อิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียว?

8. อิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียว แต่อัลลอฮฺคือพระผู้เป็นเจ้าของมนุษยชาติ (หน้า 2 บรรทัดบนสุด)

ทำไมพระเจ้าถึงต้องลงโทษคนต่างศาสนา เช่น ศาสนาพุทธฯ ให้ลงนรกเป็นหมื่นๆแสนๆปี ทั้งที่บางคนมีอายุแค่แค่ 20-30 ปี เป็นคนดี มีจิตใจสูงส่ง ไม่พูดปด ไม่นินทา ไม่ขโมย พูดจาไพเราะ ชอบช่วยเหลือ ฯลฯ (หน้า 2 บรรทัดที่ 20 จากข้างล่าง)


*หากอิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพียงศาสนาเดียวอย่างที่พวกคุณสรุปแล้ว ก็ถามว่าแล้วศาสนาใดเล่าที่เป็นศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพียงศาสนาเดียว? พวกคุณก็อาจจะตอบว่า คือศาสนาของพระเจ้า (ดีนุลลอฮฺ) คือศาสนาแห่งความจริง (ดีนุ้ลหัก) ก็ต้องถามต่อไปว่า แล้วศาสนาของพระเจ้าอันเป็นศาสนาแห่งความจริงนั้นคือศาสนาอะไรเล่า? พวกคุณก็จะตอบว่า ก็คือศาสนาแห่งการยอมตนต่อพระเจ้า!

เราก็ขอถามพวกคุณอีกว่า แล้วศาสนาแห่งการยอมตนต่อพระเจ้านั้น ในอัล-กุรอ่านเรียกเป็นภาษาอาหรับว่าอะไร? คำตอบที่ได้ก็คือ อัล-อิสลาม (الاسلام) นั่นเอง เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงตรัสว่า “แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคือ อัล-อิสลาม” แล้วด้วยเหตุอันใดเล่า? พวกคุณจึงต้องพูดให้สับสนในเรื่องนี้ พูดชัดๆไปเลยมิได้หรือว่าอิสลาม หรือการยอมตนต่อพระเจ้าและปฏิเสธต่อบรรดาฏอฆูตทั้งหลายคือศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพียงศาสนาเดียวเท่านั้น เพราะศาสนาอื่นจากอิสลามล้วนแต่เรียกร้องไปสู่ฏอฆูตทั้งสิ้น

*การใช้สำนวนว่า “อิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียว” ย่อมก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เพราะนั่นแสดงว่า มีศาสนาอื่นๆด้วยที่เป็นศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) นอกเหนือจากศาสนาอิสลาม ความสับสนที่ตามมาจากข้อสรุปที่กำกวมเช่นนี้ คือ ศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) มีมากกว่าหนึ่งศาสนา! ทีนี้ก็ยุ่งเป็นพัลวันเหมือนยุงตีกัน

มิหนำซ้ำพวกคุณก็หนีไม่พ้นจากสิ่งที่พวกคุณพยายามหลีกหนี เพราะการสรุปด้วยประโยคที่ว่า “อิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียว…” ก็ย่อมหมายความว่า อิสลามก็เป็นศาสนาของอัลลอฮฺด้วย แต่ไม่ใช่ศาสนานี้เพียงศาสนาเดียว หากแต่มีศาสนาอื่นๆด้วย! สิ่งที่พวกคุณอ้างว่าได้บรรลุถึงความจริงนั้นก็กลายเป็นความจริงที่ สำหรับอัลลอฮฺแล้วศาสนาของพระองค์มีหลายศาสนามิใช่อิสลามเพียงศาสนาเดียว!


การปฏิเสธว่าศาสนาอิสลามไม่มีในคัมภีร์อัล-กุรอ่านและไม่มีในสมัยของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั่นก็แย่พออยู่แล้ว สิ่งที่แย่หนักเข้าไปเป็นอีกเท่าตัวก็คือ พวกคุณไปรับรองศาสนาอื่นนอกจากศาสนาอิสลามอีกด้วยว่าเป็นศาสนาของอัลลอฮฺ นี่เรียกว่ายิ่งถลำลึกหนักเข้าไปอีก และออกห่างจากสัจธรรมไปแบบสุดกู่เลยทีเดียว

*การให้เหตุผลเพื่อหักล้างว่า “อิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียว” โดยอ้างว่า “แต่อัลลอฮฺเป็นพระเจ้าของมนุษยชาติ” และถูกย้ำในหน้าที่ 11 บรรทัดที่ 17-18 จากด้านล่างอีกว่า “เพราะนี่คือศาสนาแห่งพระเจ้า (ดีนุลลอฮฺ) หรือศาสนาแห่งความจริง (ดีนุลหัก) มิใช่ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮฺเพียงเท่านั้น แต่อัลลอฮฺคือพระเจ้าผู้ทรงเมตตาของมนุษย์ทุกคนทุกประชาชาติ” เป็นการตอกย้ำถึงระบบความคิดของพวกคุณว่ารวนเร สับสน และขัดแย้งกับความจริงจากพระเจ้า

เพราะความจริงจากพระเจ้าก็คือ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ไม่มีคู่ภาคีสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของทุกสรรพสิ่งในสากลโลก เป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ (اله الناس) และศาสนาอิสลามก็คือศาสนาหนึ่งเดียว ณ พระองค์เพราะอิสลามเป็นศาสนาของพระองค์โดยแท้จริง มิใช่ศาสนาที่มนุษย์คิดค้นและตั้งขึ้น เป็นศาสนาแห่งความจริง มิใช่ศาสนาที่แห่งการเท็จเทียมและอุปโลกน์ และเป็นศาสนาหนึ่งเดียวที่บรรดาศาสนทูตทั้งหลายประกาศเรียกร้องผู้คนให้ยอมรับและจำนนตนต่อวิถีของอิสลาม

ข้อสรุปที่ถูกต้องก็คือ อัลลอฮฺคือพระเจ้าของทุกสรรพสิ่งเพียงพระองค์เดียวและอิสลามก็คือศาสนาหนึ่งเดียวของพระองค์ ดังนั้นการอ้างว่าอิสลามมิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺเพียงศาสนาเดียวโดยให้เหตุผลว่าพระองค์อัลลอฮฺเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนทุกประชาชาติ จึงเป็นการนำเอาสิ่งที่ไม่ได้ขัดแย้งกันโดยข้อเท็จจริงและสาระสำคัญมาเป็นเหตุผลทั้งๆ ที่สิ่งนั้นมิใช่เหตุผล เพราะการยอมรับและศรัทธาว่าอัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือพระเจ้าของมนุษยชาตินั่นก็มิได้หมายความว่า อิสลามมิใช่ศาสนาของพระองค์ หรือ เมื่อศรัทธาว่าอิสลามคือศาสนาเดียว ณ พระองค์แล้วจะไปขัดแย้งกับความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งก็หาไม่

ยิ่งไปกว่านั้นอิสลามเสียอีกคือศาสนาเดียวที่เรียกร้องสู่ความเชื่อที่ว่า อัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือพระเจ้าองค์เดียวที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้ การเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นนอกจากพระองค์นั่นคือการตั้งภาคี (ชิรกฺ) การปฏิเสธไม่เชื่อในพระองค์คือ กุฟร์ และพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง มิใช่พระเจ้าเฉพาะกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด (ซึ่งข้อนี้ก็หักล้างความเชื่อในศาสนายิวที่ว่าพระเจ้า (พระเยโฮวาฮฺ) เป็นพระเจ้าของชนชาติอิสราเอลเท่านั้น) พระองค์ไม่มีพระบุตร และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว (ข้อนี้ก็หักล้างความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่อ้างว่านบีอีซา (อ.ล.) หรือพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า หรือความเชื่อแบบตรีเอกานุภาพ ตลอดจนศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์)

*การถามหาเหตุผลว่าทำไมอัลลอฮฺถึงต้องลงโทษคนต่างศาสนา (ที่มิใช่ผู้นับถือศาสนาอิสลาม) ให้ลงนรกทั้งๆที่คนเหล่านั้นก็เป็นคนดีด้วยคุณลักษณะต่างๆที่ยกมาในหน้าที่ 2 นั้นเป็นการตั้งคำถามที่พวกคุณก็ตอบเอาไว้แล้วในข้อเขียนของพวกคุณเอง กล่าวคือ เหตุที่พวกเขาถูกลงโทษเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ยอมตนต่อพระเจ้า ไม่เชื่อในศาสนาของอัลลอฮฺ (ดีนุลลอฮฺ) หรือศาสนาแห่งความจริง (ดีนุลหัก) และพวกเขาเคารพภักดีต่อฏอฆูต กระนั้นความจริงเมื่อผู้ปฏิเสธศรัทธากระทำดีในโลกนี้เขาได้รับการตอบแทนในรูปปัจจัยยังชีพบนโลกนี้ (หน้า 6 บรรทัดที่ 23 นับจากข้างบน)

ในเมื่อพวกคุณถามเอง ตอบเองแล้ว เราก็ไม่ต้องตอบคำถามดังกล่าวแต่อย่างใด สำคัญอยู่ที่ว่า ในบรรทัดที่ 21 หน้าเดียวกันนี้ พวกคุณอ้างหะดีษแล้วก็พลาดใช้คำแปลที่ว่า “โลกหน้า” ปรากฏอยู่ทั้งๆที่พวกคุณอ้างตั้งแต่ต้นๆ ข้อเขียนแล้วว่า ไม่มีคำว่า โลกหน้าหรือโลกใหม่ มีแต่แผ่นดินหน้า ชาติหน้า มิใช่หรือ? เหตุไฉนพวกคุณจึงลืมข้อสรุปความจริงของพวกคุณเสียเล่า!

พวกคุณเคยได้ยินความจริงที่ว่า คนเราเมื่อกล่าวเรื่องมุสาและโกหก เวลาอธิบายเรื่องโกหกก็จะสับสนและขัดแย้งกันเอง ความจริงข้อนี้หาไม่ได้จากสถาบันไหนๆเช่นกัน แต่ความจริงข้อนี้หาได้จากคำพูดและข้อเขียนของพวกคุณเองโดยประจักษ์ชัด!