ความเป็นเราและสรรพสิ่งทั้งหลายมีอยู่จริง คือ ภาคี ชั้นละเอียดที่สุด

การถือว่า ความเป็นเราและสรรพสิ่งทั้งหลายมีอยู่จริง คือ ภาคี ชั้นละเอียดที่สุด (หน้า 9/12)


*ถ้าเป็นอย่างที่พวกคุณกล่าวอ้าง การเชือ่ว่ามีโลกอยู่จริง มีสวรรค์ มีนรก มีมะลาอิกะฮฺ มีหมู่ญินและมนุษย์อยู่จริง มีการตอบแทน มีสภาวะทางจิตวิญญาณและมีการตอบแทนหรือการลงโทษอยู่จริงก็ล้วนแต่เป็นการตั้งภาคี ชั้นละเอียดที่สุด

การเชื่อว่าพระเจ้าคือวิญญาณในตัวเราก็ย่อมไม่ใช่เรื่องจริง การเชื่อว่ามีอาดัม มีมะลาอิกะฮฺที่สุหญูดต่ออาดัมก็ไม่ใช่เรื่องจริง พวกคุณก็ไม่มีอยู่จริง พวกเราก็ไม่มีอยู่จริง ชั้นฟ้าและผืนแผ่นดินก็ไม่มีอยู่จริง เพราะพวกคุณกล่าวว่า การมีอยู่ของสรรพสิ่งคือ ภาพที่ถูกสร้างขึ้น ดังภาพในนิมิต…ดังนั้นการเป็นและการมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงไม่ได้มีอยู่จริง หรือไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง นั่นคือการบรรลุ หลุดพ้น จากการตั้งภาคีโดยหมดสิ้น…“การถือว่า ความเป็นเราและสรรพสิ่งทั้งหลายมีอยู่จริง คือภาคี ชั้นละเอียดที่สุด” (หน้า 9/12)

เมื่อมนุษย์ไม่มีอยู่จริง ไม่มีตัวตนอยู่จริง แล้วความรู้สึกรับรู้ต่อภาพที่ปรากฏขึ้นจะมีอยู่จริงได้อย่างไร และถ้าหากภาพที่ปรากฏขึ้นไม่มีอยู่จริง การสัมผัสก็ย่อมไม่มีอยู่จริง เพราะการสัมผัสนั้นก็ไม่มีอยู่จริง เมื่อจิตวิญญาณไม่มีอยู่จริง การบรรลุหลุดพ้นก็ย่อมไม่มีอยู่จริง เพราะถ้าไปถือว่าเรื่องราวทั้งหมดมีอยู่จริงนั่นก็จะกลายเป็นภาคีชั้นละเอียดที่สุดอย่างที่พวกคุณกล่าวอ้าง!

เรื่องที่เป็นจริงก็คือ พวกคุณไม่แยกแยะระหว่างความมีอยู่ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) –อัล-วุญูด- กับความมีอยู่ของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง การมีอยู่ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือมีด้วยพระองค์เอง ไม่มีจุดเริ่มต้นสำหรับการมีของพระองค์ และไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับการมีของพระองค์

ส่วนสรรพสิ่งที่ถูกสร้างนั้นมีอยู่เช่นกัน แต่เป็นการให้มีขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะถ้าสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงบันดาลให้มีขึ้น ไม่มีอยู่จริงแล้วอะไรคือความหมายของ (فَيَكُوْنُ) ที่เป็นผลมาจากคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (كُنْ) “จงเป็นขึ้น” หากถือตามคำอธิบายที่ซับซ้อนจนสับสนของพวกคุณก็จะกลายเป็นว่า เมื่อพระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อสิ่งใดแล้ว พระองค์เพียงตรัสว่า “จงเป็น” แล้วมันก็ไม่เป็นขึ้น คือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง เพราะในความเชื่อของพวกคุณ ไม่มีสิ่งใดมีอยู่จริงหรือเกิดขึ้นเลยนั่นเอง


แต่สำหรับความเชื่อที่ถูกต้องก็คือ สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นมีอยู่จริง แต่การมีอยู่จริงของสรรพสิ่งทั้งหลายมีจุดเริ่มต้นและมีจุดสิ้นสุด หรือบางสิ่งมีจุดเริ่มต้นแต่ไม่มีที่สิ้นสุด (เช่น สวรรค์ นรก เป็นต้น) การมีอยู่ของสรรพสิ่งเหล่านั้นจะมีจุดเริ่มต้นทั้งสิ้น และการมีนั้นก็มีขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วยพระบัญชาว่า (كُنْ) “จงเป็นขึ้น”

ข้อสรุปที่ไม่ซับซ้อนและไม่ยากต่อความเข้าใจก็คือ พระเจ้านั้นมีอยู่จริง การมีอยู่ของพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการมีด้วยพระองค์เอง และสรรพสิ่งทั้งหลายนอกจากพระองค์ก็มีอยู่จริง แต่การมีของมันเป็นการมีขึ้นด้วยการบันดาลสร้างของพระองค์พระผู้ทรงสร้าง การมีของสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ได้มีขึ้นด้วยตัวของมันเอง แต่ที่มันมีขึ้นเพราะมันถูกสร้างให้มีขึ้นและมันก็ถูกกำหนดลิขิตให้เป็นไปตามความรู้และพระประสงค์ของพระองค์ การมีอยู่ของพระผู้ทรงสร้างกับการมีอยู่ของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างจึงแตกต่างและไม่เหมือนกัน

เมื่อเรายืนยันว่ามีสรรพสิ่งอยู่จริงแต่การมีอยู่จริงของมันไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ไม่เป็นนิรันดร์ คือมีจุดเริ่มต้น มีการเปลี่ยนแปลง และมีการสิ้นสุด การยืนยันเช่นนี้เป็นการยืนยันที่สอดคล้องกับความจริงแล้วมันจะกลายเป็นการตั้งภาคีได้อย่างไร?