การเสียชีวิตของท่านอัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี อิบนิ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.)

อิมามอะหฺมัด บันทึกไว้ในมุสนัดของท่านว่า : จากษาบิตจากท่านอะนัส (ร.ฎ.)

((اسْتَأْذَنَ مَلَكُ الْقَطْرِأن يَاْتِيْ النبى صلى الله عليه وسلم فأَذِنَ له , فقال لِأُمِّ سَلَمَةَ ((احْفَظِيْ عليْناالبابَ لايدخُل عليناأحَدٌ)) فجاءَالحسينُ بن عَلِيّ فوثَب حَتّى دَخَل , فجَعل يَصْعُدُعَلى مَنْكبِ النبى صلى الله عليه وسلم فقال المَلَكُ : أَتُحِبُّهُ؟ قال :((   نَعَمْ)) فقال إنَّ أُمَّتَكَ تَفْتُلُهُ ,وإنْ شِئْتَ أَرَيْتُكَ الْمَكَانَ الذى يُقتَلُ فِيْه , قال : فضرَب بيدِه فأراهُ تَرَابًاأَحْمَرَ , فأخذتْ أُمُّ سَلَمة ذلك الترابَ فصرتْه فى طَرَفِ ثَوْبِها , قال : فكُنَّانَسْمَعُ أنَّه يُقْتَلُ بِكَرْبَلَاء))  

 

ความว่า : มะลักแห่งฝนได้ขออนุญาตมาหาท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) แล้วมะลักแห่งฝนก็ได้รับอนุญาต แล้วกล่าวแก่ท่านหญิงอุมมุสละมะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า : เธอจงเฝ้าประตูให้แก่เรา อย่าให้ผู้ใดเข้ามาหาเรา” แล้วอัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) ก็มา แล้วกระโดดจนเข้ามา อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ก็เริ่มปีนขึ้นบ่าของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มะลักผู้นั้นจึงกล่าวว่า : ท่านรักเขากระนั้นหรือ? ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “ใช่แล้ว” มะลักผู้นั้นก็กล่าวว่า “แท้จริงประชาคมของท่านจะสังหารเขา และหากว่าท่านประสงค์แล้วไซร้ ฉันจักให้ท่านได้เห็นสถานที่ซึ่งเขาจะถูกสังหารในสถานที่แห่งนั้น” อะนัสกล่าวว่า : แล้วมะลักก็ใช้มือของเขาตี มะลักก็ทำให้ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เห็นดินสีแดง แล้วท่านหญิงอุมมุสละมะฮฺ (ร.ฎ.) ก็เก็บเอาดินสีแดงนั้นไป แล้วเก็บมันไว้ที่ชายผ้าของนาง อะนัสกล่าวว่า : แล้วเราก็ได้ยินว่าแท้จริงเขา (อัล-หุสัยนฺ) จะถูกสังหารที่กัรฺบะลาอฺ” (อัล-บิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ ; อิบนุกะษีร 8/210-211)

 

 

ในอีกสายรายงานหนึ่งจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) และท่านหญิงอุมมุสละมะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวแก่หนึ่งในสองคนว่า

((لَقَدْدَخَلَ عَلَيَّ البيتَ مَلَكٌ لم يَدْ خُلْ عَلَيَّ قَبْلَهَا فَقَالَ لِيْ : ((إِنَّ ابْنَكَ هذاحُسَيْن مَقْتُوْلٌ , وإنْ شِئْتَ اَرَيْتُكَ الأرَضَ التى يُقْتَلُ بِهَا , قال : فَأَخْرَجَ تُرْبَةًحَمْرَاءَ))

ความว่า : “แน่แท้มีมะลักท่านหนึ่งได้เข้าบ้านมาหาฉัน มะลักผู้นั้นไม่เคยเข้ามาหาฉันก่อนหน้านั้น แล้วมะลักก็กล่าวแก่ฉันว่า : “แท้จริงบุตรของท่านนี้คือ หุสัยนฺเป็นผู้ถูกสังหาร และหากว่าท่านประสงค์ ฉันย่อมให้ท่านได้เห็นแผ่นดินซึ่งเขาจะถูกสังหาร ณ แผ่นดินนั้น” ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า : แล้วมะลักก็นำดินสีแดงก้อนหนึ่งออกมา” (มุสนัดอะหฺมัด : 25985 ชัยคฺอัล-อัลบานียฺ ระบุว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ในสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 222)

 

 

อบุลกอสิม อัล-บะเฆาะวียฺ กล่าวถึงสายรายงานของท่านจากอัชอัษ อิบนุ สุหัยมฺ จากบิดาของเขาว่า : ฉันเคยได้ยินอะนัส อิบนุ อัล-หาริษ กล่าวว่า : ฉันเคยได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า :

((إنَّ ابْنِيْ – يعنى الحُسَيْنَ- يُقْتَلُ بِأَرْضٍ يُقَالُ لَهَاكَرْبَلَاءُ , فَمَنْ شَهِدَ مِنكُم ذلكَ فَلْيَنْصُرْهُ))

ความว่า “แท้จริงบุตรของฉัน (หมายถึงท่านอัล-หุสัยนฺ) จะถูกสังหารที่แผ่นดินหนึ่งเรียกกันว่า “กัรฺบะลาอฺ” ดังนั้น ผู้ใดจากพวกท่านได้ร่วมอยู่ที่นั่น ผู้นั้นก็จงช่วยเหลือเขา” (อัล-บิดายะฮฺ 8/211)

 

 

ในบรรดาหะดีษข้างต้น ระบุว่าท่านอิมาม หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) หลานชายผู้เป็นที่รักของท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จะถูกสังหาร และผู้ที่สังหารเป็นประชาคม (อุมมะฮฺ) ของท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวคือเป็นชาวมุสลิมมิใช่ชนนอกศาสนา และสถานที่ที่ท่านหุสัยนฺ (ร.ฎ.) จะถูกสังหารคือ กัรฺบะลาอฺ เป็นชื่อตำบลจากเขตอัฏ-ฏอฟในอีรัก และขณะที่มะลักแห่งสายฝน (ในอีกรายงานหนึ่ง อิมามอะหฺมัด บันทึกจากอับดุลลอฮฺ อิบนุ ยะหฺยาจากบิดาของเขาจากท่านอะลี (ร.ฎ.) (หะดีษเลขที่ 649) ระบุว่าเป็นท่านญิบรออีล (อ.ล.) และระบุว่าท่านหุสัยนฺ (ร.ฎ.) จะถูกสังหารที่ริมฝั่งแม่น้ำอัลฟุรอต ( شَطُّ الفَراتِ ) ชัยคฺ อัล-อัลบานียฺกล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺในสิลลิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1171) ได้บอกเรื่องนี้กับท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ขณะนั้นท่านหุสัยนฺ (ร.ฎ.) ยังเยาว์วัยอยู่ และเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นจริงตามที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ระบุหลังการสิ้นชีวิตของท่านผ่านไปราว 60 ปี

 

 

อิบนุ กะษีร (ร.ฮ.) ระบุว่า การสังหารท่านหุสัยนฺ (ร.ฎ.) เกิดขึ้นในวันศุกร์ ตรงกับวันที่ 10 มุหัรรอม (วันอาชูรออฺ) ปี ฮ.ศ. ที่ 61 ฮิชาม อิบนุ อัล-กัลบียฺกล่าวว่า ปี ฮ.ศ. ที่ 62 และอะลี อัล-มะดีนียฺก็กล่าวตามนี้ อิบนุ ละฮีอะฮฺ กล่าวว่า : ปี ฮ.ศ.ที่ 62 หรือ 63 ส่วนคนอื่นๆ กล่าวว่า ปี  ฮ.ศ. ที่ 60 ที่ถูกต้องคือปี ฮ.ศ. ที่ 61 ณ สถานที่แห่งหนึ่งจากเขตอัฏ-ฏอฟ เรียกกันว่า กัรฺบะลาอฺ จากแผ่นดินอีรัก ขณะที่ท่านหุสัยนฺ (ร.ฎ.) มีอายุได้ 58 ปี หรือราวๆ นั้น (อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; อิบนุกะษีรฺ 8/210)

 

 

มุฮัมมัด อิบนุ สะอฺด์ และท่านอื่นๆ ได้บันทึกรายงานหลายกระแสจากท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ว่า : แท้จริงท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้ผ่านตำบล กัรฺบะลาอฺ ณ บริเวณที่มีดงต้นบวบขมขึ้นอยู่ ขณะที่ท่านมุ่งหน้าสู่ศิฟฟีน แล้วท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็ถามถึงสถานที่แห่งนั้น ก็มีผู้บอกว่า ชื่อกัรฺบะลา ท่านอะลี (ร.ฎ.) จึงลงพักและทำการละหมาด ณ ต้นไม้ ต้นหนึ่งที่นั่น ต่อมาท่านก็กล่าวว่า : “ณ ที่นี้บรรดาชะฮีดจะถูกสังหาร พวกเขาคือบรรดาชะฮีดที่ดีที่สุดนอกเหนือจากเหล่าเศาะหาบะฮฺ พวกเขาจะเข้าสู่สวรรค์โดยไม่มีการพิพากษา” และท่านก็ชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่นั่น ผู้คนที่ร่วมมากับท่านก็รู้ถึงสิ่งหนึ่ง แล้วหุสัยนฺ (ร.ฎ.) ก็ถูกสังหารที่นั่น (อัล-บิดายะฮฺ 8/211)

 

 

เรื่องมีอยู่ว่า ปี ฮ.ศ. ที่ 60 ยะซีด อิบนุ มุอาวียะฮฺ ได้รับสัตยาบันการเป็นเคาะลีฟะฮฺขณะมีอายุได้ 34 ปี ขณะนั้นอัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) และอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัซ-ซุบัยรฺ ทั้งสองอยูที่นครมะดีนะฮฺและยังมิได้ให้สัตยาบันแก่ยะซีด เมื่อทั้งสองถูกเรียกร้องให้สัตยาบันแก่ยะซีด ทั้งสองจึงหลบหนีออกจากนครมะดีนะฮฺสู่นครมักกะฮฺ โดยอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัซ-ซุบัยรฺหลบหนีไปก่อน อัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) เมื่อพลเมืองอีรักทราบข่าวว่า อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ไม่ได้ให้สัตยาบันแก่ยะซีด อิบนุ มุอาวียะฮฺ พลเมืองอีรักจึงส่งหนังสือหลายฉบับไปยังท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ที่นครมักกะฮฺ (จำนวนราว 150 ฉบับ) ทั้งหมดกล่าวในหนังสือของพวกเขาว่า “แท้จริงเราได้ให้สัตยาบันแก่ท่าน และเราไม่ประสงค์ผู้ใดนอกจากท่าน อีกทั้งที่ต้นคอของพวกเราไม่มีสัตยาบันแก่ยะซีด หากแต่มีสัตยาบันที่ให้แก่ท่าน”

 

 

เมื่อหนังสือจากพลเมืองอัล-กูฟะฮฺ อีรักมาถึงอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) มากมายเพียงนี้ (บ้างก็ว่ามีมากกว่า 500 ฉบับ) ท่านอัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) จึงส่งญาติสนิทของท่านคือ มุสลิม อิบนุ อะกีล อิบนิ อบีฏอลิบไปยังนครอัล-กูฟะฮฺเพื่อให้รู้เรื่องราวและความเป็นจริงในนครอัล-กูฟะฮฺ เมื่อมุสลิม อิบนุ อะกีลไปถึงนครอัลกูฟะฮฺก็เที่ยวสอบถามผู้คนจนรู้แน่ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการยะซีดแต่ต้องการอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) มุสลิม อิบนุ อะกีล ลงพักที่บ้านของฮานิอฺ อิบนุ อุรฺวะฮฺ ผู้คนก็มาเป็นหมู่คณะบ้าง เพียงลำพังบ้างเพื่อให้สัตยาบันแก่อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) โดยมุสลิมเป็นผู้รับสัตยาบันแทน ฝ่ายอันนุอฺมาน อิบนุ   บะชีรฺ เจ้าเมืองอัล-กูฟะฮฺที่ยะซีดได้แต่งตั้งทราบข่าวว่ามุสลิม อิบนุอะกีลอยู่ที่นครอัล-กูฟะฮฺและมีผู้คนทยอยมาให้สัตยาบันแก่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ใส่ใจ จนกระทั่งมีบางคนได้ออกไปยังแคว้นชามแล้วรายงานยะซีดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น     

 

 

เมื่อยะซีดทราบเรื่องนี้ก็ไม่พอใจอันนุอฺมาน อิบนุ บะชีรฺ จึงปลดอันนุอฺมานออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองอัล-กูฟะฮฺ และส่งอุบัยดุลลอฮิ อิบนุ ซิยาดไปเป็นเจ้าเมืองแทน อุบัยดุลลอฮฺเป็นเจ้าเมืองอัล-บัศเราะฮฺจึงรวมเอานครอัล-กูฟะฮฺเข้าอยู่ใต้การปกครองของตน อุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาดถึงนครอัล-กูฟะฮฺในเวลากลางคืนและพันผ้าปิดหน้าเอาไว้ เมื่อผ่านมาพบผู้คนก็ให้ สล่ามกับพวกเขา พวกเขาก็ตอบสล่ามว่า : และศานติจงมีแด่ท่าน โอ้บุตรชายของบุตรีท่านรสูลุลลอฮฺ! ผู้คนเข้าใจผิดว่าอุบัยดุลลอฮฺคือท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ที่แอบเข้าเมืองมาโดยพันผ้าปิดหน้าในเวลากลางคืน อุบัยดุลลอฮฺจึงรู้ว่าสถานการณ์ลุกลามไปถึงขั้นนั้น และผู้คนกำลังรอคอยการมาของอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) อุบัยดุลลอฮฺจึงรุดเข้าสู่ปราสาท แล้วส่งบ่าวคนหนึ่งของตนที่ชื่อมะอฺกิลให้ออกไปสืบว่าผู้ใดเป็นต้นคิดในเรื่องนี้

 

 

ฝ่ายมะอฺกิลจึงออกไปและทำทีว่าตนเป็นชาวเมืองหิมศ์ (ซีเรีย) ที่มีเงิน 3,000 ดิรฮัม เพื่อสนับสนุนอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) มะอฺกิลสอบถามผู้คนจนมีผู้ชี้ถึงบ้านของฮานิอฺ อิบนุอุรฺวะฮฺ แล้วมะอฺกิลก็เข้าไปภายในบ้านหลังนั้นก็พบว่ามุสลิม อิบนุ อะกีลอยู่ที่นั่น แล้วก็ทำทีให้สัตยาบันพร้อมกับมอบเงินจำนวน 3,000 ดิรฮัม มะอฺกิลเทียวไปเทียวมายังบ้านหลังนั้นอยู่หลายวัน จนกระทั่งรู้ข้อมูลของคนที่บ้านหลังนั้น ต่อมาก็กลับไปหาอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาดเพื่อแจ้งข่าวทั้งหมดที่สืบมาได้

 

 

เมื่อผู้คนเป็นจำนวนมากได้ให้สัตยาบันแก่อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ผ่านมุสลิม อิบนุ อะกีล และดูว่าสภาพการณ์ในนครอัล-กูฟะฮฺเป็นไปโดยเรียบร้อย มุสลิมจึงส่งหนังสือไปถึงอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ที่นครมักกะฮฺว่า “ให้ท่านมุ่งหน้ามาเถิด เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว” อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) จึงออกจากนครมักกะฮฺในวันอัต-ตัรวียะฮฺพร้อมกับครอบครัว และผู้ติดตามมุ่งหน้าสู่นครอัล-กูฟะฮฺ ในระหว่างนั้นที่นครอัล-กูฟะฮฺ ฮานิอฺ อิบนุ อุรวะฮฺถูกจับกุมเพราะอุบัยดุลลอฮฺรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ฝ่ายมุสลิมทราบข่าวว่าฮานิอฺถูกจับกุม  และถูกขังอยู่ในปราสาทของอุบัยดุลลอฮฺ จึงนำคนจำนวน 4,000 คน ไปล้อมปราสามของอุบัยดุลลอฮฺ พลเมืองอัล-กูฟะฮฺก็ออกไปสมทบกับมุสลิม ในเวลานั้นบรรดาคนสำคัญๆ ของเมืองอยู่กับอุบัยดุลลอฮฺ อุบัยดุลลอฮฺจึงกล่าวกับบรรดาบุคคลสำคัญเหล่านั้น “พวกท่านจงทำให้ผู้คนละทิ้งไม่ช่วยเหลือมุสลิม อิบนุ อะกีลเถิด” อุบัยดุลลอฮฺสัญญาว่าจะมอบของมีค่าแก่พวกเขาและขู่พวกเขาให้หวาดกลัวต่อกองทัพของแคว้นชาม

 

 

บรรดาคนชั้นนำเหล่านั้นจึงพูดจาหว่านล้อมให้ผู้คนที่มากับมุสลิมละทิ้งการช่วยเหลือมุสลิม อิบนุ อะกีล พวกผู้หญิงก็มานำตัวเอาบุตรของนางกลับไป พวกผู้ชายก็มานำตัวพี่น้องของตนกลับไป ผู้นำเผ่าก็มาห้ามปรามผู้คนมิให้ช่วยเหลือมุสลิม จนกระทั่งคนจำนวน 4,000 คน เหลืออยู่เพียง 30 คน ที่ยังอยู่กับมุสลิมเท่านั้น! ตะวันยังไม่ทันตกดินในวันนั้น มุสลิม อิบนุ อะกีลเหลืออยู่เพียงลำพัง ผู้คนตีจากมุสลิมกันทั้งหมด เขาเดินไปตามตรอกของนครอัล-กูฟะฮฺอย่างเดียวดายโดยไม่รู้จุดหมาย แล้วมุสลิมก็เคาะประตูบ้านของหญิงนางหนึ่งซึ่งเป็นชนเผ่ากินดะฮฺเพื่อขอน้ำ นางไม่รู้จักมุสลิมจึงสอบถาม มุสลิมได้บอกนางให้ทราบว่าตนเป็นผู้ใดและบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หญิงผู้นั้นจึงนำมุสลิมเข้าไปหลบอยู่ในบ้านข้างเคียง นำเอาน้ำและอาหารไปให้ แต่บุตรชายของนางรู้เรื่องจึงนำความไปบอกอุบัยดุลลออฺ อิบนุ ซิยาด ฝ่ายอุบัยดุลลอฮฺจึงส่งคน 70 คนไปล้อมมุสลิมเอาไว้ มุสลิมต่อสู้แล้วก็ยอมเมื่อพวกนั้นรับรองว่าเขาจะปลอดภัย

 

 

มุสลิมถูกนำตัวไปยังปราสาทของเจ้าเมืองซึ่งอุบัยดุลลอฮฺอยู่ที่นั่น เมื่อเข้ามาอุบัยดุลลอฮฺจึงถามถึงสาเหตุที่มุสลิมออกมา มุสลิมตอบว่า “คือสัตยาบันที่ให้แก่อัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) ที่ต้นคอของเรา” อุบัยดุลลอฮฺกล่าวว่า “ที่ต้นคอของท่านมีสัตยาบันที่ให้ไว้แก่ยะซีดแล้วมิใช่หรือ?” แล้วอุบัยดุลลอฮฺก็บอกว่าตนจะฆ่ามุสลิม มุสลิมจึงขอว่าให้ปล่อยตนได้สั่งเสียเสียก่อน อุบัยดุลลอฮฺบอกว่า ได้ จงสั่งเสียเถิด มุสลิมหันมองก็พบอุมัร อิบนุ สะอฺด์ อิบนิ อบีวักกอศอยู่ที่นั่น จึงกล่าวกับอุมัรว่า : ท่านเป็นญาติสนิทของฉันมากที่สุดในหมู่คน จงมาเถิดฉันจะส่งเสียท่าน แล้วมุสลิมก็พาอุมัรไปยังมุมหนึ่ง และสั่งเสียให้อุมัร อิบนุ สะอฺด์ส่งคนไปแจ้งข่าวให้อัล-หุสัยนฺกลับ เพราะเรื่องจบแล้ว พลเมืองอัล-กูฟะฮฺหลอกลวง

 

 

มุสลิมกล่าวกับอุมัรฺในคำสั่งเสียที่ฝากให้ส่งคนไปแจ้งกับอัล-หุสัยนฺว่า “ท่านจงนำครอบครัวของท่านกลับไปเสีย อย่าให้พลเมืองอัล-กูฟะฮฺหลอกลวงท่าน เพราะพลเมืองอัล-กูฟะฮฺโกหกท่านและโกหกฉัน และผู้โกหกย่อมมีความเห็นใดๆ” ในที่สุดมุสลิมก็ถูกสังหารในวันอะเราะฟะฮฺ ฝ่ายอัล-หุสัยนฺได้ออกจากนครมักกะฮฺแล้วในวันอัต-ตัรวียะฮฺก่อนที่มุสลิม อิบนุ อะกีลจะถูกสังหาร 1 วัน คนที่อุมัร อิบนุ สะอฺด์ส่งไปบอกข่าวแก่ท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ก็มาไม่ทันการและสวนกัน

 

 

ก่อนที่ท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) จะออกเดินทางจากนครมักกะฮฺสู่นครอัล-กูฟะฮฺตามที่มุสลิม อิบนุ อะกีลมีหนังสือมา มีเศาะหาบะฮฺหลายท่านพยายามห้ามปรามอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) จากการออกไปยังนครอัล-กูฟะฮฺ ได้แก่ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร , อับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส ,          อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัมร์ อิบนิ อัลอาศ , อบูสะอีด อัล-คุดรียฺ , อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัซ-ซุบัยร์ และ มุฮัมมัด อิบนุ อัล-หะนะฟียะฮฺน้องชายต่างมารดาของท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ทว่าอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ก็ยืนกรานที่จะออกจากนครมักกะฮฺโดยก่อนหน้าอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ได้ส่งหนังสือไปยังนครมะดีนะฮฺให้ครอบครัวของท่านในตระกูลมุฏเฏาะลิบเดินทางมายังนครมักกะฮฺ พวกเขามีจำนวน 19 คน ทั้งชายหญิง พี่น้อง บุตรี และภรรยาของอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.)

 

 

ท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ออกเดินทางจากนครมักกะฮฺพร้อมกับครอบครัวและผู้ติดตามจนมาถึงอัล-กอดิสียะฮฺก็พบกับคนที่อุมัร อิบนุ สะอฺด์ ส่งมาแจ้งข่าวตามที่มุสลิม อิบนุ อะกีลสั่งเสีย เมื่อทราบความจริงอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็ตั้งใจจะกลับสู่นครมักกะฮฺ จึงได้พูดคุยกับลูกๆ ของมุสลิม อิบนุ อะกีลที่ร่วมเดินทางมาด้วย ฝ่ายลูกๆ ของมุสลิมก็ยืนกรานว่าจะไม่กลับจนกว่าจะได้แก้แค้นให้แก่มุสลิมผู้เป็นบิดาเสียก่อน อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็เห็นตามนั้น

 

 

ฝ่ายอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด เมื่อรู้ว่าอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ออกจากนครมักกะฮฺเพื่อมุ่งหน้าสู่นครอัล-กูฟะฮฺ อุบัยดุลลอฮฺจึงใช้ให้อัล-หุรฺร์ อิบนุ ยะซีด อัต-ตะมีมียฺนำกำลังคน 1,000 คนเพื่อออกมาพบอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ระหว่างทาง อัล-หุรฺร์ได้พบอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ใกล้ๆ กับอัล-กอดิสียะฮฺ มีการสอบถามและตอบโต้กันด้วยคำพูดระหว่างสองฝ่าย อัล-หารฺร์พยายามห้ามและร้องขอให้อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) กลับไป แต่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ไม่ยอมและเดินทางต่อไปยังอีรัก

 

 

อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) กับครอบครัวของท่านเดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งจึงถามว่าที่นั่นมีชื่อว่าอะไร? มีคนตอบว่า “กัรฺบะลาอฺ” อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จึงกล่าวว่า (كَرْبٌ وَبَلَاءٌ  ) หมายถึงโศกนาฏกรรมและการทดสอบ แล้วกองทัพของอุมัรฺ อิบนุ สะอฺด์ซึ่งมีจำนวน 4,000 คน ก็มาถึง อุมัรสนทนากับอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) และใช้ให้ท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ไปยังอีรักกับตนเพื่อพบกับอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด แต่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ปฏิเสธ เมื่ออัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) เห็นว่าเรื่องราวนั้นจริงจัง จึงกล่าวแก่อุมัรฺ อิบนุ สะอฺด์ ว่า : “ฉันมีข้อเสนอให้ท่านเลือก 3 ข้อ จงเลือกเอาข้อหนึ่งตามที่ท่านประสงค์” อุมัรถามว่า “3 ข้อนั้นคืออะไร?” อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) กล่าวว่า “คือให้ท่านปล่อยฉันกลับไป หรือฉันจะไปยังเส้นพรมแดนหนึ่งจากเส้นพรมแดนของมุสลิม หรือฉันจะไปยังยะซีด เพื่อที่ฉันจะได้วางมือของฉันในมือของยะซีด”

 

 

อุมัร อิบนุ สะอฺด์ กล่าวว่า : ได้สิ! ท่านจงส่งคนไปยังยะซีด ฉันจะส่งคนไปยังอุบัย ดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด เราจะได้ดูสิว่าจะเอาอย่างไร แต่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็ไม่ได้ส่งคนไปยังยะซีด ส่วนอุมัรก็ส่งคนไปยังอุบัยดุลลอฮฺ เมื่อคนแจ้งข่าวของอุมัร อิบนุ สะอฺด์มาถึง อุบัยดุลลอฮฺก็บอกเรื่องราวของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ให้อุบัยดุลลอฮฺทราบ อุบัยดุลลอฮฺก็ยินดีตามข้อเสนอของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ทว่า ชะมิรฺ อิบนุ ซีอัล-เญาชันกลับเสนอให้อุบัยดุลลอฮฺตกหลุมพรางโดยกล่าวว่า “ไม่! ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ จนกว่าอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จะยอมให้ท่านตัดสินเสียก่อน” อุบัยดุลลอฮฺเห็นตามนั้นจึงส่งชะมิรฺไปบอกข่าวแก่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ว่าอัล-หุสัยน์จำต้องยอมให้อุบัยดุลลอฮฺตัดสินความเสียก่อนถึงจะยอมให้อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.ป เลือกกระทำหนึ่งในสามข้อเสนอนั้น อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็ไม่ยอมที่จะให้อุบัยดุลลอฮฺมีสิทธิในเรื่องนี้

 

 

จำนวนคนที่อยู่ร่วมกับอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) มีจำนวน 72 คน และกองทัพของอัล-กูฟะฮฺมี 5,000 คน เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนในที่มั่นของตน อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.ป ได้กล่าวกับกองทัพของอิบนุ ซิยาดว่า : “พวกท่านจงทบทวนตัวของพวกท่าน จงพิพากษาตัวของพวกท่านเถิด สมควรหรือที่พวกท่านจะสู้รบกับคนเยี่ยงฉัน?” ฉันคือบุตรชายของบุตรีนบีของพวกท่าน บนหน้าแผ่นดินไม่มีบุตรชายของบุตรีท่านนบีนอกจากฉัน และแน่แท้ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เคยกล่าวกับฉันและพี่ชายของฉันว่า “ทั้งสองคนนี้คือนายทั้งสองของคนหนุ่มแห่งชาวสวรรค์” อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ปลุกเร้าพวกเขาให้ละทิ้งคำสั่งของอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด และเรียกร้องให้ร่วมสมทบกับท่าน มีคนในกองทัพของอิบนุซิยาด 30 คน เข้าร่วมสมทบกับอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) หนึ่งในนั้นคือ อัล-หุรฺร์ อิบนุ ยะซีด อัต-ตะมีมียฺซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าของกองทัพอิบนุ ซิยาด มีผู้กล่าวแก่อัล-หุรฺร์ว่า : ท่านมาพร้อมกับพวกเราในฐานะแม่ทัพหน้า มาบัดนี้ท่านแปรพักตร์ไปอยู่กับอัล-หุสัยน์กระนั้นหรือ? อัล-หุรฺร์ตอบว่า : วิบัติแล้วพวกท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริงฉันกำลังเลือกตัวฉันระหว่างสวรรค์กับนรก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่เลือกสิ่งใดนอกจากสวรรค์ แม้ว่าฉันจะถูกสับเป็นชิ้นๆ และถูกเผาให้มอดไหม้ก็ตาม

 

 

หลังจากนั้นอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็ละหมาดซุฮฺริและอัศริของวันพฤหัสฯ นั้น ท่านละหมาดนำคนทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งกองทัพของอิบนิซิยาดและผู้ที่อยู่ร่วมในฝ่ายของท่าน อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ได้บอกกับพวกเขาว่า : “จากพวกท่านคืออิมาม จากฝ่ายเราคืออิมาม” แต่พวกเขากล่าวว่า : ไม่! ทว่าเราจะละหมาดข้างหลังท่าน พวกเขาจึงหมาดซุฮฺริและอัศริข้างหลังท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ครั้นเมื่อใกล้เวลามัฆริบ พวกนั้นก็นำกองทหารมุ่งหน้ามายังท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) กุมดาบของท่านเอาไว้แล้วกล่าวว่า “นี่อะไรกัน?” พวกเขากล่าวว่า “พวกนั้นมุ่งหน้ามาแล้ว” อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จึงสั่งให้คนของท่านออกไปและถามพวกนั้นว่าต้องการอะไร? ทหารม้าจำนวน 20 นาย มีอัล-อับบาส อิบนุ อะลี อิบน อบีฏอลิบน้องชายของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ออกไปด้วย

 

 

เมื่อสอบถามพวกนั้นก็ได้ความว่า ให้ท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ยอมรับการตัดสินของอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด หรือไม่ก็สู้รบ ฝ่ายคนของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ก็แจ้งว่าให้รอก่อนจนกว่าจะได้แจ้งเรื่องกับอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) เมื่อคนของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) กลับมาก็แจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จึงกล่าวว่า “พวกท่านจงกล่าวกับพวกนั้นว่า ให้ประวิงเวลาแก่เราในค่ำคืนนี้ วันพรุ่งนี้จะบอกให้รู้ว่าจะเอาอย่างไร? ฉันจะได้ละหมาดเพื่อพระองค์อภิบาลของฉัน เพราะฉันรักที่จะละหมาดเพื่อพระผู้อภิบาลของฉัน” ในคืนนั้นอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) และบรรดาผู้ที่อยู่กับท่านได้ละหมาด ขอลุแก่โทษ และวิงวอนต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.)

 

 

ช้าวันศุกร์ ที่ 10 เดือนมุหัรรอม ฮ.ศ. ที่ 61 การรบพุ่งระหว่าง 2 ฝ่ายได้เกิดขึ้น จำนวนคนที่สู้รบกัน 2 ฝ่ายต่างกันมาก ฝ่ายอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) มีทหารม้า 30 คน มีพลเดินเท้า 40 คน ที่เหลือเป็นเด็กและสตรี อีกฝ่ายมีกำลังทหาร 5,000 คน ฝ่ายของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ถูกสังหารคนแล้วคนเล่า เบื้องหน้าอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตยกเว้นตัวอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) และอะลี ซัยนุลอาบิดีน บุตรชายของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ซึ่งป่วยอยู่ในขณะนั้น ตลอดทั้งวันไม่มีทหารของอิบนุ ซิยาดคนใดมุ่งหน้าเข้าหาอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จนกระทั่ง ชะมิรฺ อิบนุ ซี อัล-เญาซันมาถึงก็ตะโกนให้ผู้คนเข้าล้อมอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ใช้ดาบของท่านต่อสู้กับทหารเล่านั้นอย่างห้าวหาญ หลายคนถูกสังหาร แต่จำนวนคนที่มากกว่าย่อมชนะความกล้าหาญ ชะมิรฺตะโกนอีกครั้งว่าจะรออะไรอยู่? พวกนั้นจึงกรูกันเข้าใส่อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) และสังหารท่าน คนที่ลงมือคือ สินาน อิบนุ อะนัส อัน-นะเคาะอียฺ บุคคลผู้นี้ได้ตัดศีรษะของท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) บ้างก็บอกว่า ชะมิรฺเป็นผู้กระทำ ( قَبَّحَهُمَاالله ) คำบอกเล่าอันเป็นสัจจะพยากรณ์ของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เกิดขึ้นจริงตามนั้น อัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จะถูกสังหารที่กัรฺบะลาอฺ!

 

 

การสังหารหมู่ที่กัรฺบะลาอฺ มีผู้เสียชีวิตดังนี้

  • บรรดาบุตรของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) คือ อัล-หุสัยน์ , ญะอฺฟัรฺ , อัล-อับบาส , อบูบักรฺ , มุฮัมมัด และอุษมาน
  • บรรดาบุตรของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) คือ อับดุลลอฮฺ , อะลี อัล-อักบัรฺ ยกเว้นอะลี ซัยนุลอาบิดีนที่รอดชีวิต
  • บรรดาบุตรของอัล-หะสัน (ร.ฎ.) คือ อับดุลลอฮฺ , อัล-กอสิม และอบูบักร์
  • บรรดาบุตรของอะกีล (ร.ฎ.) คือ ญะอฺฟัรฺ , อับดุลลอฮฺ , อับดุรเราะห์มาน , อับดุลลอฮฺ อิบนุ มุสลิม อิบนิ อะกีล และมุสลิม อิบนุ อะกีล ซึ่งถูกสังหารที่นครอัล-กูฟะฮฺ
  • บรรดาบุตรของอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญะอฺฟัร (ร.ฎ.) คือ เอาวฺน์และมุฮัมมัด (ตารีคเคาะลีฟะฮฺ อิบนุ คอยยาฏ หน้า 234)

 

 

ทั้ง 17 คนนั้น ทั้งหมดเป็นวงศ์วานของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ที่ถูกสังหารในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ รวมทั้งมุสลิม อิบนุ อะกีลที่ถูกสังหาร ณ นครอัล-กูฟะฮฺ (หุกบะฮฺ มินัตตารีค ; อุษมาน อิบนุ มุฮัมมัด อัล-เคาะมีส หน้า 153-162)

 

 

อิบนุกะษีร (ร.ฮ.) กล่าวว่า : “ส่วนคำพูดต่างๆ ที่มีรายงานบอกเล่าและภัยวิบัติที่ประสบกับผู้ที่สังหารท่านอัล-หุสัยน์ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) นั้น ส่วนมากเป็นการบอกเล่าที่ถูกต้อง (เศาะฮีหฺ) เพราะน้อยคนจากบรรดาผู้ที่ร่วมสังหารท่านอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) จะรอดพ้นจากภัยวิบัติและความเลวร้ายในโลกดุนยา ไม่มีผู้ใดออกจากดุนยา (สิ้นชีวิต) จนกว่าผู้นั้นได้ประสบกับความเจ็บป่วย และส่วนใหญ่ได้ประสบกับการวิกลจริต (เป็นบ้า)…” (อัล-บิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ 8/213)

 

 

อิบนุกะษีรฺ (ร.ฮ.) กล่าวอีกว่า “ส่วนหลุมฝังศพอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) นั้นเป็นรับรู้กันในหมู่ชนรุ่นหลังส่วนมากว่าหลุมฝังศพอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) อยู่ในมัชฮัดอะลี ณ สถานที่แห่งหนึ่งจากเขตอัฏ-ฏอฟ ณ แม่น้ำกัรฺบะลาอฺ กล่าวกันว่ามัชฮัดดังกล่าวถูกสร้างอยู่เหนือหลุมฝังศพของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) วัลลอฮุอะอฺลัม และอิบนุกะษีรตลอดจนคนอื่นๆ ระบุว่า สถานที่สังหารอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) นั้นร่องรอยของมันถูกลืมเลือนไปจนกระทั่งไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัด และอบูนุอัยน์ตลอดจนอัล-ฟัฎล์ อิบนุ ดะกีนปฏิเสธ (ไม่ยอมรับ) ต่อบุคคลที่กล่าวอ้างว่าตนรู้ถึงหลุมฝังศพของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.)

 

 

ฮิชาม อิบนุ อัล-กัลบียฺระบุว่า : แท้จริงน้ำนั้นเมื่อมันได้ไหลเข้าท่วมหลุมฝังศพของอัล-หุสัยนฺเพื่อทำให้ร่องรอยของหลุมฝังศพเลือนหายไป น้ำนั้นก็ลดลงและซึมหายไปในพื้นดินหลังจากนั้นได้ 40 วัน แล้วอาหรับเร่ร่อนคนหนึ่งจากเผ่าอะสัดก็มา เขาก็เริ่มกอบดินทีละกอบและดมกลิ่นของมันจนกระทั่งเจอหลุมฝังศพของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ชาวอาหรับผู้นั้นก็ร่ำไห้และกล่าวว่า : ด้วยบิดาและมารดาของฉันยอมแลกด้วยท่าน กลิ่นของท่านช่างหอมกรุ่นยิ่งนัก ดินที่ฝังร่างของท่านหอมกรุ่นยิ่งนัก แล้วชาวอาหรับผู้นั้นก็กล่าวบทกวีว่า “พวกเขาประสงค์ที่จะปิดบังสุสานของเขาให้พ้นจากศัตรู แล้วความหอมกรุ่นของดินแห่งหลุมศพก็ชี้ถึงหลุมศพนั้น”

 

 

ส่วนศีรษะของท่านอัลหุสัยน์ (ร.ฎ.) นั้น ที่รู้กันในหมู่นักประวัติศาสตร์ก็คือ ศีรษะของท่านถูกส่งไปยังอุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ซิยาด และอิบนุ ซิยาดก็ส่งไปยังยะซีด อิบนุ มุอาวียะฮฺ ต่อมานักประวัติศาสตร์ก็เห็นต่างถึงสถานที่ฝังศีรษะของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) มุฮัมมัด อิบนุ สะอฺด์ รายงานว่า ยะซีดได้ส่งศีรษะของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) ไปยังอัมร์ อิบนุ สะอีด ผู้แทนนครมะดีนะฮฺ แล้วอัมร์ อิบนุ สะอีดก็ฝังศีรษะของอัล-หุสัยน์ (ร.ฎ.) เคียงข้างหลุมศพมารดาของท่าน (ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ) ที่สุสานอัล-บะเกียะอฺ บ้างก็ว่าถูกฝังที่ด้านในของประตูอัล-ฟะรอดีส นครดามัสกัส ณ มัสยิดอัรฺ-เราะอฺส์ (อัล-บิดายะฮฺ วัน-นิฮายะฮฺ ; อิบนุ กะษีรฺ 8/214-215)  

 

 

วัลลอฮุอะอฺลัม.  ขอพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานความเมตตาและความพึงพอพระทัยแก่ท่านอิมาม อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ผู้เขียนเป็นชะฮีด และเหล่าวงศ์วานของท่านรสูลุลลออฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ผู้เป็นชะฮีด พร้อมกับนายแห่งบรรดาคนหนุ่มของชาวสวรรค์ด้วยเทอญ