16.มโนคติในเชิงลบของอัต-ตีญานียฺที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพของศาสนาอิสลามและภาพลักษณ์โดยรวม

อัต-ตีญานียฺเขียนว่า “มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮฺ! ข้าพเจ้าเกือบจะไม่เชื่อว่าสิ่งที่ข้พเจ้ากำลังอ่านอยู่นั้นเป็นความสัจจริง เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้นำพาเหล่าเศาะหาบะฮฺไปถึงขั้นนี้เชียวหรือในการปฏิบัติที่มีต่อคำสั่งของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และหากว่าเรื่องนี้ถูกรายงานจากทางของฝ่ายชีอะฮฺเพียงอย่างเดียวข้าพเจ้าก็ย่อมถือว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวถึงเป็นการใส่ร้ายต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺผู้ทรงเกียรติ แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีความถูกต้องและเป็นที่รู้กันถึงขั้นที่นักวิชาการหะดีษจากฝ่ายอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺทั้งหมดได้ถ่ายทอดเอาไว้เช่นกัน และด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กำหนดให้ตัวเองเชื่อถือต่อสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงกัน

 

ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นว่าตัวเองเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดนอกเสียจากเป็นผู่ที่ยอมรับและสับสน อะไรเล่าที่ข้าพเจ้าหวังว่าข้าพเจ้าจะกล่าวถึง? และด้วยสิ่งใดเล่าที่ข้าพเจ้าจะแก้ต่างให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ร่วม 20 ปี นับจากการแต่งตั้งจวบจนถึงวันอัล-หุดัยบียะฮฺ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ได้ประจักษ์เห็นบรรดาปาฏิหาริย์และรัศมีแห่งความเป็นนบี และอัล-กุรอานก็ได้สอนให้พวกเขารู้ทั้งยามค่ำคืนและกลางวันว่าพวกเขาจะแสดงความมีมารยาทกับท่านนบีอย่างไร? และจะพูดกับท่านอย่างไร? จนกระทั่งพระองค์อัลลอฮฺได้ปรามพวกเขาว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะตกต่ำ หากพวกเขาส่งเสียงดังเกินกว่าเสียงของท่าน” (ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 95)

 

วิภาษ

1) มาตรฐานที่อัต-ตีญานียฺอ้างว่าตัวเองจะเคร่งครัดเฉพาะสิ่งที่ฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺและฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺรายงานสอดคล้องตรงกันเท่านั้น ฟังดูดีและน่าจะสมเหตุสมผลในเบื้องต้น ทว่ามุมมองของแต่ละฝ่ายที่มีต่อเหตุการณ์เดียวกันนั้นก็ใช่ว่าจำเป็นจะต้องเห็นสอดคล้องกันไปด้วยทั้งสองฝ่าย เพราะถึงอย่างไรฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺก็มิได้มีมุมมองและทัศนคติต่อเหตุการณ์เดียวกันนั้นอย่างที่อัต-ตีญานียฺและชีอะฮฺ อิมามียะฮฺมีมุมมองอยู่ดี

 

ในขณะที่ฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺมองในแง่ดีและอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุผลรองรับ แต่ฝ่ายชีอะฮฺก็จะมองและอธิบายปรากฏการณ์เดียวกันนั้นในแง่ร้ายและมีอคติอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีการปักใจเชื่อในมุมมองและทัศนคติของตนที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺในเชิงลบอยู่แล้วนับแต่ต้น คำอธิบายที่เกิดขึ้นตามมาจึงเป็นเพียงการมโนภาพให้สมจริงเท่านั้น หาใช่เป็นคำอธิบายที่เป็นกลางหรือมุ่งหมายวิเคราะห์สืบค้นถึงความจริงแต่อย่างใด จึงเห็นได้ว่ามาตรฐานที่อัต-ตีญานียฺกำหนดขึ้นสำหรับตัวเองเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อตบตาผู้อ่านข้อเขียนของเขาเท่านั้น

 

2) มุมมองและทัศนคติในเชิงลบของอัต-ตีญานียฺที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺกับมุมมองและทัศนคติที่มีต่อเหล่าชีอะฮฺของอัต-ตีญานียฺช่างสอดคล้องกับบทกวีที่ว่า

 

وَعَيْنُ الرِّضَاعَنْ كُلِّ عَيْبٍ كَلِيْلَةٌ وَلكِنَّ عَيْنَ السُّخْطِ تُبْدِىْ الْمَسَاوِيَا

“และสายตาแห่งความพึงใจย่อมพร่ามัวจากทุกข์ข้อตำหนิ แต่ทว่าสายตาแห่งความชิงชังย่อมเผยความไม่ดีให้เป็นทีประจักษ์เสมอ”

 

ทั้งๆ ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) พระผู้ทรงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเหล่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมสัตยาบัน อัรฺ-ริฏวานในเหตุการณ์อัล-หุดัยบียะฮฺ ทรงประกาศถึงความพึงพอพระทัยของพระองค์ที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺอย่างชัดเจนในสูเราะฮฺอัล-ฟัตห์ กระนั้นสายตาและมุมมองของอัต-ตีญานียฺที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺก็ยังคงเป็นสายตาแห่งความชิงชังที่มองเพียงแต่ภาพลบของเหล่าเศาะหาบะฮฺเท่านั้น

 

3) อัต-ตีญานียฺไม่ได้ตระหนักเลยแม้แต่น้อยในข้อเขียนของตนว่าตัวเองกำลังเขียนปรามาสน์ศักยภาพของศาสนาอิสลามและพลังของคัมภีร์อัล-กุรอานในฐานะทางนำแห่งมนุษยชาติ ตลอดจนดูแคลนผลงานของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ในการอบรมสั่งสอนเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านตลอดระยะเวลาร่วม 2 ทศวรรษ ความสูงเด่นของศาสนาอิสลามเหนือศาสนาทั้งปวงในอายะฮฺที่ 28 สูเราะฮฺอัล-ฟัตห์ที่ว่า

هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَىٰ وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ ۚ وَكَفَىٰ بِاللَّهِ شَهِيدًا

“พระองค์คือพระผู้ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์มาพร้อมด้วยทางนำและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อทำให้ศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นโดดเด่นชัดเหนือศาสนาทั้งปวง และเพียงพอแล้วที่พระองค์อัลลอฮฺทรงเป็นสักขีพยาน”

(สูเราะฮฺ อัล-ฟัตห์ : 28)

 

ความสูงเด่นของศาสนาอิสลามและเป้าหมายในการส่งศาสนทูตของพระองค์เพื่อนำมนุษยชาติออกจากความหลงผิดสู่ทางนำจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อตลอดระยะเวลาร่วม 2 ทศวรรษแห่งการทุ่มเทของศาสนทูตไร้ผล และได้รับการตอบรับจากผู้ศรัทธาเพียงแค่จำนวน 3-10 คน แม้แต่เหล่าสาวกของบรรดาศาสดาในศาสนาอื่นยังมีจำนวนที่มากกว่าหลายเท่า และสาวกเหล่านั้นกลายเป็นอริยบุคคลเป็นผู้ประเสริฐสุดรองจากศาสดาในศาสนาเหล่านั้น แต่สำหรับศาสนาอิสลามกลายเป็นว่าเหล่าสาวกของท่านศาสนทูตมีแต่พวกกระด้างกระเดื่อง ไม่เชื่อฟังมีแต่ความสับปลัป และตกศาสนากันหมดสิ้นเพียงแค่การสิ้นชีวิตของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) สาวกเพียง 3-10 คนที่ศรัทธาก็มีสภาพที่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่สามารถดำรงหลักคำสอนอันบริสุทธิ์เอาไว้ได้จนกระทั่งต้องรอคอยเวลาหลังการจากไปของศาสนทูตเวลาถึง 25 ปีให้หลังจึงสามารถฟื้นฟูศาสนาอันบริสุทธิ์อีกครั้งเมื่อท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้คืนสู่สิทธิอันชอบธรรม นั่นคือความสูงส่งของศาสนาอิสลามกระนั้นหรือ?

 

และหากว่าการฟื้นฟูศาสนาอันบริสุทธิ์ประสบความสำเร็จด้วยน้ำมือของท่านอะลี (ร.ฎ.) แล้วก่อนหน้านั้นเล่า แสดงว่าท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ล้มเหลวในภาระกิจการประกาศศาสนาของท่านกระนั้นหรือ?

 

อัต-ตีญานียฺมิได้สำเหนียกเลยแม้แต่สักนิดว่าข้อเขียนของตนคือการเปิดประตูให้นักบูรพาคดีและศัตรูอิสลามใช้เป็นช่องทางในการโจมตีศาสนาอิสลามและกล่าวหาหลักคำสอนของอิสลามว่าไร้ศักยภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ หรือไม่มีคุณค่าแต่อย่างใดในการพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้สูงส่งขึ้น หากเราถามชาวยิวว่า กลุ่มชนใดคือผู้ประเสริฐที่สุดในประชาคมของนบีมูซา (อ.ล.) พวกยิวก็ย่อมตอบว่า คือเหล่าเศาะหาบะฮฺของนบีมูซา (อ.ล.) และหากเราถามชาวนะศอรอว่า กลุ่มชนใดคือผู้ประเสริฐที่สุดในประชาคมของนบีอีซา (อ.ล.) พวกนะศอรอก็ย่อมตอบว่า คือเหล่าเศาะหาบะฮฺของท่านนบีอีซา (อ.ล.) ที่ถูกขนานนามว่าอัล-หะวารียูน

 

แต่เมื่อเราถามพวกชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ พวกเขาก็จะตอบว่าคืออะฮฺลุลบัยตฺ ซึ่งในช่วงชีวิตของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็คือ ท่านอะลี (ร.ฎ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (ร.ฎ.) และท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) ท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) เท่านั้น 4 คนนี้เท่านั้น และหากเราเปลี่ยนคำถามกับพวกชีอะฮฺ อิมามียะฮฺว่า ในประชาคมของนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) นั้นชนกลุ่มใดที่เลวที่สุด พวกชีอะฮฺ อิมามียะฮฺก็คงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า คือเหล่าเศาะหาบะฮฺท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ซึ่งนั่นมิได้หมายถึงสิ่งใดนอกเสียจากการกล่าวหาว่าศาสนาอิสลามคือศาสนาที่แย่ที่สุด เพราะแม้กระทั่งเหล่าเศาะหาบะฮฺที่ร่วมชีวิตกับท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ยังมีสถานภาพที่แย่ได้ถึงเพียงนั้นก็ไม่ต้องถามถึงอีกแล้วว่าศาสนาอิสลามสูงเด่นเหนือศาสนาทั้งปวงได้อย่างไร? ในเมื่อกลุ่มคนที่น่าจะดีที่สุดของศาสนานี้ยังเป็นได้แค่ผู้หลงผิดและบิดเบือนศาสนาเท่านั้น! ขอพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงตอบแทนต่ออัต-ตีญานียฺอย่างสาสมที่บุคคลผู้นี้ดูแคลนและปรามาสศาสนาของพระองค์