คำปรารภถึงประชาคมมุสลิมไทยเนื่องด้วยกรณีในหลวงสิ้นพระชนม์

suing-1

[dropcap]ศ[/dropcap]าสนาอิสลามของเรามิได้สอนให้ศาสนิกชนเป็นคนหยาบกระด้าง เป็นคนใจไม้ใส้ระกำ เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน เป็นคนไร้สำนึก อย่างที่สามัญชนคนธรรมดามีกัน เป็นคนไร้น้ำตาและความรู้สึกโศกเศร้าในยามที่ผู้คนโศกเศร้าและอาดูรย์ ศาสนาของเรามิได้ห้ามความรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่สูญเสียไป แต่สอนให้เราข่มความรู้สึกเสียใจนั้นด้วยขันติธรรม (เศาะบัรฺ) ยินดีต่อการลิขิตของเอกองค์พระผู้ทรงอภิบาล

 

ศาสนาของเรามิได้สอนให้กลั้นน้ำตายามที่เราอกตรมและสูญเสียผู้ที่เรารักและให้ความนับถือ แม้ท่านบรมศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นศาสนทูตก็ยังเคยร่ำไห้แก่พระมารดาและผู้เป็นลุงของท่าน แลเกิดความรันทดใจเมื่อเห็นว่ามีสตรีผู้ปฏิเสธบางคนถูกสังหารในสมรภูมิ เหตุนั้นจึงมีพระวจนะห้ามมิให้สังหารสตรี คนชรา และเด็กในการศึกสงคราม ลางทีมีบางคนจากพวกเราพูดจาด้วยความคลาดเคลื่อนและวิตถารว่า ห้ามร้องไห้และเสียน้ำตาเมื่อมีผู้วายชนม์

 

เปล่าเลย ศาสนาอิสลามของเรามิได้ห้ามเรื่องอย่างที่ว่าและทึกทักเอานี้ การฟูมฟายตีอกชกหัวและพูดพร่ำเพ้อเหมือนคนวิปลาส ร้องคร่ำครวญเหมือนไม่ยอมรับความจริงและสัจธรรมของชีวิต นั่นต่างหากคือสิ่งที่ศาสนาบัญญัติห้ามไว้ ส่วนหยาดน้ำตาอันเกิดจากความสงสารแลเวทนา แลความมีจิตเมตตาในหัวใจ นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่บรมศาสดามุฮัมมัด ก็เคยหลั่งน้ำตาของพระองค์ท่านมาแล้ว เมื่อครั้งสูญเสียอิบรอฮีมบุตรอันเป็นที่รัก รวมถึงหลานของพระองค์ท่านอันเกิดจากบุตรีของพระองค์ท่านก็เช่นกัน

 

เราผู้เป็นศรัทธาชนย่อมน้อมนำพาบัญญัติของศาสนาเป็นสรณะ และเรายินดีต่อผู้วายชนม์ในศรัทธา ตัวเราทุกคนก็หวังเช่นนั้น และเราก็เศร้าใจเมื่อผู้ที่เรานับถือว่าเป็นพระมหากษัตริย์ของเราได้ถึงแก่กาลสิ้นพระชนม์โดยมิได้ศรัทธาในวิถีของเรา เพราะเราปรารถนาความศรัทธานั้นแก่พระองค์

 

แต่เมื่อพระประสงค์ของเอกองค์พระผู้อภิบาลทรงลิขิตไว้ไม่เป็นเช่นนั้น ความปรารถนานั้นก็สิ้นลง แลยังความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วยเหตุที่เราเป็นพสกนิกรของพระมหากษัตริย์ผู้ถึงกาลสิ้นพระชนม์ แต่เราก็มิอาจกระทำสิ่งใดอันเป็นพิธีกรรมทางศาสนาได้ ด้วยขัดต่อบัญญัติของศาสนา เหตุนั้นแลเราจึงเสียใจแลหลั่งน้ำตาต่อความวิปโยคครั้งนี้

 

ไม่ต่างจากเมื่อครั้งท่านบรมศาสดามุฮัมมัดได้เสียใจแล้วร้องไห้ ยังให้เหล่าสาวกที่ร่วมอยู่ด้วยร้องไห้ตามไปด้วย เมื่อได้รับวิวรณ์จากเอกองค์พระผู้อภิบาลว่ามิทรงอนุญาตให้ขอลุแก่โทษ (อิสติฆฟารฺ) แก่พระมารดาของท่าน แต่ทรงอนุญาตให้เยือนสุสานของพระมารดาท่านได้ เหตุนั้นแล เราผู้เป็นศรัทธาชนจึงเสียใจและร้องไห้ เพราะเรามิอาจขอลุแก่โทษ (อิสติฆฟารฺ) จากเอกองค์พระผู้อภิบาลแก่พระมหากษัตริย์ของเราผู้ถึงแก่กาลสิ้นพระชนม์นั้นได้

 

สิ่งที่เราในฐานะศรัทธาชนจะกระทำได้คือสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งเอกองค์พระผู้อภิบาลที่ได้ทรงลิขิตให้เราเกิดบนผืนแผ่นดินไทยและเป็นพสกนิกรของพระมหากษัตริย์ผู้ถึงแก่กาลสิ้นพระชนม์พระองค์นี้ ผู้ซึ่งทรงเป็นเอกองค์อัครศาสนูปถัมภกและครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

 

อีกทั้งเรายินดีในพระราชกรณียกิจของพระองค์โดยเฉพาะการอุปถัมภ์กิจการศาสนาอิสลามแลคุณูปการอันสุดพรรณาที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิมมานับแต่ครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ แลเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ถึงแก่กาลสิ้นพระชนม์พระองค์นี้ เนื่องด้วยวจนะของท่านบรมศาสดามุฮัมมัดที่ว่า

ผู้ใดไม่สำนึกบุญคุณคน ผู้นั้นไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งเอกองค์พระผู้เป็นเจ้า