สงครามระหว่างสองกลุ่มชนที่ยิ่งใหญ่

จากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฮ.) ว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า

(( لاتَقُوْمُ السَّاعَةُحَتى تَقْتَتِلَ فِئَتَانِ عَظِيْمَتَانِ , تَكونَ بَيْنَهُمَامَقْتَلَةٌعَظِيْمَةٌ ,دَعْواهُمَاوَاحدَةٌ ))

 “ยามนั้น (วันสิ้นโลก) จะไม่เกิดขึ้นจนกว่ากลุ่มชนที่ยิ่งใหญ่สองกลุ่มจะประหัตประหารกัน โดยจะมีการเข่นฆ่าขนานใหญ่เกิดขึ้นระหว่างสองกลุ่มชนนั้น คำกล่าวอ้างของทั้งสองกลุ่มชนนั้นคือข้ออ้างเดียวกัน” (อัล-บุคอรียฺและมุสลิม)

 

ท่านศอฟวาน อิบนุ อัมร์ กล่าวว่า : เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น คือวันสมรภูมิศิฟฟีน (ระหว่างกองทัพของเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) และกองทัพของมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ในปีฮ.ศ. 37 / ค.ศ. 657) ในฝ่ายกองทัพชาม (ซีเรีย) มีกำลังพล 60,000 คน ถูกสังหารในสมรภูมิถึง 20,000 คน และฝ่ายกองทัพอีรัก (ของเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.)) มีกำลังพล 120,000 คน เสียชีวิตในสมรภูมิถึง 40,000  คน (สิยัรฺ อัล-อะอฺลาม ; อัซ-ซะฮะบียฺ 1/282)

 

“ศิฟฟีน” (صِفِّيْن) เป็นชื่อเรียกสถานที่แห่งหนึ่งในแคว้นชาม (ซีเรีย) ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำฟุรอต (ยูเฟรติส) ทางทิศตะวันตกของเมืองอัรฺ-รอกเกาะฮฺ ณ สถานที่แห่งนี้ได้เกิดสงครามระหว่างกองทัพชาวอีรักของเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) และกองทัพชาวซีเรียของมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.)เมื่อต้นเดือนเศาะฟัรฺ ปี ฮ.ศ. ที่ 33 / ค.ศ. 657

 

สมรภูมิศิฟฟีนกินเวลา 110 วัน มีการปะทะกันถึง 90 ครั้งตลอดช่วงเวลาดังกล่าว นักประวัติศาสตร์มีความเห็นต่างกันถึงจำนวนทหารของทั้ง 2 ฝ่ายในสมรภูมิศิฟฟีน บ้างก็ว่าฝ่ายท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) มีกำลังทหารจำนวน 120,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรีย และฝ่ายเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) มีกำลังทหารจำนวน 90,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอีรัก บ้างก็ว่าท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) มีกำลังทหารจำนวน 120,000 คน ส่วนท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) มีกำลังทหารจำนวน 90,000 คน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ให้น้ำหนักแก่ทัศนะนี้ (สิยัรฺ อัล-อะอฺลาม ; อัซ-ซะฮะบียฺ (เชิงอรรถ) 1/282) ในสมรภูมิศิฟฟีนมีผู้เสียชีวิตถึง 70,000 คน โดยทหารในฝ่ายกองทัพของเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) เสียชีวิตจำนวน 25,000 คน และฝ่ายท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) เสียชีวิต 45,000 คน

 

อิมามอะหฺมัด (ร.ฮ.) รายงานจากมุฮัมมัด อิบนุ สีรีน (ร.ฮ.) ว่า “ความวุ่นวาย (ฟิตนะฮฺ) ได้โหมกระพือและบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มีจำนวนหลายหมื่นคน คนจำนวน 100 คนจากเหล่าเศาะหาบะฮฺมิได้เข้าร่วมในความวุ่นวายนั้น มิหนำซ้ำพวกเขามีจำนวนไม่ถึง 30 คน” หมายความว่ามีเศาะหาบะฮฺเพียงจำนวนไม่ถึง 30 คนที่เข้าร่วมในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่เศาะหาบะฮฺที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นมีจำนวนหลายหมื่นคน

 

อิมามอะหฺมัด (ร.ฮ.) กล่าวว่า : อุมัยยะฮฺ อิบนุ คุลด์ เล่าให้เราฟังว่า อุมัยยะฮฺได้กล่าวกล่าวกับชุอฺบะฮฺว่า : แท้จริงอบูชัยบะฮฺได้รายงานจากอัล-หะกัมจากอับดุรฺเราะหฺมาน อิบนุ อบีลัยลา ว่า : มีชาวบัดร์จำนวน 70 คนได้เข้าร่วมในสมรภูมิศิฟฟีน ชุอฺบะฮฺกล่าวว่า : อบูชัยบะฮฺโกหก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แน่แท้อัล-หะกัมได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้เราฟัง แล้วเราก็ไม่พบว่ามีชาวบัดร์คนใดเข้าร่วมในสมรภูมิศิฟฟีนนอกจากคุซัยมะฮฺ อิบนุ ษาบิตเท่านั้น และมีผู้กล่าวว่า สะฮฺล์ อิบนุ หะนีฟ ซึ่งเป็นชาวบัดร์ได้เข้าร่วมในสมรภูมิศิฟฟีน และอบูอัยยูบ อัล-อันศอรียฺก็เช่นกัน อิบนุ บัฏเฏาะฮฺได้รายงานจากบุกัยรฺ อิบนุ อัล-อะชัจฺญ์ว่า : บรรดาเศาะหาบะฮฺที่เคยเข้าร่วมสมรภูมิบัดร์ได้เก็บตัวอยู่ภายในบ้านของพวกเขาภายหลังการสังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) พวกเขาไม่ได้ออกมา นอกเสียจากไปยังสุสานของพวกเขาเท่านั้น (อัล-บิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ ; อิบนุกะษีรฺ 7/287)

 

กรณีของท่านอบูอัยยูบ อัล-อันศอรียฺ (ร.ฎ.) นั้น บ้างก็ว่าท่านได้เข้าร่วมในสมรภูมิศิฟฟีนดังที่กล่าวมา แต่มีรายงานจากท่านชุอฺบะฮฺว่า : ฉันเคยถามอัล-หะกัมว่า อบู อัยยูบ อัล-อันศอรียฺได้เข้าร่วมสมรภูมิศิฟฟีนหรือไม่? อัล-หะกัมกล่าวว่า : ไม่! แต่อบูอัยยูบได้เข้าร่วมในวันอัน-นะฮฺร์ที่สมรภูมิอัน-นะฮฺเราะวาน (อัล-มุศอนนัฟ ; อิบนุ อบีชัยบะฮฺ 15/303 , อัต-ตารีค ; เคาะลีฟะฮฺ หน้า 196)

 

อิมามอัฏเฏาะบะรียฺรายงานจากอัช-ชะอฺบียฺว่า : “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺพระผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ในความวุ่นวายนั้น (สมรภูมิศิฟฟีน) ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นนอกจากชาวบัดรฺเพียง 6 คน ไม่มีคนที่ 7 สำหรับพวกเขา หรือเพียง 7 คน ไม่มีคนที่ 8 สำหรับพวกเขา (ตารีคอัรฺรุสุล ; อัฏเกาะบะรียฺ 4/447)

 

ในเหตุการณ์ความวุ่นวายที่มีการรบพุ่งกันนั้น เหล่าเศาะหาบะฮฺโดยส่วนใหญ่มิได้เข้าร่วมแต่ปลีกตัวจากทั้ง  2 ฝ่ายที่สู้รบกัน ส่วนหนึ่งจากเศาะหาบะฮฺเหล่านี้คือ ท่านสะอฺด์ อิบนุ อบีวักกอศ , สะอีด อิบนุ ซัยดฺ , ซัยดฺ อิบนุ ษาบิต , อับดุลลอฮฺ อิบนุ มุฆอฟฟัล , มุฮัมมัด อิบนุ มัสละมะฮฺ , อบูบะเราะซะฮฺ อัล-อัสละมียฺ , อบูบักเราะฮฺ , อบูมูซา อัล-อัชอะรียฺ , อุสามะฮฺ อิบนุ ชัยดฺ ,อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร ฯลฯ

 

มีรายงานระบุว่า อับดุคอยร์ อัล-คอยวานียฺ ซึ่งเป็นชนรุ่นอัต-ตาบิอีนได้ลุกขึ้นยืนในมัสยิดแล้วกล่าวว่า : มีผู้คน 4 กลุ่มคือ อะลีพร้อมกับผู้ที่อยู่ฝ่ายเขาในเมืองอัล-กูฟะฮฺ , ฏอลหะฮฺและอัซ-ซุบัยรฺ ที่เมืองอัล-บัศเราะฮฺ , มุอาวียะฮฺที่แคว้นชาม และกลุ่มหนึ่งที่แคว้นอัล-หิญาซที่ไม่ทำการสู้รบและไม่สนใจในการร่วมรบ แล้วอบูมูซา อัล-อัชอะรียฺก็กล่าวว่า : พวกเขาเหล่านี้ (ชนกลุ่มที่สี่) เป็นกลุ่มชนที่ดีที่สุด และนี่คือความวุ่นวาย (ฟิตนะฮฺ) (อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; อิบนุกะษีรฺ 7/237)

 

การสู้รบในสมรภูมิศิฟฟีนได้เกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์อันเป็นสัจจริงตามที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวเอาไว้ กลุ่มชนทั้งสองฝ่ายคือชาวอีรักและชาวซีเรียเป็นกลุ่มชนที่มีความสำคัญในการสนับสนุนเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) และท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ตลอดจนเป็นกำลังพลของรัฐอิสลามและประชาคมมุสลิมในยุคต้นอิสลาม ทั้งสองฝ่ายมีข้ออ้างเดียวกัน คือความเป็นมุสลิมและยืนกรานในสิ่งที่ฝ่ายตนเห็นว่าถูกต้องตามหลักการของศาสนา แต่ละฝ่ายต่างก็อ้างความชอบธรรมและเหตุผลในการสนับสนุนท่าทีของฝ่ายตน หรือต่างฝ่ายก็อ้างว่าตนคือฝ่ายถูก อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิด ทว่าปวงปราชญ์ถือว่าฝ่ายของเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายที่ถูกต้องและชอบธรรมมากที่สุด เพราะท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นเคาะลีฟะฮฺที่ชอบธรรมและได้รับสัตยาบันจากเศาะหาบะฮฺที่เป็นชาวมุฮาญิรีนและอันศอรในการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺสืบต่อจากท่านอุษมาน (ร.ฎ.)

 

เหตุนั้นอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺจึงถือว่า เมื่อท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นอิมามโดยชอบธรรม ทุกคนที่กบฏต่อท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) จึงเป็นผู้ละเมิดที่จำเป็นต้องสู้รบกับผู้นั้น จนกว่าผู้นั้นจะหวนกลับสู่ความถูกต้อง ฝ่ายของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และพลเมืองซีเรียจึงเป็นผู้ละเมิด (บุฆอต) ต่อสถานภาพของผู้เป็นอิมามหรือเคาะลีฟะฮฺและผิดพลาดในการอิจญ์ติฮาด และการที่ท่านอัมมาร อิบนุ ยาสิร (ร.ฎ.) เข้าร่วมอยู่ในกองทัพของเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) และถูกสังหารในสมรภูมิศิฟฟีนก็เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายถูกตามที่มีอัล-หะดีษระบุว่า กลุ่มชนที่ละเมิดจะสังหารท่านอัมมาร (อัล-บุคอรียฺในอัล-ญามิอฺ อัศ-เศาะฮีหฺ 1/115) อย่างไรก็ตามสมรภูมิศิฟฟีนคือสมรภูมิที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากถึง 70,000 จากการรรบพุ่งของกองทัพ 2 ฝ่าย และสิ่งที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวพยากรณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริงตามที่นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ 

วัลลอฮุอะอฺลัม