบัดนี้นครโทเลโดของตนต้องเผชิญกับภัยคุกคามของกองทัพอัลมุรอบิฏูนจึงส่งตัวแทนไปยังคริสเตียนยุโรปเพื่อขอกำลังสนับสนุน ฝรั่งเศสและอิตาลีจึงส่งกองทัพและกำลังอาวุธมาสนับสนุนอัลฟองซัวเพื่อต่อสู้กับพวกอัลมุรอบิฏูน
ในปีฮ.ศ.508/คศ.1114 ได้เกิดการรวมตัวเป็นพันธมิตร 3 ฝ่ายของรัฐคริสเตียน อันได้แก่ รัฐบัรชะลูนะฮฺ (Barcelona) ซึ่งเป็นรัฐที่มีกองทัพเรือขนาดใหญ่, รัฐปีซ่าและเจนัวในอิตาลี รัฐทั้ง 3 นี้ได้ร่วมกันจัดกองทัพเรือจำนวน 300 ลำ และมุ่งหน้าสู่หมู่เกาะทางตะวันออก (อัลบิลยาร) – Islas Baleares – ของอัลอันดะลุส และสามารถยึดครอง เกาะยาบิซะฮฺ (Ibiza) และเข้าปิดล้อมเกาะมะยูรเกาะฮฺ (Mallorca) ซึ่งผู้ปกครองเกาะแห่งนี้ (อับดุลลอฮฺ อัลมุรตะฎอ) ได้ขอความช่วยเหลือไปยังกองทัพอัลมุรอบิฏูน, อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟจึงรีบส่งกองทัพเรือจำนวน 300 ลำโดยมี “ตากิรฏอสฺ” เป็นแม่ทัพเรือเข้าโอบล้อมกองเรือรบของฝ่ายคริสเตียนซึ่งสามารถถอนกำลังเรือรบออกไป แต่มีเรือรบบางส่วนต้องอับปางลงสู่ท้องทะเลเนื่องจากมีพายุใหญ่ และตกเป็นเชลยแก่ฝ่ายมุสลิมจำนวน 3 ลำ
รัฐอิสระของมุสลิมเกือบทั้งหมดได้ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอัลมุรอบิฏูนและพวกเขาก็พยายามที่จะยึดเกาะมะยูรเกาะฮฺ (Mallorca) ซึ่งตกอยู่ในกำมือของพวกคริสเตียนกลับคืน ในปีฮ.ศ.511/คศ.1117 อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟได้ข้ามมายังฝั่งอัลอันดะลุสและนำกองทัพมุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันตก และสามารถพิชิตเมืองกอลมะรียะฮฺ นครหลวงของโปรตุเกสทางตะวันตกได้สำเร็จ
ฝ่ายอัลฟองซัว อัลมุฮาริบ (Alfonso I) ก็ขอความช่วยเหลือไปยังรัฐคริสเตียนยุโรป ทั้งในฝรั่งเศสและอิตาลีให้ส่งกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์มาช่วยเหลือตนอีกครั้ง ทหารของอัลฟองซัวในครั้งนี้มีจำนวน 50,000 คนได้เคลื่อนกำลังเข้าทำลายการปิดล้อมนครโทเลโด หลังจากนั้นก็นำทัพมุ่งหน้าสู่เมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) และปิดล้อมเอาไว้เป็นเวลา 9 เดือน กองทัพอัลมุรอบิฏูนไม่สามารถส่งกองทัพไปช่วยเหลือซะระกุสเฏาะฮฺได้ทันการ จนทำให้ชาวเมืองจำต้องยอมจำนนในเดือนรอมาฎอน ปีฮ.ศ.512
อัลฟองซัวได้ยอมให้พลเมืองเดินทางออกจากเมืองซะระกุสเฏาะฮฺอย่างปลอดภัย และเปลี่ยนมัสญิดญามิอฺเป็นที่พักของบรรดาบาทหลวง และยังได้เข้ายึดครองหัวเมืองหน้าด่านของชาวมุสลิมทางตอนเหนืออีกด้วย เมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) เสียให้แก่กองทัพคริสเตียนภายหลังการเสียเมืองฏุลัยฏุละฮฺ (Toledo) ราว 30 ปี และเคยตกอยู่ในอำนาจของชาวมุสลิมเป็นเวลา 400 ปี
ในปีฮ.ศ.514/คศ.1120 อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟได้มีคำสั่งไปถึงอิบรอฮีม อิบนุ ยูซุฟพี่ชายของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองอิชบีลียะฮฺให้รวบรวมกำลังทหารเพื่อตีเมืองซะระกุสเฏาะฮฺกลับคืน กองทัพของฝ่ายมุสลิมและคริสเตียนได้รบพุ่งกันที่ตำบล ดัรเกาะฮฺ (Doroca) ซึ่งขึ้นกับเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ การรบพุ่งเป็นไปอย่างดุเดือด เนื่องจากกำลังทหารของมุสลิมน้อยกว่าและขาดกำลังเสริมจึงทำให้มุสลิมประสบความปราชัยอย่างย่อยยับ มีผู้เสียชีวิตในสมรภูมิครั้งนี้เป็นอันมาก
บางรายงานระบุว่า มีจำนวนถึง 20,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักวิชาการคนสำคัญที่พลีชีพในสมรภูมิ อาทิเช่น อบู อะลี อัซซอดะฟีย์, มุฮำหมัด อิบนุ ยะฮฺยา (อิบนุ อัลฟัรรออฺ) กอฎีย์แห่งเมืองอัลมะรียะฮฺ (Almeria) เป็นต้น อิบรอฮีม อิบนุ ยูซุฟได้นำทหารที่เหลือรอดชีวิตกลับสู่นครบะลันซียะฮฺและความปราชัยในสมรภูมิครั้งนี้ทำให้อำนาจและความน่าเกรงขามของกองทัพอัลมุรอบิฏูน ต้องสั่นคลอนและถูกซ้ำเติมด้วยการลุกฮือของอิบนุ ตูมัรต์ ในมอรอคโค ปีฮ.ศ.515
และในปีฮ.ศ.515 อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟได้ข้ามฝั่งมายังอัลอันดะลุสเป็นครั้งที่ 4 เนื่องจากเกิดความไม่สงบในนครโคโดบาฮฺเป็นเวลาถึง 4 ปี และสงบลงด้วยการมาถึงอัลอันดะลุสของอะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟ
เมื่อสูญเสียเมืองซะระกุสเฏาะฮฺแก่พวกคริสเตียนกิชตาละฮฺ (Castile) และอัลฟองซัว อัลมุฮาริบ ได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรดาชาวคริสเตียนที่เป็นพลเมืองในรัฐมุสลิม (อะหฺลุซซิมมะฮฺ) เริ่มวางแผนในการบ่อนทำลายรัฐมุสลิมทั้งๆ ที่พวกคริสเตียนได้รับสิทธิเสรีภาพในทุกด้านอย่างสมบูรณ์ อัลฟองซัวได้ลอบติดต่อกับบรรดาคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในทุกหัวเมืองโดยเตรียมพร้อมในการสนับสนุนกำลังคนและเสบียงตลอดจนการชี้จุดอ่อนของชาวมุสลิมในแต่ละหัวเมือง
อัลฟองซัวจึงนำกองทัพครูเสดออกจากเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) มุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันออกของอัลอันดะลุส ในปีฮ.ศ.519 และเข้าสู่เมืองบะลันซียะฮฺ (Valencia) ในระหว่างเส้นทางการเดินทัพของอัลฟองซัวมีชาวคริสเตียนที่เป็นพลเมืองในรัฐมุสลิมเข้าร่วมในกองทัพเป็นจำนวนถึง 50,000 คน หลังจากนั้นก็นำทัพมุ่งหน้าสู่เมืองดานียะฮฺ (Denia) และเดินทัพผ่านเมืองชาฏิบะฮฺ (Jativa) จนกระทั่งถึงเมืองอัลมะรียะฮฺทางตอนใต้
ทุกเมืองที่กองทัพของอัลฟองซัวผ่านไปต่างก็มีชาวคริสเตียนเข้าร่วมสมทบและนำทางตลอดจนชี้จุดอ่อนของฝ่ายมุสลิม กองทัพได้เคลื่อนถึงเขตตะวันตกของวาดี อาชฺ (Guadix) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฆอรนาเฏาะฮฺ (Granada) ในปีฮ.ศ.520 แต่ทว่าเกิดพายุหิมะและมีฝนตกหนักตลอดจนเกิดโรคระบาดในกองทัพของอัลฟองซัว และชาวมุสลิมได้แต่งกองทัพออกเข้าโจมตีทหารของอัลฟองซัวหลายระลอก ทำให้อัลฟองซัวจำต้องยกเลิกการปิดล้อมและถอยทัพกลับสู่นครโทเลโด โดยมีชาวคริสเตียนที่เคยเป็นพลเมืองในรัฐมุสลิมติดตามไปด้วย 10,000 คนเนื่องจากเกรงว่าจะถูกชาวมุสลิมแก้แค้นในการทรยศของพวกเขา โรคระบาดยังได้ตามไปเล่นงานชาวคริสเตียนในนครโทเลโดอีกด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าชาวคริสเตียนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวมุสลิมในอัลอันดะลุสไม่เคยและไม่มีวันที่จะรู้จักสิ่งใดนอกจากการมีใจสวามิภักดิ์ต่อพวกคริสเตียนด้วยกันเท่านั้น และพวกเขาคือภัยคุกคามที่แท้จริงทุกครั้งที่พวกเขาสบโอกาส ด้วยเหตุนี้อัลกอฎีย์ อบุลวะลีด อิบนุ รุชด์ปู่ของอิบนุ รุชด์จึงข้ามฝั่งไปยังมอรอคโคโดยมีเป้าหมายที่จะเข้าพบอะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟ เพื่อเสนอแนะแก่อะมีร 3 เรื่องคือ
1. ให้เนรเทศบรรดาพลเมืองคริสเตียนที่ทรยศต่อสัญญา (อัซซิมมะฮฺ) ซึ่งเป็นการลงโทษที่เบาที่สุด อะมีร อะลี จึงมีคำสั่งให้เนรเทศพวกเขาเป็นจำนวนมากไปยังมอรอคโคในปี ฮ.ศ.521
2. ให้อะมีร อะลี บัญชาให้สร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันนครหลวงมัรรอกิช และทุกเมืองที่ไม่มีกำแพงเมืองและป้อมปราการ
3. ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ อัลอันดะลุสจำต้องมีผู้ปกครองที่มีความเข้มแข็ง เด็ดขาด และมีสติปัญญา อบุลวะลีดชี้แนะว่า แม่ทัพตะมีมมีบุคลิกไม่เหมาะสมและสมควรปลดออก อะมีร อะลีจึงตอบรับข้อเสนอด้วยการปลดแม่ทัพตะมีม และแต่งตั้งตาชฟีนฺบุตรชายของตนให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอัลมุรอบิฏูนในอัลอันดะลุส
ปีฮ.ศ.523/คศ.1129 อาณาจักรคริสเตียนในช่วงเวลานี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1) อาณาจักรอรากอน (Aragon) มีอัลฟองซัว นักรบเป็นกษัตริย์
2) อาณาจักรลิออง (Leon) และญะลีกียะฮฺ (Galicia) หรือ อาณาจักรกิชตาละฮฺ (Castile, la Nueva) มีอัลฟองซัวที่ 7 (Alfonso Raimundez Vii) และในปีฮ.ศ.523 อัลฟองซัว อันริกีซฺ (Alfonso Enriques) ได้ประกาศแยกตนเป็นอิสระในโปรตุเกส และเรียกอาณาจักรของตนว่า อาณาจักรโปรตุเกส
ในปีฮ.ศ.528/คศ.1134 อัลฟองซัว กษัตริย์อรากอนได้ยกทัพมุ่งหน้าสู่เมืองบะลันซียะฮฺ (Valencia) และสามารถเข้ายึดครองเมืองหน้าด่านบางส่วนได้ เจ้าเมืองบะลันซียะฮฺและมัรซียะฮฺ (Murcia) จึงได้นำทัพออกมาสู้รบกับกองทัพของอัลฟองซัวในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ อิฟรอเฆาะฮฺ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองลาริดะฮฺ (Lerida) มีบางรายงานระบุว่ากองทัพของอัลฟองซัวนักรบมีจำนวนถึง 12,000 คน ในขณะที่ฝ่ายมุสลิมมีกองทัพม้าเพียง 3,000 คนเท่านั้น
การรบพุ่งระหว่าง 2 ฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือด ฝ่ายมุสลิมมีกำลังทหารน้อยกว่าแต่ต่อสู้ด้วยอาวุธแห่งศรัทธา ในที่สุดฝ่ายที่น้อยกว่าก็สามารถเอาชนะฝ่ายที่มีกำลังทหารมากกว่า พวกทหารคริสเตียนแตกพ่ายและทิ้งศพแม่ทัพของพวกเขาเอาไว้ในสมรภูมิ รวมถึงอัลฟองซัวก็ต้องสิ้นชีวิตในสมรภูมิครั้งนี้ ข่าวชัยชนะของชาวมุสลิมในสมรภูมิอิฟรอเฆาะฮฺ ทั้งๆ ที่มีจำนวนทหารน้อยกว่าได้แพร่สะพัดไปทั่วอัลอันดะลุส และถ้าหากกองทัพอัลมุรอบิฏูนจะฉวยโอกาสในการเข้าตีซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) ก็ย่อมไม่มีผู้ใดทัดทานพวกเขาได้แต่ทว่าพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงลิขิตเอาไว้ตามพระประสงค์ของพระองค์ พวกมุรอบิฏูนก็มิได้กระทำการสิ่งใดในเรื่องดังกล่าว
เมื่ออัลฟองซัว อัลมุฮาริบ สิ้นชีวิตในสมรภูมิ “อิฟรอเฆาะฮฺ” อัลฟองซัวที่ 7 (Alfonso Raimundez Vii) ก็ฉวยโอกาสผนวกอาณาจักรอรากอน (Aragon) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกิชตาละฮฺ (Castile) และกลายเป็นผู้ปกครองรัฐคริสเตียนในอัลอันดะลุส โดยขนานนามตนเองว่า “สุลต่าน” แต่ในเอกสารของชาวมุสลิมเรียกเขาว่า “สุลัยฏีน” หมายถึง สุลต่านน้อย
ส่วนโปรตุเกสยังคงตกอยู่ในอำนาจของอัลฟองซัว อันรีกีซฺ (Enriquez) เมื่ออัลฟองซัวที่ 7 รวมอำนาจได้เป็นที่เรียบร้อย ก็แต่งทัพเพื่อเข้าโจมตีเมืองบัฏลียูส (Badajoz) ตาชฟีนฺ อิบนุ อะลี จึงนำทัพมาขัดขวางในสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas) และสามารถสร้างความปราชัยให้แก่พวกคริสเตียนในการศึกครั้งนั้น
ในเดือนซุลฮิจญะฮฺ ปีฮ.ศ.528 ตาชฟีนได้นำกองทัพของตนออกทำศึกกับพวกคริสเตียน กองทัพมุสลิมได้เดินทัพผ่านไปยังเส้นทางอัลบิการฺ ก็ถูกกองทัพของศัตรูลอบเข้าโจมตีในช่วงเวลากลางคืนโดยมิทันตั้งรับ กองทัพมุสลิมเกิดความระส่ำระสาย กองทหารของคริสเตียนก็บุกโจมตีจนถึงกระโจมของอะมีร ตาชฟีนฺซึ่งตั้งรับการโจมตีของฝ่ายศัตรูพร้อมกับทหารม้าเพียง 40 นายเท่านั้น
อะมีร ตาชฟีนฺต่อสู้อย่างกล้าหาญจนกระทั่งดาบในมือของเขาหักจึงใช่โล่ในการต่อสู้กับศัตรู เมื่อทหารที่แตกทัพรู้ถึงการต่อสู้ของแม่ทัพอะมีร ตาชฟีนฺ ก็เริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง ทหารมุสลิมคนหนึ่งก็สามารถปลิดชีพแม่ทัพฝ่ายคริสเตียน ทำให้กองทัพของฝ่ายคริสเตียนต้องเสียขวัญและถูกตีกระหนาบซ้ำจนต้องได้รับความปราชัยในที่สุด
ในปีฮ.ศ.533 อะมีร ตาชฟีนได้กลับสู่มอรอคโคตามคำสั่งของผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายคนโตของอะมีร ตาชฟีนได้สิ้นชีวิตลง อะมีร อะลีจึงได้แต่งตั้งให้ตาชฟีนเป็นรัชทายาทต่อจากตน ครั้นถึงปีฮ.ศ.537/คศ.1143 อะมีร อะลี อิบนุ ยูซุฟ อิบนิ ตาชฟีนฺก็สิ้นชีวิต ตาชฟีนฺผู้เป็นรัชทายาทจึงขึ้นครองอำนาจในอาณาจักรอัลมุรอบิฏูน นักประวัติศาสตร์ระบุว่า อะมีร ตาชฟีนฺเป็นวีรบุรุษผู้กล้า เขาไม่เคยดื่มของมึนเมา ไม่ฟังการขับร้องและดนตรี และไม่เคยหาความสุขด้วยการล่าสัตว์ แต่เป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า เคร่งครัด ชอบถือศีลอดและนมัสการในยามค่ำคืน
การดำรงตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักรของอะมีร ตาชฟีนฺไม่ได้ยาวนานแต่อย่างใด กล่าวคือ เขาเสียชีวิตในปีฮ.ศ.539/คศ.1145 เนื่องจากพลัดตกจากหลังม้าลงสู่ขอบเหวแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน ในปีเดียวกันนี้สถานการณ์ในมอรอคโคเกิดความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากอัลมะฮฺดีย์ อิบนุ ตูมัรตฺได้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่การสถาปนาอาณาจักรของพวกอัลมุวะฮฺฮิดูนในแอฟริกาเหนือ และการสิ้นสุดของอาณาจักรอัลมุรอบิฏูนก็เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
หลังจากอะมีร ตาชฟีนฺเสียชีวิต อิบรอฮีม อิบนุ ตาชฟีนฺบุตรชายก็ได้รับสัตยาบันขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอัลมุรอบิฏูน ขณะมีอายุได้ 16 ปีและเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์ในมอรอคโคกำลังสับสนวุ่นวาย พวกอัลมุวะฮฺฮิดูนได้รวมกำลังทหารของพวกตนเข้ากวาดล้างพวกอัลมุรอบิฏูน และสามารถเข้ายึดครองเมืองฟาสและแผ่อำนาจเข้าครอบครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของมอรอคโค ยกเว้นนครมัรรอกิช นครหลวงของพวกอัลมุรอบิฏูน
ในปีฮ.ศ.540/คศ.1146 ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ พวกคริสเตียนในอัลอันดะลุสได้แต่งทัพเพื่อทำสงครามขับไล่ชาวมุสลิมและอัลมุรอบิฏูนออกจากเขตแดนตะวันออก มีการรบพุ่งครั้งใหญ่ในเขตอัลลัจฺญ์และอัลบะซีฎใกล้ๆ กับเมืองญะลันญาญะฮฺ (Chinchilla) กองทัพฝ่ายมุสลิมได้รับความปราชัยอย่างย่อยยับ และนี่เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของอิบรอฮีมและความเสื่อมอำนาจของอาณาจักรอัลมุรอบิฏูน ในสมรภูมิอัลบะซีฏ (Albacete) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างซัยฟุดเดาละฮฺ อิบนุ ฮูดและกองทัพคริสเตียนทางตอนเหนือ อิบนุ ฮูดถูกสังหารในสมรภูมิครั้งนี้
ภายหลังอำนาจก็ตกอยู่กับอบู มุฮำหมัด อิบนุ อิยาฎซึ่งเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของอิบนุ ฮูดที่สามารถนำทหารที่เหลือกลับสู่บะลันซียะฮฺ (Valencia) อิบนุ อิยาฎได้แผ่อำนาจของตนเหนือเมืองหน้าด่านของบะลันซียะฮฺ เขาอยู่ในอำนาจราว 1 ปีเศษ และเสียชีวิตในการรบกับกองทัพของกิชตาละฮฺ (Castile) มุฮำหมัด อิบนุ สะอีด อิบนิ มัรดะนีชลูกเขยของเขาได้ปกครองบะลันซียะฮฺต่อมา
ในปีฮ.ศ.541/คศ.1147 พวกอัลมุวะฮฺฮิดูนได้ทำการปิดล้อมนครมัรรอกิช นครหลวงของพวกอัลมุรอบิฏูน ตลอดระยะเวลา 9 เดือน พวกอัลมุวะฮฺฮิดูนก็สามารถยึดครองนครมัรรอกิชได้สำเร็จ อะมีร อิบรอฮีมตกเป็นเชลย และพวกอัลมุรอบิฏูนถูกสังหารเป็นอันมาก ต่อมาอะมีร อิบรอฮีมก็ถูกประหารชีวิตหลังจากที่ปกครองได้เพียง 2 ปี อาณาจักรอัลมุรอบิฏูนก็สิ้นสุดลง (ฮ.ศ.462-ฮ.ศ.541) หลังจากมีอำนาจได้ราว 80 ปี
อาณาจักรอัลมุรอบิฏูนได้ถูกสถาปนาขึ้นและดำรงอยู่บนเส้นทางของการเผยแผ่หลักคำสอนของอิสลาม มีบรรดานักปราชญ์ทางศาสนาเป็นผู้ก่อตั้งและควบคุมบริหาร อาณาจักรนี้ปกครองด้วยอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ เป็นอาณาจักรแห่งความดีและการญิฮาด ดังที่อิบนุ อัลคอตีบ (ร.ฮ.) ได้ระบุเอาไว้ว่า การญิฮาดไม่เคยขาดตอนตลอดระยะเวลา 50 ปี สร้างความเป็นปึกแผ่นในมอรอคโคในเบื้องแรก
หลังจากนั้นก็สร้างเอกภาพให้กับอัลอันดะลุส และขจัดความแตกแยก ทำให้ชาวมุสลิมมีศักดิ์ศรี และปราบปรามรัฐอิสระหากพวกอัลมุรอบิฏูนไม่มีความดีอันใดเลยนอกจากชัยชนะอันงดงามในสมรภูมิอัซซัลลาเกาะฮฺ (Sarajas) ก็ย่อมเป็นที่เพียงพอถึงความดีงามของพวกเขา ท่านอบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ นักวิชาการคนสำคัญได้กล่าวถึงคุณลักษณะของพวกอัลมุรอบิฏูนว่า “พวกเขาได้ทำการเรียกร้องสู่สัจธรรม และการช่วยเหลือศาสนา และอาณาจักรของพวกเขาเป็นอาณาจักรที่ดำเนินตามซุนนะฮฺมากที่สุดอาณาจักรหนึ่ง” และพวกเขาได้ทำให้การสูญเสียอัลอันดะลุสล่าช้าออกไปเป็นเวลาถึง 400 ปี (4 ศตวรรษ) ด้วยกัน
สรุปเหตุการณ์สำคัญในสมัยอัลมุรอบิฏูน
ฮ.ศ.485 พลเมืองบะลันซียะฮฺ ลุกฮือภายใต้การนำของกอฎีย์
ฮ.ศ.487 เมืองบะลันซียะฮฺถูกปิดล้อมและเอลซิดบิดพลิ้วต่อชาวเมือง
ฮ.ศ.488 การสร้างความเป็นปึกแผ่นของอัลอันดะลุสโดยยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺ
ฮ.ศ.495 พิชิตเมืองบะลันซียะฮฺ
ฮ.ศ.495 แต่งตั้งอะลี อิบนุ ตาชฟีนฺเป็นรัชทายาท
ฮ.ศ.500 ยูซุฟ อิบนุ ตาชฟีนฺสิ้นชีวิต
ฮ.ศ.501 ชาวมุสลิมได้รับชัยชนะในสมรภูมิอักลีชฺ
ฮ.ศ.512 เมืองซะระกุสเฏาะฮฺยอมแพ้ต่อกองทัพของอัลฟองซัว อัลมุฮาริบ
ฮ.ศ.515 อัลมุรอบิฏูนระส่ำระสายภายหลังการปราชัยในสมรภูมิกอตันดะฮฺ
ฮ.ศ.519 กองทัพครูเสดรุกรานอัลอันดะลุส
ฮ.ศ.528 ชาวมุสลิมได้รับชัยชนะในสมรภูมิอิฟรอเฆาะฮฺ
ฮ.ศ.528 ชาวมุสลิมได้รับชัยชนะในสมรภูมิอัลบุการฺ
ฮ.ศ.537 อะลี อิบนุ ยูซุฟ อิบนิ ตาชฟีนฺสิ้นชีวิต
ฮ.ศ.539 ตาชฟีนฺ อิบนุ อะลีสิ้นชีวิต
ฮ.ศ.540 อิบนุ ฮูดปราชัยในสมรภูมิอัลบะซีฏ
ฮ.ศ.541 สิ้นสุดการปกครองของอาณาจักรอัลมุรอบิฏูนในมอรอคโค
บรรดานักวิชาการคนสำคัญในสมัยอัลมุรอบิฏูน
1. อบูมุฮำหมัด อับดุลลอฮฺ อิบนุ อิบรอฮีม อัลฮิญาซีย์ นักกวี, นักวรรณกรรม และนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ เคยเข้าร่วมในการรบกับพวกคริสเตียน ณ ป้อมตะฮฺซุบ ใกล้กับนครฆอรนาเฏาะฮฺเสียชีวิตในปีฮ.ศ.550
2. อิบนุ บัชฺกะว๊าล ค่อลัฟ อิบนุ อัลดิลมะลิก นักวิชาการอัลหะดีษแห่งอัลอันดะลุส เจ้าของหนังสือตารีค อัลอันดะลุส เกิดในปีฮ.ศ.494 และเสียชีวิตในปีฮ.ศ.587
3. อิบนุ บาญะฮฺปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญในวิชาดาราศาสตร์, คณิตศาสตร์, ปรัชญา, การแพทย์และดนตรี เสียชีวิตที่เมืองฟาสในปีฮ.ศ.533
4. อัลคอซรอญีย์ นักปราชญ์ในด้านแพทย์ศาสตร์
5. อิบนุ กอซฺมาน นักกวีผู้ประพันธ์กวีแบบอัซซะญัล เป็นคนแรก เป็นต้น
พวกอัลมุรอบิฏูนได้ย้ายเมืองหลวงจากนครโทเลโดไปยังนครโคโดบาฮฺ หลังจากนั้นก็ย้ายเมืองหลวงไปยังฆอรนาเฏาะฮฺ ต่อมาภายหลังก็ย้ายกลับไปยังนครโคโดบาฮฺ (Cordoba) อีกครั้ง
การปกครองในสมัยของอัลมุรอบิฏูนเป็นไปอย่างยุติธรรม พวกเขาจะรับซะกาตตามสิทธิของนักรบเพื่อปกป้องศาสนาและหนึ่งในสิบของภาษีที่ดิน (อัลคอรอจญ์) เท่านั้น ในสมัยที่พวกเขาเรืองอำนาจไม่มีกองโจรปล้นสะดมไม่มีพวกลักเล็กขโมยน้อยในอัลอันดะลุส พลเมืองมีความอยู่ดีกินดีและมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการจัดตั้งกองทหารที่จะออกศึกในฤดูร้อนและฤดูหนาว มีการญิฮาดตลอดช่วงเวลา 50 ปี
บรรดากอฎีย์ (ผู้พิพากษา) จะมีอำนาจอิสระในการตัดสินคดีความ บรรดาผู้ปกครองไม่อาจแทรกแซงระบบตุลาการ แต่จะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะด้วยความเต็มใจ ถือกันว่า อาณาจักรอัลมุรอบิฏูนเป็นรัฐมุสลิมที่มีความงดงามในด้านการเมืองการปกครอง การทหารและการส่งเสริมวิทยาการที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม ถึงแม้ว่าจะมีช่วงเวลาในการปกครองที่สั้นก็ตาม