กองขยะที่หน้าบ้านหลังใหญ่

الحمد لله رب العالمين والصلاة والسلام على أشرف الا نبياء والمرسلين نبينا محمد المبعوث رحمة للعالمين وعلى آله الطاهرين وصحابته أجمعين أمابعد ؛
ในบรรดาศาสนาใหญ่ของโลกและกลุ่มศาสนิกชนที่ถูกพุ่งเป้าในการโจมตีและกล่าวหามากที่สุดทั้งในยุคอดีตและยุคปัจจุบัน คงเป็นศาสนาอื่นไปไม่ได้นอกจากศาสนาอิสลาม และศาสนิกชนผู้ถือในศาสนาอิสลามซึ่งเรียกว่า “มุสลิม” และดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลา 15 ศตวรรษ นับแต่การอุบัติขึ้นของศาสนาอิสลามในคาบสมุทรอาระเบียจวบจนปัจจุบัน ศาสนาอิสลามและมุสลิม ตกเป็นจำเลยของสังคมมนุษย์ที่อยู่ร่วมสมัยพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนั้นมาโดยตลอด

 

ยิ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคของการสื่อสารและข้อมูลที่ไร้พรมแดน การโจมตีหลักคำสอนของศาสนาอิสลามและบุคคลสำคัญในทางศาสนาอิสลามโดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และวิถีชีวิตของชาวมุสลิมตลอดจนสถานการณ์ในโลกมุสลิมและดินแดนที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นชนกลุ่มน้อย มิได้ลดระดับความรุนแรงลงแม้แต่น้อย ยิ่งหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรด เซนเตอร์ ในมหานครนิวยอร์คด้วยแล้ว ความรู้สึกต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมทวีความรุนแรงและแพร่สะพัดไปทั่ว ทั้งในฝั่งของอเมริกาและยุโรป

 

ความชิงชังที่มีต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมถูกแสดงออกและสื่อให้สังคมโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ผ่านการเดินขบวนและชูป้ายประณาม การสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดูหมิ่นศาสนทูตของศาสนาอิสลาม การแต่งนิยายประโลมโลกอย่าง ซาตานิคเวิอเซ็ส ของซัลมาน รุชดียฺ การเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนท่านศาสนทูตของอิสลาม การขู่เผาคัมภีร์อัล-กุรอ่านต่อหน้าสาธารณชน

 

การนำเสนอข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวตะวันตกเกี่ยวกับการสู้รบในตะวันออกกลาง ซึ่งมักจะมาพร้อมกับคำว่า กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง กลุ่มมุสลิมคลั่งศาสนา ขบวนการก่อการร้าย กลุ่มอักษะปิศาจ และกองโจรมุสลิม การออกหนังสือ การเขียนบทความ และการทำเว็ปไซต์เพื่อโจมตีศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม ตลอดจนการแจ้งเตือนและปลุกระดมศาสนิกชนที่ต่างศาสนาให้ระวังภัยการคุกคามและอันตรายของชาวมุสลิม ไม่เว้นแม้กระทั่งการแต่งเพลงของศิลปินที่มีเนื้อหาและคำร้องสบถและด่าทอศาสนาอิสลาม พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม) และวิถีชีวิตของชาวมุสลิม เช่นการประกอบศาสนกิจ ชีวิตครอบครัวว่าเป็นความเลวทรามและสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนต่างศาสนา

 

ทั้งหมดพุ่งเป้าและประดังเข้าใส่ต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมอย่างไม่หยุดหย่อนและเกิดขึ้นซ้ำซาก สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอย่างดาษดื่นในโลกไซเบอร์และสังคมออนไลน์จนดูเหมือนว่าอิสลามคือซาตาน และมุสลิมคือภัยที่ทุกคนต้องตื่นตัวและร่วมกันต่อต้าน ความรอมชอบและการรู้จักสงวนท่าทีในการแสดงความเห็นเรื่องความเชื่อทางศาสนาถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีกฎเกณฑ์และขอบเขตในเรื่องนี้อีกแล้ว ใครนึกจะแสดงความคิดเห็น สบถ และด่าทอด้วยคำหยาบคายเพียงใดเป็นเรื่องที่เปิดกว้างและมีอิสระโดยไม่ต้องอ้อมค้อม

 

ทุกคนสามารถจะเสาะหาคำใดๆ ก็ได้เพื่อด่าทอและเหยียดหยามศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยความสะใจ ถ้อยความในเว็บบอร์ดที่เข้ามาติติงและแสดงความคิดเห็นที่ค้านกับข้อความที่หยามเหยียดต่ออิสลามและมุสลิมไม่ได้รับความสนใจใดๆ ไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าระห่ำและการไร้สติของกลุ่มคนที่กักขฬะและใช้ถ้อยคำหยาบคาย

 

มิหนำซ้ำอาจจะถูกตอกกลับและถูกรุมทึ้งจนไม่เป็นชิ้นดีจากแนวร่วมที่เกลียดชังอิสลามและมุสลิม จนในที่สุดคนที่ไม่เห็นด้วยกับความหยาบคายของแนวร่วมก็ต้องสลัดตัวออกมาจากกระดานเว็บบอร์ดที่โสโครกนั้น เพราะไร้ประโยชน์ที่จะหยุดยั้งคนพวกนั้นและเปลืองตัวโดยใช่เหตุ เข้าทำนองเอาพิมเสนแลกกับเกลือที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

 

ในขณะที่สถานการณ์ของศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมเลวร้ายลงทุกขณะ ความมีอคติและการสร้างความเกลียดชังต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมก็แพร่สะพัดออกไปมากขึ้นทุกวัน การทำซ้ำ การตอกย้ำถูกกระทำอย่างต่อเนื่องจนตกผลึกอยู่ในห้วงความคิดของผู้คนต่างศาสนิกว่าอิสลามเป็นสิ่งน่ารังเกียจ

 

อิสลามสอนให้ฆ่าคน ฆ่าคนนอกศาสนาแล้วจะได้ไปสวรรค์ มุสลิมคือพวกชอบความรุนแรงใจแคบและเป็นพวกเห็นแก่ได้ หากเจองูกับเจอพวกอิสลามให้ตีพวกอิสลามก่อน เพราะพวกอิสลามเป็นอสรพิษที่เลี้ยงไม่เชื่อง เนรคุณแผ่นดิน ไม่รักชาติ และบ่อนทำลาย พวกอิสลามกดขี่ข่มเหงผู้หญิงเพศแม่

 

มักมากในกามารมณ์ มีเมียหลายคนและไม่รับผิดชอบเรื่องทำมาหากิน เอาแต่เข้าสุเหร่า ปล่อยให้เมียหาเลี้ยง พวกอิสลามใจร้าย โหดเหี้ยม ฆ่าวัวฆ่าควาย กินเนื้อสัตว์ ไม่มีใจเมตตาต่อสัตว์ หมาก็ไม่เว้น ไล่ตีและวางยาเบื่ออย่างเลือดเย็น พวกอิสลามฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ จึงไม่แปลกที่พวกนี้จะฆ่าคนและตัดคอคนต่างศาสนา แล้วก็สบถต่ออิสลามว่าศาสนาอะไร? สอนให้ฆ่าคน!แล้วก็ล้างสมองว่าจะได้ขึ้นสวรรค์!!

 

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้เกลียดชังอิสลามและมุสลิมแสดงออกมาในการใช้ถ้อยคำหรือปักใจเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นแล้วก็ใช้ทฤษฎี “เหมารวม” ทุกครั้งที่มีภาพข่าวหรือเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือข่าวต่างประเทศ ความคิดที่ตกผลึกอยู่ในจิตใจของผู้เกลียดชังอิสลามและมุสลิมก็จะสะท้อนแสงและรังสีของมันออกมาอย่างรุ่มร้อนเหมือนไฟสุมขอนแล้วก็ระเบิดมันออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

 

ในขณะที่พวกเขากล่าวหาและโจมตีว่ามุสลิมล้างสมองให้เกลียดคนต่างศาสนา พวกเขาก็ลืมไปว่าตัวพวกเขาเองก็ถูกล้างสมองให้จงเกลียดจงชังอิสลามและมุสลิมจนเข้ากระดูกดำไปแล้วเช่นกัน ในขณะที่พวกเขากล่าวประณามคนมุสลิมว่าใจแคบและเลวสิ้นดี พวกเขาก็ลืมเสียสนิทไปแล้วในขณะนั้นว่า ความใจแคบและการมองผู้อื่นด้วยความมีอคติอย่างสุดโต่งนั้นมันกำลังครอบงำจิตใจของเขาอย่างตีบตันและฝังแน่นจนยากที่จะปลดเปลื้อง

 

ในขณะที่พวกเขากล่าวหาว่ามุสลิมกดขี่ทางเพศ และมักมากในกามารมณ์ พวกเขาก็ลืมคิดไปว่าความเป็นจริงในสังคมของบ้านเมืองนี้ว่าเป็นเช่นใด ทั้งซ่อง สถานบริการเริงรมย์ การค้าประเวณี การทำแท้ง การข่มขืน การกระทำชำเรา การค้ามนุษย์ซึ่งเป็นเพศแม่ การแพร่สะพัดของสื่อลามก การทำร้ายเพศที่อ่อนแอ และความรุนแรงในครอบครัวที่มูลนิธิเด็กและสตรีต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งหมดเกือบจะไม่ปรากฏในสังคมของมุสลิม ใช่ว่าไม่มีแต่มันน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับสภาพความเป็นจริงของคนเหล่านั้น

 

ปัญหาเด็กจรจัด เด็กบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะพ่อเมาเหล้าและซ้อมแม่ ปัญหาคนชราที่ถูกลูกทอดทิ้ง ปัญหาอาชญากรรมที่ฆ่ากันรายวันซึ่งรวมจำนวนคนที่สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บอาจจะมากกว่ากรณีการสูญเสียของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้ทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมกันมากกว่าหลายเท่าเสียอีก มิหนำซ้ำคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ของสามจังหวัดนั้นก็เป็นมุสลิมเองอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง และมีจำนวนมิใช่น้อยที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

 

ทฤษฎีเหมารวมของคนที่เกลียดชังอิสลามและมุสลิมเป็นทฤษฎีที่ไม่เป็นธรรม เพราะในบ้านนี้เมืองนี้มีชาวมุสลิมอีกเป็นจำนวนมากนับล้านคนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ และบางส่วนในอีสานที่พวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตปกติและคลุกคลีอยู่กับคนต่างศาสนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็นั่นแหล่ะ เมื่อเกลียดกันเสียแล้ว ก็ย่อมไม่มีทางดีไปได้ คนที่จงเกลียดจงชังและใช้ทฤษฎีเหมารวมก็ไม่วายที่จะนำเอาเรื่องการประกอบศาสนกิจ

 

เช่นการอะซาน เอามากล่าวว่าเสียๆ หายๆ  เช่น เอาไปเปรียบกับเสียงร้องของสัตว์หน้าขนบางชนิด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เสียงอะซานจากมัสญิดจะมีการส่งเสียงออกไปในละแวกใกล้เคียงกับมัสญิด2-3 นาทีต่อครั้ง รวมกันแล้ววันหนึ่ง 5 ครั้ง ก็ราว 15 นาที ไม่เกิน 20 นาทีแล้วก็สงบลง แต่ถ้ามีเสียงตามสายจากวัดใกล้เคียงวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยสำหรับการทำวัตรเช้าและวัตรเย็น รวมแล้วเผลอๆ อาจจะนานกว่าเสียงอะซานไปไหนๆ

 

นี่ยังไม่รวมเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณเวลามีมหรสพในช่วงวันหยุดยาวที่รู้กัน คนส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้วัดหรือมัสญิด ซึ่งอยู่มาแต่เดิมและเป็นคนพื้นที่แทบจะไม่มีปัญหาในเรื่องเสียงในการประกอบศาสนกิจทั้งฝั่งวัดและมัสญิด เพราะถือเป็นเรื่องศาสนาที่ต้องให้เกียรติกันและยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา แต่คนที่รับไม่ได้กับเสียงที่ว่านี้และกร่นด่าในเนื้อเพลงว่า “เห่าหอน” ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนพื้นที่แต่เข้ามาอยู่ภายหลัง มิหนำซ้ำวัดก็ไม่เข้า สุเหร่าก็ไม่ไป และชอบกรอกเพลงแร็บเพลงร๊อคเข้ารูหูตนเองทั้งวี่ทั้งวัน หรือไม่ก็เปิดเครื่องเสียงรบกวนชาวบ้านข้างเคียง จนเกิดความระอาใจไปตามๆ กัน เพราะหูหนวกและใจบอด จึงนึกไม่ออกว่าใครกันเป็นพวกที่ชอบเห่าหอน!

 

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง หากจะเขียนคำด่าให้เจ็บแสบก็คงทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ก็นั่นแหล่ะ คนย่อมไม่ด่าสัตว์หน้าขนเพราะคุยกันไม่รู้เรื่องฉันใด ด่าคนพวกนี้ให้เจ็บแสบเพียงใด ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจภาษาคนอยู่ดี เขาถึงบอกว่า “หมาเห่าอย่าเห่าตอบ หมาก็คือหมาอยู่วันยังค่ำ” เนื้อความตอนหนึ่งของบทเพลงที่คนพวกนี้แต่งขึ้นเพื่อด่าชาวมุสลิมว่า “ชิงหมาเกิด” นั้นก็คงไม่แปลก เพราะมุสลิมเกิดมาเป็นคน และชิงตัดหน้าพวกหมาเหล่านั้นซึ่งไม่ทันที่จะเกิดเป็นคน พวกนั้นจึงยังคงเป็นหมาอยู่เหมือนเดิม

 

หมาก็คือหมา คนก็คือคน ต่อให้หมาร้องเพลงและเล่นดนตรีได้เก่งเพียงใด ก็คงเป็นไปได้เพียงแค่หมา ส่วนคนที่เกิดเป็นคน ถึงแม้จะทำเสียงเห่าหอนเลียนเสียงหมาได้เหมือนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็ยังเป็นคนอยู่ดี คนด้วยกันไม่เรียกคนที่ทำเสียงเลียนแบบสัตว์ว่าเป็นสัตว์ แต่เรียกว่าคนฉันใด สัตว์ที่เลียนเสียงคนได้ ร้องเพลงได้ ก็ย่อมไม่ถูกเรียกว่าคน แต่เรียกว่าสัตว์ฉันนั้น

 

หลายคนอาจจะคิดว่า ทัศนคติและมุมมองของคนที่โจมตีศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมเป็นเรื่องไร้สาระ ที่เรามิควรให้ค่าหรือให้ราคา เพราะเป็นเหมือนขยะ เป็นปฏิกูลที่เราไม่ควรเกลือกกลั้วด้วย คิดอย่างนี้ก็ดีเพราะดูเหมือนว่าไม่คิดอะไร แต่ถ้าให้คิดดีๆ ก็จะเห็นว่ามันไม่ดีอย่างที่คิด เพราะถึงแม้เราจะไม่เห็นค่าไม่ให้ราคา และมองว่าไร้สาระ แต่ก็มีคนอีกมิใช่น้อยที่ให้ราคาและเห็นว่าขยะพวกนี้มีค่า

 

 อย่าลืมว่าทุกวันนี้ ขยะมีค่าและมีราคา แม้แต่เศษสวะก็มีค่าขึ้นอยู่กับว่าใครจะเห็นค่าของมันเท่านั้น ทัศนคติแบบขยะ และความคิดแบบเศษสวะก็เช่นกัน มีคนเป็นจำนวนมิใช่น้อยที่เห็นด้วยและยอมรับเอาทัศนคติแบบขยะ และความคิดสวะๆ แบบนั้น เพราะชอบและเห็นว่ามันเป็นของดี มิใช่ของเสีย แล้วก็เก็บสะสมมันจนกระทั่งสมองของพวกเขากลายเป็นบ่อทิ้งขยะและพร้อมที่จะส่งกลิ่นเหม็นให้ตะลบอบอวนได้ทุกเมื่อเมื่อใครก็ตามที่พวกมีสมองเป็นบ่อทิ้งขยะไม่สบอารมณ์เฉียดเข้าไปใกล้แล้ว ขยะและปฏิกูลของเสียและสร้างภาวะเป็นพิษฉันใด ทัศนคติแบบขยะและความคิดอ่านของผู้คนที่สะสมและเสพมันให้กลายเป็นมลภาวะเป็นพิษในสังคมได้เช่นกัน

 

แน่นอนคนที่ถูกเพื่อนบ้านที่มักง่ายและเอาเปรียบนำขยะมาสุมอยู่หน้าบ้านของตนคงทำใจลำบากที่จะปล่อยขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นเอาไว้ที่หน้าบ้านของตนโดยไม่คิดจะจัดการกับกองขยะเหล่านั้นหรือปล่อยให้เพื่อนบ้านที่มักง่ายเอาเปรียบและสร้างความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป เพราะถ้าปล่อยเอาไว้เช่นนั้น ไม่นานพื้นที่หน้าบ้านของเขาก็จะกลายเป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นที่ทิ้งขยะสาธารณะที่ใครๆ คิดจะนำอะไรมาทิ้งก็ย่อมสามารถกระทำได้ แล้วในที่สุดบ้านของเขาก็จะถูกเรียกว่า “บ้านขยะ” ไปโดยปริยาย

 

ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่เป็นรูปธรรมว่า ศาสนาอิสลามและภาพลักษณ์ของมุสลิมก็เป็นเหมือนบ้านหลังนั้นที่อาจจะร่มรื่นและสวยงามด้วยไม้ประดับ มีความสง่างามและน่าอยู่อาศัย คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นรู้ดีว่าบ้านหลังนี้คือ บ้านแห่งความสุขและความร่มเย็น แต่แล้วคนนอกบ้านซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันคิดย่ามใจนำเอาขยะและปฏิกูลมากองทิ้งเอาไว้ที่หน้าบ้านหลังนี้จะด้วยความไม่รู้หรือจงใจก็ตาม คนที่อยู่ในบ้านอาจจะยังไม่รู้เพราะอยู่แต่ในบ้านของตัว มารู้อีกทีก็เป็นเพราะได้กลิ่นโชยเข้ามาในบ้านหรือหรืออาจจะมีคนนอกบ้านมาตะโกนบอก

 

เมื่อรู้แล้วว่ามีกองขยะถูกนำมากองสุมอยู่หน้าบ้าน คนในบ้านจะทำอย่างไร ซึ่งตรงนี้แหล่ะสำคัญมาก หากอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็คงต้องทนสูดดมกลิ่นของกองขยะนั้นเรื่อยไปจนกว่าจะมีรถขยะของเทศบาลมาจัดการเคลียร์กองขยะนั้นออกไปแต่ถ้าคิดว่าจะจัดการเองก็ต้องเหนื่อยซ้ำซากเพราะเดี๋ยวเพื่อนบ้านตัวแสบก็จะแอบเอาขยะมาวางที่หน้าบ้านอีก หรือว่าจะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งด้วยการนำเอาขยะและปฏิกูลไปกองสุมอยู่หน้าประตูบ้านของเพื่อนบ้านตัวแสบ ทีนี้ก็จะเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพื่อนบ้านตัวแสบอาจจะออกมาหน้าบ้านและกร่นด่าคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วก็ยัดเยียดข้อหาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

 

คนที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็จะทึกทักเอาได้ว่า คนบ้านนี้นิสัยไม่ดีและประณามให้เสียหายโดยมีหลักฐานฟ้องอยู่โทนโท่ ในที่สุดคนในบ้านทั้งหมดก็ตกเป็นจำเลยไปโดยท้วนหน้า บ้านหลังใหญ่ที่งามสง่าซึ่งไม่รู้เห็นอะไรด้วยก็พลอยถูกประณามและถูกชี้นิ้วพร้อมกับพูดว่า “บ้านหลังนี้ไม่มีดีอะไรเลย เพราะคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้เป็นคนอันธพาล สร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนบ้าน”

 

บ้านหลังใหญ่อาจจะยังคงตั้งตระหง่านและงดงามอยู่เช่นเดิม และสวยงามอยู่เสมอสำหรับคนที่อยู่ในบ้านและคนที่รู้จักเป็นอย่างดีกับคนในบ้าน รวมถึงคนที่พบเห็นโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนในปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ภาพลักษณ์ที่สวยงามนี้อาจจะเป็นสิ่งที่น่าอัปลักษณ์และถูกดูแคลนสำหรับเพื่อนบ้านที่เป็นต้นเรื่องและผู้คนที่หลงเชื่อกับคำเท็จของเพื่อนบ้านตัวแสบคนนั้น บ้านหลังนั้นก็คือ อิสลาม คนในบ้านหลังนั้นก็คือ มุสลิม เพื่อนบ้านตัวแสบและพวกที่ชอบเชื่อคนง่ายและหูเบาก็คือ ผู้ที่กล่าวหาและโจมตีศาสนาอิสลามและมุสลิม

 

กองขยะที่เป็นเครื่องมือในการสร้างเรื่องบาดหมางก็คือ ความคิดที่เป็นอคติและการชอบใช้ทฤษฎีเหมารวม กลิ่นที่โชยออกมาและส่งกลิ่นเหม็นรบกวนก็คือ การสำแดงความเน่าเฟะของจิตใจผ่านถ้อยคำที่หยาบคาย สถุน และกักขฬะ การเข้ามาร่วมแจมของพวกบ้องตื้นในการแสดงความคิดเห็นยอมรับและสนับสนุนคำกล่าวหาและโจมตีของเพื่อนบ้านตัวแสบก็คือ พวกที่มีความเกลียดชังหรือมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับคนมุสลิมมาก่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

 

เมื่อพวกที่มีทัศนคติแบบขยะ มีความคิดสวะๆ  ทำการออกโรงโจมตีศาสนาอิสลามและมุสลิม จะด้วยการเขียนหนังสือ การสร้างเว็ปไซต์ การจัดรายการวิทยุ การแต่งเพลงและขับร้อง ตลอดจนการสร้างภาพยนตร์และเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียน คนพวกนี้ก็จะเห็นดีเห็นงามและเป็นแนวร่วมไปด้วย ซึ่งมีทั้งพวกที่จ้องหาโอกาสและรอคอยคนเปิดฉากอยู่เท่านั้น กับอีกพวกหนึ่งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องจริงคืออะไร แต่เชื่อคนง่ายและมักชอบเรื่องประเภทเฮโลสาระพาและรักการปาร์ตี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ขอมีเอี่ยวกับเขาด้วย

 

การที่คนในบ้านหลังนั้นเลือกใช้วิธีไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจ ไม่รับรู้ต่อกองขยะที่หน้าบ้านของตนนั่นเป็นการเปรียบเปรยถึงท่าทีของคนมุสลิมบางส่วนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ถึงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าบ้านตนก็วางเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ถึงแม้ว่ากลิ่นเหม็นของกองขยะนั้นจะรุนแรงเพียงใด คนมุสลิมกลุ่มนี้ก็จะบอกว่า “สีทนได้” อยู่เพียงแค่นั้น การที่คนในบ้านได้ยินเสียงตะโกนมาจากนอกบ้านว่ามีขยะอยู่หน้าบ้าน แต่รู้แล้วก็ยังไม่มีเวลาจัดการกับกองขยะนั้น เพราะมัวสาละวนวุ่นวายอยู่กับงานในบ้านของตน

 

นานวันเข้าขยะที่หน้าบ้านก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงยิ่งขึ้น เพื่อนบ้านตัวแสบก็ยิ่งได้ใจ เอาขยะมาสุมเอาไว้ทุกครั้งที่อยากจะทำเช่นนั้น กว่าที่คนในบ้านจะออกมาจัดการก็กลายเป็นว่า ที่หน้าบ้านของตนเป็นที่ทิ้งขยะสาธารณะไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคนทั่วไปเขาเข้าใจเช่นนั้น เรื่องนี้ก็เปรียบได้กับคนมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทั้งคนที่นั่งเก้าอี้อยู่ในองค์กรระดับสูงของสังคมมุสลิมกับคนที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีผ่านดาวเทียม

 

เรื่องของเรื่องก็คือว่า คนที่นั่งเก้าอี้อยู่ในองค์กรระดับสูงยังคงสาละวนอยู่กับงานบ้านของตน งานบ้านของพวกเขาก็คือ วิ่งหาตำแหน่ง หาเสื้อครุยและเข็มประดับอก ยกระดับตัวเองด้วยการล๊อบบี้หาพรรคพวก แบ่งสันปันส่วนเค้กชิ้นโต เค้กที่ว่านี้มีรูปทรงขนมเปียกปูน มีทั้งรสหวาน รสคาว สารพันชนิด ว่าง่ายๆ งานบ้านสำหรับคนพวกนี้ก็คือ เล่นเก้าอี้ดนตรีสลับกับการเข้าครัวเพื่อทำอาหารฮาลาลมารับประทานกันในห้องนั่นเล่น

 

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบเป็นดาราหน้ากล้อง ส่วนนี้ก็ผสมปนเปกันไปทั้งนักทำกิจกรรม นักสังคมสงเคราะห์ นักโฆษณาทั้งขายตรงและเฟรนไชด์ ในขณะที่บางส่วนก็นำเสนอสูตรเด็ดแก่พ่อบ้านแม่ครัวที่เป็นแฟนคลับจนติดกันงอมแงม คนกลุ่มนี้โดยรวมแล้วมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันดูแลบ้านหลังใหญ่ให้สวยงามและน่าอยู่สำหรับทุกคนในบ้าน ต่างกันตรงที่วิธีการและสไตล์การนำเสนอ และที่สำคัญในบ้านหลังใหญ่มีห้องหับอยู่หลายห้อง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ในแต่ละห้องจะมีผู้คนอาศัยอยู่ในห้องของตน มีสไตล์การตกแต่งห้องที่ต่างกัน แล้วแต่มุมมองและความชอบ

 

กระนั้นก็มีพื้นที่ใช้สอยร่วมกันภายใต้ชายคาและขอบเขตของบ้านหลังใหญ่ บ้านหลังใหญ่ก็คือ อิสลาม ห้องหับในบ้านหลังใหญ่ก็คือ ขอบเขตทางความคิด ความเชื่อ และความเข้าใจของมุสลิมแต่ละกลุ่ม พื้นที่ใช้สอยร่วมกันก็คือ มัสญิดและสังคมมุสลิมโดยรวม ครั้นเมื่อมาพบปะกันในพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางก็ย่อมต้องมีเรื่องให้คุยกัน เรื่องที่คุยกันก็ล้วนแต่เป็นเรื่องภายในบ้านหลังใหญ่ ถ้าคุยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยก็ดีไป แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ยึดมั่นในความเห็นของตนเป็นที่ตั้ง เรื่องที่คุยกันในตอนแรกก็กลายเป็นการถกเถียง โต้คารมกันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน

 

ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าบ้านหลังใหญ่นี้ต้องคงสภาพเอาไว้เหมือนเดิมทุกประการ เพราะเจ้าของบ้านออกแบบและสร้างมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ห้ามต่อเติมและดัดแปลง ห้องทุกห้องในบ้านต้องเป็นเหมือนกันหมด คนในห้องจะตกแต่งตามอำเภอใจไม่ได้และให้ถือเอาห้องของตนเป็นห้องต้นแบบเท่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็โต้เถียงว่า เจ้าของบ้านออกแบบและสร้างบ้านหลังนี้มาสมบูรณ์แล้วก็จริงแต่เจ้าของบ้านก็ให้หลักการรวมๆ แก่ผู้อยู่อาศัยว่า คนที่อยู่ในแต่ละห้องมีสิทธิที่จะจัดห้องหับของตนได้ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบกับโครงสร้างหลักของบ้าน สิ่งที่เราตกแต่งและประดับห้องของเราจึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะเข้าอยู่ภายใต้หลักการที่เจ้าของบ้านกำหนดเอาไว้

 

แล้วต่างฝ่ายก็ยังคงถกเถียงเรื่องในบ้านหลังใหญ่นี้อย่างไม่รู้จบสิ้น โดยไม่ได้สนใจกับกองขยะที่กองสุมอยู่หน้าบ้านว่ากำลังส่งกลิ่นเข้ามาเป็นระยะๆ  ซึ่งทุกคนในบ้านรับรู้ถึงกลิ่นเหม็นนั้นแต่ก็ยังคงเพลิดเพลินอยู่กับการถกเถียงที่มีหัวหน้าห้องและคนส่งเสียงเชียร์ฝ่ายของตนกันอย่างครื้นเครง

 

เรื่องนี้ก็เปรียบได้กับ “สังคมมุสลิม” ที่มีกลุ่มคณะต่างๆ แบ่งขั้วแบ่งความคิด ถกเถียงเรื่องเดิมๆ ที่เกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อหลักคำสอนและบัญญัติของศาสนา แต่เดิมเคยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน แต่ละห้องแยกสัดส่วนกันเป็นกิจจะลักษณะก็จริง แต่ก็รู้จักสงวนท่าทีไม่ก้าวก่ายกันในเรื่องของห้องอื่น สังคมมุสลิมในสมัยก่อนเป็นอย่างนั้น แล้วต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยการพูดคุยและรับรู้ถึงความคิดเห็นที่ต่างออกไป มีการถกเถียงกันถึงความน่าจะเป็นของห้องแต่ละห้องซึ่งก็คือแนวทางของแต่ละกลุ่ม แต่ละคณะ ในบางประเด็นก็ยอมรับและเห็นชอบที่จะปรับปรุงและแก้ไข แต่บางประเด็นก็หยุมหยิมจนเหลือทนทำให้เกิดการตอบโต้กันไปมา

 

ห้องโน้นนำเอาประเด็นของห้องนี้มาวิจารณ์ ห้องนี้ก็เลยไม่พอใจและยกโต๊ะออกมาวางที่สนามหญ้าของบ้านแล้วก็แถลงจุดยืนของตน คนที่เห็นด้วยกับคำแถลงและจุดยืนนั้นก็เข้าร่วมเป็นพวก อีกฝ่ายหนึ่งก็เลยปรับกลยุทธ์ด้วยการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดและถ่ายทอดความคิดเห็นของตนผ่านจอโทรทัศน์ คนที่อยู่ตามห้องต่างๆ เห็นว่าเจ้าโทรทัศน์วงจรปิดนี้เข้าท่าดี ก็เลยพ่วงสายและต่อระบบเข้าไปในห้องของตน แล้วก็เปิดดูทุกวี่ทุกวัน

 

แรกๆ ก็รำคาญใจเพราะรับไม่ค่อยได้กับความเห็นของห้องที่เป็นสถานีแม่ แต่พอฟังไปฟังมาก็ชักคล้อยตามและเห็นดีเห็นงามไปด้วย จนกระทั่งบางคนก็ย้ายห้องไปเข้าร่วมด้วย ฝ่ายห้องที่ตั้งโต๊ะอยู่ที่สนามหญ้าอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหลบแดดหลบฝนหนีเข้าห้องของตนแล้วก็ทำได้แต่รอว่าสักวันหนึ่งห้องของตนจะมีโทรทัศน์วงจรปิดกับเขาบ้าง แต่ก็ได้แค่รอแล้วก็รอ

 

กอปรกับหัวหน้าห้องไม่ค่อยจะสบาย เจ็บอ็อดๆ แอ็ดๆ  และพวกที่ห้อมล้อมก็เลี้ยงไข้ไปวันๆ  ปล่อยให้คนในห้องที่มีโทรทัศน์วงจรปิดแผ่ขยายมุมมองและความคิดเห็นที่มีต่อบ้านหลังใหญ่มากขึ้นตามลำดับ ทั้งหมดคือการเปรียบเปรยสภาพของสังคมมุสลิมในเวลานี้ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในบ้านหลังนั้น

 

เนื่องจากขยะที่กองสุมอยู่หน้าบ้านส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงมากขึ้น เพราะเพื่อนบ้านตัวแสบยังคงไม่ลดราวาศอก แต่นับวันก็ยิ่งเหิมเกริมและย่ามใจ คนที่อยู่ในบ้านบางคนจึงทนไม่ได้อีกต่อไป แต่ก็มีแนวร่วมไม่มากที่จะขันอาสาจัดการกับกองขยะนั้น กระนั้นเขาก็พยายามที่จะดำเนินการในเรื่องนี้เท่าที่พอจะทำได้ จึงนำป้ายไปปักไว้ที่หน้าบ้านว่า “บ้านนี้เป็นบ้านส่วนบุคคล ไม่ใช่ที่ทิ้งขยะสาธารณะ”

 

แต่เนื่องจากป้ายไม่ใหญ่พอ ตัวหนังสือที่เขียนกำกับไว้ก็เล็กเกินไป พวกมักง่ายกับเพื่อนบ้านตัวแสบก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้นำขยะมากองสุมเอาไว้เมื่อสบโอกาส บางทีจับได้คาหนังคาเขา พวกมักง่ายก็ทำทีขอโทษขอโพยว่าไม่รู้จริงๆ คราวหน้าจะไม่ทำอีก แต่พอคนในบ้านเผลอ คนพวกนี้ก็หวนกลับมาทำอีก กรณีเช่นนี้เปรียบได้กับการดำเนินการของกลุ่มคนมุสลิมหรือองค์กรบางส่วนที่ทำจดหมายหรือหนังสือประท้วงการกระทำของพวกที่ชอบกล่าวหาโจมตีทั้งศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม

 

แต่ก็นั่นแหล่ะ จดหมายหรือกระดาษเพียงแผ่นเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับป้ายเล็กๆ ที่ปักไว้หน้าบ้านซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เห็น หรือเห็นไม่ถนัด หรืออาจจะเห็นแต่ทำเป็นอ่านไม่ออก เว็ปไซต์ของเราและเว็ปไซต์อื่นๆ ที่มีการเคลื่อนไหวในด้านนี้ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ก็เข้าอยู่ในกรณีเปรียบเปรยข้อนี้เช่นกัน

 

ในขณะเดียวกันก็มีคนในบ้านหลังใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมมักง่ายของเพื่อนบ้าน เพราะมาทำให้เกิดความมัวหมองกับสภาพของบริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่ จึงตัดสินใจรวบรวมคนที่เห็นด้วยว่าถึงเวลาที่จะต้องแสดงพลังกันเสียที จึงพากันยกขบวนออกจากบ้านและไปยืนส่งเสียงประท้วงที่หน้าบ้านของเพื่อนบ้านตัวแสบ คนที่ผ่านไปมาตรงบริเวณนี้ก็เห็นเหตุการณ์ ก็มีทั้งที่ไม่สนใจได้แค่หันมองดูแล้วก็ผ่านไป บางคนก็ไม่สบอารมณ์เพราะกีดขวางเส้นทาง ในขณะที่คนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงก็อาจจะเปิดประตูบ้านของตนแล้วชะเง้อมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงมีเสียงดังอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์เช่นนั้น

 

บางคนก็นำเอามือถือมาถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้แล้วก็กลับเข้าบ้านไป เพื่อนบ้านตัวแสบก็มุดหัวอยู่ในบ้านไม่กล้าออกมาเผชิญหน้า เพราะสุ่มเสี่ยงว่าอาจจะกระทบกระทั่งกัน ยกขบวนมาส่งเสียงอยู่ได้ไม่นาน คนกลุ่มนี้ก็พากันเลิกขบวนเดินกลับเข้าบ้าน ผ่านกองขยะที่กองสุมอยู่หน้าบ้านโดยผ่านมันไปเฉยๆ  ขยะก็ยังคงกองสุมอยู่เช่นนั้น

 

อยู่ต่อมาฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำจากกองขยะหน้าบ้านไหลเจิ่งนองและส่งกลิ่นรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้คนในบ้านหลังใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งพากันฝ่าสายฝนออกมาที่หน้าบ้านและช่วยกันหยิบถุงขยะคนละไม้คนละมือ แล้วก็นำถุงขยะนั้นไปวางกองสุมอยู่หน้าบ้านเพื่อนบ้านตัวแสบและรวมถึงบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นด้วย การกระทำของคนในบ้านกลุ่มนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ลุกลามออกไป ไม่ใช่เฉพาะกับเพื่อนบ้านตัวแสบแต่ยังรวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

 

ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์จึงร่วมกันประณามการกระทำของคนในบ้านหลังนั้น แล้วก็เห็นจริงตามข่าวที่แพร่ออกไปว่า คนบ้านนี้เป็นพวกอันธพาล ชอบสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทุกคนที่เห็นจึงปักใจเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง อ่านถึงตรงนี้คงจะนึกสภาพออกว่าผู้เขียนเปรียบกับเรื่องอะไร?

 

ขยะที่ทุกคนในบ้านเพิกเฉยไม่คิดจะจัดการมันในตอนแรกเพราะมัวสาละวนอยู่กับเรื่องในบ้าน ท้ายที่สุดแล้วปัญหาที่อยู่นอกบ้านก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนในบ้านต้องเผชิญกับมันทุกคนและดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เสียด้วย หากสังคมมุสลิมยังคงสาละวนอยู่กับเรื่องของตัวเองที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องหยุมหยิมที่มิใช่สาระสำคัญของศาสนา

 

แล้วก็นำเรื่องที่ว่าหยุมหยิมนั้นมาเป็นสาระสำคัญโดยเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสะสางให้เบ็ดเสร็จเสียก่อน (ซึ่งไม่มีทางที่จะทำให้เสร็จสิ้นได้เลย เพราะการมองต่างมุม การมีทัศนะต่างกันเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ การใช้ความพยายามที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นที่เด็ดขาดและเห็นตรงกันทั้งหมดเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์) แล้วเมื่อใดเล่าที่เรื่องสาละวนแบบนั้นจะสิ้นสุดลง ผ่านมานับพันปี มันก็ยังสาละวนอยู่เช่นนั้น หากสังคมมุสลิมยังคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ก็คงต้องรับกลิ่นเหม็นจากกองขยะที่สุมอยู่ต่อไป

 

(والله ولي التوفيق)