พระผู้เป็นเจ้าคือ “วิญญาณของเรา”?

4. พระผู้เป็นเจ้าคือ “วิญญาณของเรา” (หน้า 1)

6. การกลับคืนสู่พระเจ้าหรือบรรลุสู่พระเจ้าของจิตวิญญาณนั้นคือจุดหมายที่แท้จริง เหมือนการได้เห็นพระเจ้า (หน้า 1) “…จุดสิ้นสุดของการเดินทางของจิตวิญญาณของทุกคน ล้วนถูกลิขิตไว้แล้วทั้งสิ้น…” (หน้า 7 บรรทัดที่ 8 จากข้างล่าง)

“…การมีอยู่ที่แท้จริงคือการมีอยู่ของพระเจ้า คือ สภาพของจิตวิญญาณ ดั้งเดิม หนึ่งเดียว…” (หน้า 9 บรรทัด 5-6 จากข้างบน)

“…ถึงแม้การะทั้งจิตวิญญาณของเราเองก็มิใช่เป็นของเรา แต่เป็นจิตวิญญาณแท้ดั้งเดิมมาสัมผัส รับรู้รสชาติกับภาพที่สร้างขึ้นในลักษณะที่เป็นเรา ดังนั้นการเป็นและการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงไม่ได้มีอยู่จริงหรือมิได้มีตัวตนอยู่จริง…” (หน้า 9 บรรทัดที่ 13-14 จากข้างบน)

“พระผู้เป็นเจ้าคือวิญญาณของเรา” ทำไมมลาอิกะฮฺถึงยอมสุญูดกราบไหว้ต่ออาดัม ทั้งๆที่ไม่มีสิ่งใดควรแก่การกราบไหว้นอกจากพระเจ้าหรือพระเจ้าบังคับให้มลาอิกะฮฺฝ่าฝืน (ไม่สามารถขัดคำสั่งซึ่งเป็นคุณลักษณะของทูตสวรรค์) คำตอบที่ประจักษ์ชัดคือ มลาอิกะฮฺไม่ได้กราบต่ออาดัม แต่กราบต่อ (วิญญาณ) พระเจ้าที่อยู่ในอาดัม…” (หน้า 10 บรรทัดที่ 7-10 จากข้างบน)


*ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า “วิญญาณ” (อัร-รูหฺ) เป็นสิ่งถูกสร้าง (มัคลูเกาะฮฺ) ใช่หรือไม่? ถ้าพวกคุณตอบว่า: ใช่ วิญญาณเป็นสิ่งถูกสร้าง! หากตอบอย่างนี้ก็ย่อมเป็นการหักล้างคำพูดของพวกคุณเองที่ว่า “พระผู้เป็นเจ้าคือวิญญาณของเรา” เพราะวิญญาณของเราเป็นสิ่งถูกสร้าง แต่พระเจ้าพระองค์เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งรวมถึงวิญญาณด้วย เมื่อพระเจ้ามิใช่สิ่งที่ถูกสร้าง พระเจ้าก็ย่อมมิใช่วิญญาณของเรา! แต่ถ้าพวกคุณตอบว่า “ไม่ใช่! วิญญาณของเรามิได้ถูกสร้างเพราะวิญญาณของเราคือพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าคือวิญญาณของเรา”

นั่นก็แสดงว่าพวกคุณกำลังยืนยันว่ามนุษย์คือ พวกเรามี 2 ภาค ภาคหนึ่งคือพระเจ้า (ลาฮูต) เพราะในตัวเรามีพระเจ้าคือวิญญาณ อีกภาคหนึ่งความเป็นมนุษย์ (นาสูต) คือเรือนร่างนั่นเอง มนุษย์หรืออาดัมจึงเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นบ่าวของพระเจ้า ในเวลาเดียวกันตราบใดที่มนุษย์ยังมีวิญญาณอยู่ในเรือนร่าง และเมื่อพวกคุณยืนยันเช่นนี้ก็ย่อมไม่มีการประณามใดๆสำหรับพวกนะศอรอที่เคารพสักการะต่อนบีอีซา (อ.ล.) หรือในการที่พวกเขากล่าวว่า อีซา (อ.ล.) คือพระบุตรหรือคือพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพราะพวกนะศอรอก็ย่อมอ้างได้เช่นเดียวกับที่พวกคุณอ้าง

กล่าวคือ “อีซา (อ.ล.) บังเกิดขึ้นจากวิญญาณของพระเจ้า และวิญญาณของพระองค์อยู่ในอีซา (อ.ล.) เมื่อวิญญาณคือพระเจ้า อีซา (อ.ล.) ก็ย่อมคือพระเจ้า และพวกเรา (นะศอรอ) ไม่ได้เคารพสักการะต่ออีซา (อ.ล.) แต่เคารพสักการะต่อวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในอีซา (อ.ล.)” มิหนำซ้ำถ้าวิญญาณของเราคือพระเจ้า ไม่เว้นแม้แต่คนชั่วหรือฏอฆูตทั้งหลายที่มีวิญญาณ ทั้งหมดคือพระเจ้า คนที่กราบไหว้มนุษย์ด้วยกันก็ย่อมอ้างได้เช่นเดียวกับที่พวกคุณอ้าง เพราะพวกเขาไม่ได้ก้มลงกราบต่อพระสงฆ์หรือมนุษย์ด้วยกัน แต่พวกเขาก้มกราบต่อวิญญาณในพระสงฆ์หรือมนุษย์เหล่านั้นต่างหาก  ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ก้มลงกราบก็เป็นพระเจ้าเพราะมีวิญญาณซึ่งเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวเขา เรื่องก็กลายเป็นว่าพระเจ้าก้มลงกราบต่อพระเจ้าด้วยกัน

นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณอ้างว่าเป็นความจริงเป็นคำตอบที่ประจักษ์ชัด ซึ่งก็คงจริงอย่างที่พวกคุณว่านั่นแหล่ะ คือประจักษ์ชัดและเป็นความจริงที่ว่าพวกคุณกำลังหลงออกจากแนวทางที่ถูกต้องและเป็นการหลงที่ห่างไกลความจริงแบบสุดกู่เลยทีเดียวเพราะสิ่งที่พวกคุณกล่าวอ้างได้ทำลายหลักความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวลงจนหมดสิ้น พระองค์มิใช่พระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียวอีกต่อไปตามความเชื่อของพวกคุณเพราะ พระองค์คือวิญญาณ และวิญญาณนั้นอยู่ในพวกเราทุกคน

เมื่อพวกเราทุกคนต่างก็มีวิญญาณซึ่งเป็นพระเจ้า แล้วจะมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียวได้อย่างไร? พวกคุณหลงทางจากสัจธรรมและความถูกต้อง หลงจากหุบเหวหนึ่งแล้วกระโจนลงไปในหุบเหวแห่งความหลงผิดที่ลึกยิ่งกว่าไปทุกขณะ พวกคุณหนีจากความสับสนคลุมเครือหนึ่งไปสู่สิ่งที่สับสนและดำมืดที่หนักข้อเข้าไปอีก นี่คือความจริงจากพระเจ้าที่พวกคุณไม่รู้!

ในหน้าที่ 3 บรรทัดที่ 18 นับจากข้างล่าง พวกคุณเขียนว่า “ไม่มีใครคู่ควรที่จะกราบไหว้นอกจากพระเจ้าองค์เดียว แต่ทำไมมลาอิกะฮฺถึงต้องสุญูด (ความจริงมลาอิกะฮฺสุญูดต่อวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในอาดัม)”

*อาดัม (อ.ล.) ถูกสร้างจากดินแล้วพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ทรงเป่าวิญญาณเข้าสู่เรือนร่างที่มาจากดินของอาดัม (อ.ล.)  อาดัม (อ.ล.) จึงมีชีวิตประกอบด้วยเรือนร่างและวิญญาณ เมื่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีบัญชาให้บรรดามลาอิกะฮฺซึ่งขณะนั้นมีอิบลีสปรากฏอยู่ด้วยทำการสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) นั่นหมายความว่าเป็นการบัญชาให้สุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) ซึ่งประกอบด้วยเรือนร่างและวิญญาณ เหตุนี้ ตัวบทในคัมภีร์อัลกุรอ่านจึงระบุชัดว่า (اسْجُدُوْا لِآدَمَ) “พวกเจ้าจงสุญูดต่ออาดัม” อัล-กุรอ่านมิได้ระบุว่า “พวกเจ้าจงสุญูดต่อวิญญาณของอาดัม” (اسْجُدُوْا لِرُوْحِ آدَمَ)

และมิได้ระบุว่า “พวกเจ้าจงสุญูดต่อวิญญาณของข้าในอาดัม” (اسْجُدُوْا لِرُوْحِيْ فِيْ آدَمَ) หรือ “พวกเจ้าจงสุญูดต่ออาดัมซึ่งในตัวเขามีวิญญาณของข้า” (اسْجُدُوْا لِآدَمَ الَّذِيْ فِيْهِ رُوْحِيْ) แต่สิ่งที่อัล-กุรอ่านระบุอย่างชัดเจน คือ “พวกเจ้าจงสุญูดต่ออาดัม” (اسْجُدُوْا لِآدَمَ) ซึ่งคำบัญชานี้มีขึ้นหลังจากอาดัมมีชีวิตด้วยการเป่าวิญญาณเข้าไปในเรือนร่างของอาดัม(อ.ล.) แล้ว ซึ่งหมายถึงตัวของอาดัมที่ประกอบด้วยเรือนร่างและวิญญาณ หาใช่เฉพาะวิญญาณเพียงอย่างเดียวไม่

ประเด็นที่อัล-กุรอ่านระบุชัดเจนก็คือ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีบัญชาให้บรรดามลาอีกะฮฺสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) ซึ่งการสุญูดนี้ตามหลักภาษาหมายถึงการก้มคำนับต่อผู้ที่ถูกสุญูดเป็นการให้เกียรติ เป็นการแสดงความนอบน้อมและยอมรับต่อผู้ที่ถูกก้มสุญูด และการสุญูดก็คือการวางหน้าผากลงบนพื้น

สาระสำคัญจึงอยู่ที่การสุญูดด้วยลักษณะท่าทางดังกล่าวสามารถกระทำได้หรือไม่ ในเมื่อไม่อนุญาตให้ก้มสุญูดต่อสิ่งอื่นนอกจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) คำตอบก็คือ การก้มสุญูดที่มีต่ออาดัม (อ.ล.) เป็นบัญชาของพระองค์อัลลอฮฺ (อ.ล.) เมื่อพระองค์ทรงมีบัญชาก็จำต้องปฏิบัติตาม และการก้มสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) นี้เป็นการแสดงความคาราวะ เป็นการให้เกียรติต่ออาดัม (อ.ล.) ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานเกียรติหลายประการให้แก่อาดัม (อ.ล.)

กล่าวคือ การเป็นเคาะลีฟะฮฺของพระองค์ การสอนให้อาดัม (อ.ล.) รู้ในสิ่งที่บรรดามลาอิกะฮฺไม่รู้ การเลือกสรรอาดัม (อ.ล.) ให้เป็นปฐมบิดาของมนุษยชาติ เป็นต้น การสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) จึงไม่ใช่การสุญูดในเชิงของการอิบาดะฮฺ เช่น การสุญูดในละหมาด จึงต้องแยกแยะการสุญูดที่ว่านี้ออกเป็น 2 ลักษณะ หนึ่งคือการสุญูดต่ออัลลอฮฺในเชิงอิบาดะฮฺ ลักษณะการสุญูดเช่นนี้จะกระทำไม่ได้นอกจากเฉพาะพระองค์เท่านั้น สองก็คือการสุญูดในเชิงคาราวะและให้เกียรติ ดังเช่นการสุญูดของบรรดามลาอิกะฮฺที่มีต่ออาดัม และการที่นบียะอฺกู๊บ (อ.ล.) และบรรดาบุตรของท่านได้สุญูดต่อนบียูสุฟ (อ.ล.) เป็นต้น

สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ การสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) เป็นคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่มีต่อบรรดามลาอิกะฮฺรวมถึงอิบลีส ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในขณะนั้นด้วย บรรดามลาอิกะฮฺทั้งหมดปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ แต่อิบลีสฝ่าฝืนและขัดคำสั่งของพระองค์แล้วอ้างว่าตนมีความประเสริฐหรือมีเกียรติมากกว่าอาดัม (อ.ล.) เมื่ออิบลีสสำคัญตนผิดว่าตนมีเกียรติมากกว่าอาดัม (อ.ล.) ด้วยการอ้างตรรกะที่ผิดพลาด มันจึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เรื่องการสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.)

การสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) จึงมิใช่เป็นการสุญูดในเชิงอิบาดะฮฺต่ออาดัม (อ.ล.) เพราะการสุญูดต่ออาดัม (อ.ล.) เป็นเพียงการสุญูดในเชิงของการให้เกียรติและยอมรับถึงเกียรติที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานแก่อาดัม (อ.ล.) การอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) จึงอยู่ที่การเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์นั่นเอง ความผิดของอิบลีสจึงอยู่ที่การฝ่าฝืนและแข็งขืนต่อคำสั่งของพระองค์ซึ่งแสดงว่าอิบลีสไม่ยอมอิบาดะฮฺต่อพระองค์ มันจึงถูกอัปเปหิจากพระเมตตาของพระองค์ตลอดกาล. และนี่คือความจริงจากพระเจ้า

ส่วนสิ่งที่พวกคุณกล่าวอ้างว่าเป็นความจริงนั้น แท้ที่จริงมันคือการดลใจที่มาจากอิบลีสนั่นเอง เพราะมันสามารถดึงพวกคุณไปเป็นพลพรรคของมันแล้วด้วยการกล่าวอ้างว่า พระผู้เป็นเจ้าคือวิญญาณของพวกเรา โดยเข้าใจผิดว่า มลาอิกะฮฺสญูดต่อวิญญาณในตัวของอาดัม เพราะวิญญาณในตัวของอาดัมคือพระเจ้า สุบหานัลลอฮฺ อัมมายะศิฟูน.

*พระดำรัสที่ว่า (وَنفخْتُ فِيْهِ مِنْ رُوْحِيْ) อายะฮฺที่ 29 สูเราะฮฺ อัล-หัจญร์ ซึ่งมีใจความว่า: และข้าได้เป่า (ในเรือนร่างที่สมส่วนของ) อาดัมจากวิญญาณของข้า” และพระดำรัสที่ว่า  (وَنفخْنَا فِيْهَا مِنْ رُوْحِنَا) อายะฮฺที่ 91 สูเราะฮฺ อัล-อัมบิยาอฺ ซึ่งมีใจความว่า: “ดังนั้น เราจึงเป่า (เข้าทรวงอก) ในตัวนาง (มัรยัม) จากวิญญาณของเรา”

ซึ่งอายะฮฺนี้เป็นเรื่องการกำเนิดของนบีอีซา (อ.ล.) ทั้งสองอายะฮฺนี้พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงระบุว่าสิ่งที่พระองค์เป่าเข้าไปในเรือนร่างที่สมส่วนจากดินของอาดัม (อ.ล.) และทรวงอกของพระนางมัรยัม (อ.ล.) นั้นเป็น วิญญาณของพระองค์ หมายถึง วิญญาณที่ถูกเป่านั้นมาจากพระองค์ ไม่ได้หมายความว่า วิญญาณนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากซ๊าตฺของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) แต่อย่างใด เพราะสำนวนการอ้างอิงในความเป็นเจ้าของ (อัล-อิฏอฟะฮฺ) เกี่ยวกับเรื่องนี้มี 2 ลักษณะ คือ

1) สิ่งที่ถูกอ้างอิงยังพระองค์เป็นคุณลักษณะ เช่น ความรู้ มหิทธานุภาพ การดำรัส การได้ยิน และการมองเห็น เป็นต้น กรณีนี้เป็นการอ้างคุณลักษณะ (ศิฟะฮฺ) ไปยังพระองค์ผู้ถูกให้คุณลักษณะ ความรู้ของพระองค์ มหิทธานุภาพของพระองค์ จึงเป็นคุณลักษณะ (ศิฟะฮฺ) สำหรับพระองค์

2) การอ้างสิ่งถูกกสร้างไปยังพระองค์ เช่น บ้าน อูฐ บ่าว ศาสนทูต และวิญญาณ เป็นต้น ดังปรากฏในคัมภีร์อัล-กุรอ่านซึ่งระบุว่า อูฐที่เป็นมัวะอฺญิซาตฺของนบีศอลิหฺ (อ.ล.) นั้นคือ อูฐของอัลลอฮฺ (อ.ล.) (ناقة الله) และคำว่า บ้านของข้า (بيتي) กรณีนี้เป็นการอ้าง (อิฏอฟะฮฺ) สิ่งที่ถูกกสร้าง (มัคลูก) ไปยังพระองค์อัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้างซึ่งบ่งถึงความประเสริฐ และความมีเกียรติของสิ่งที่ถูกอ้างถึงพระองค์นั้น และเรียกการอ้างอิงในทำนองนี้ว่า “อัล-อิฎอฟะฮฺ ลิต ตัชรีฟฺ” (الإضافة للتشريف)

เมื่อแยกแยะการอ้างทั้ง 2 ลักษณะนี้ก็จะได้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า วิญญาณเป็นสิ่งถูกสร้าง และสิ่งถูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ วิญญาณจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพราะพระองค์ทรงสร้างวิญญาณ การอ้างวิญญาณที่ถูกเป่าเข้าสู่เรือนร่างที่สมส่วนของนบีอาดัม (อ.ล.) และวิญญาณที่เป่าเข้าสู่ทรวงอกของพระนางมัรยัม (อ.ล.) อันเป็นวิญญาณที่เป็นเหตุให้นบีอีซา (อ.ล.) มีชีวิตขึ้นโดยไม่มีบิดา จึงเป็นการอ้างเพื่อแสดงถึงความประเสริฐอันเป็นกรณีพิเศษของวิญญาณที่ถูกเป่านั้นเอง

*หากวิญญาณในตัวเราคือ พระเจ้า หรือพระเจ้าคือวิญญาณของเราอย่างที่พวกคุณกล่าวอ้าง และการมีอยู่ที่แท้จริงคือการมีอยู่ของพระเจ้า คือสภาพของวิญญาณ ดั้งเดิม หนึ่งเดียว (หน้า 9 บรรทัดที่ 5 จากข้างบน) นั่นก็แสดงว่าวิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงสภาพจากความดั้งเดิม หนึ่งเดียวไปสู่ความไม่ดั้งเดิม ไม่เที่ยงแท้ และความเป็นพหุสภาวะ คือมิใช่หนึ่งเดียวอีกต่อไป ซึ่งนี่เป็นลักษณะหรือเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่ถูกสร้าง (มัคลูก)

แต่พระเจ้าเป็นพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ พระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์มาแต่เดิมแล้ว (อะซะลี่ยฺ) ไม่เพิ่มและไม่ลดในความสมบูรณ์อันเป็นที่สุดนั้น ความเปลี่ยนแปลงจึงไม่มีในพระองค์ แต่วิญญาณมีความเปลี่ยนแปลง พระองค์จึงมิใช่วิญญาณอย่างแน่นอน

หากพวกคุณยืนกรานว่า พระเจ้าคือสภาพของวิญญาณดั้งเดิม หนึ่งเดียว แต่วิญญาณในตัวเรามิใช่สิ่งดั้งเดิม มิใช่หนึ่งเดียว ก็ย่อมได้คำตอบว่า วิญญาณในตัวเรามิใช่พระเจ้า เพราะมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกับสภาพของวิญญาณดั้งเดิม หนึ่งเดียวที่เป็นพระเจ้า แต่ถ้าหากพวกคุณอ้างว่า พระเจ้าคือวิญญาณของเรา และวิญญาณของเรานี่แหละคือสิ่งดั้งเดิม หนึ่งเดียว

นั่นก็แสดงว่า วิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงสภาพอยู่ดี เพราะวิญญาณที่เป็นพระเจ้าตามคำอ้างของพวกคุณมีมาแต่เดิม และเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดพวกเรา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นและถูกกำหนดด้วยกาลเวลา พวกเรามิได้มีมาแต่เดิม วิญญาณของเราก็ย่อมมีจุดเริ่มต้นในตัวเราอยู่ดี ซึ่งการมีจุดเริ่มต้นนี่เอง คือการเปลี่ยนแปลงสภาพ! คือ การเปลี่ยนจากความไม่มีแล้วก็มีขึ้น ปรากฏขึ้น!

และตามคำอธิบายของพวกคุณ สวรรค์และการตอบแทน เป็นความรู้สึก (รับรู้รส สงบ สุข อิ่มเอิบฯลฯ ทางจิตวิญญาณ… สวรรค์ที่แท้จริงคือ การได้รับรู้รสทางจิตวิญญาณ (หน้า 4 บรรทัดที่ 6-7 จากข้างบน) และจุดสิ้นสุดของการเดินทางของจิตวิญญาณของทุกคน ล้วนถูกลิขิตไว้แล้วทั้งสิ้น (หน้า 7 บรรทัดที่ 8 จากข้างล่าง) และการกลับคืน (บรรลุสู่) พระเจ้าของจิตวิญญาณ นั้นคือเป้าหมาย (สวรรค์) ที่แท้จริง (หน้า 10 บรรทัดที่ 4 จากข้างล่าง)

คำอธิบายทั้งหมดต่างก็ชี้ชัดว่า วิญญาณหรือจิตวิญญาณมีการเริ่มต้น ถูกลิขิต มีการเดินทางและมีจุดสิ้นสุด ซึ่งเป็นการยืนยันของพวกคุณเองว่า วิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงสภาพจากสภาวะหนึ่งสู่อีกสภาวะ แสดงว่าวิญญาณมีลักษณะและคุณสมบัติของสิ่งที่ถูกสร้าง (มัคลูก) วิญญาณจึงมิใช่พระเจ้าหรือพระเจ้าย่อมมิใช่วิญญาณของเราอยู่ดี! เพราะพวกคุณสรุปประเด็นที่ 6 ว่าการกลับคืนสู่พระเจ้าหรือบรรลุสู่พระเจ้าของจิตวิญญาณนั่นคือจุดหมายที่แท้จริง เหมือนการได้เห็นพระเจ้า (หน้า 1) ประโยคนี้ก็ตอกย้ำเช่นกันว่า จิตวิญญาณมิใช่พระเจ้าหรือพระเจ้ามิใช่วิญญาณของเรา เพราะถ้าพระเจ้าคือวิญญาณของเราตามที่พวกคุณกล่าวอ้างแล้วไซร้ เหตุไฉนวิญญาณจึงต้องกลับคืนสู่พระเจ้าหรือบรรลุสู่พระเจ้าอีกเล่า!