ไขความสืบเนื่องจากโพสต์วิภาษโดยมือโพสต์นิรนาม “กรณีละหมาดตามหลังวะฮฺฮาบี”

anonymous

  • “การที่อ.อาลีเสือสมิงได้บอกว่าเราอะลุซซุนนะฮ์ ไปกล่าวหากลุ่มว่าฮาบีว่า เป็นพวกมูฉับบีหะฮ์ และ มูญัซซีมะฮ์ นั้น ผมคิดว่า อ. อาลีเองนั้นแหละคับ ที้กล่าวว่าเรากล่าวหา หากเราไปศึกษา ตำราของวาฮาบีย์เองมิใช้หรือ ทีเป็นเช่นนั้น ผมไม่ขออ้างอิงตำราใดๆของเขานะคับแต่จะกล่าวให้เห็นด้วยคำพูดฎอรุเราะฮ์ ของพวกเขา วาฮาบีย์ จะกล่าวว่า อัลลอฮ์สถิตบนอารัช อยู่ในฟ้าบ้าง อยู่ที่สูงบ้าง แบบหากีกี่ยะฮ์ และยังกล่าวอีกว่า หากอัลลอฮ์ไม่มีที่อยู่แสดงว่าอัลลอฮ์ไม่ นี้ใช้ไหมคับความเชื่อของวาฮาบีย์ ที่ อ. อาลี เสือ .. มองไม่เห็นหรือ แกล้งอินโดเซ้น…”

 

ไขความ

1) หากผู้โพสต์ตั้งใจอ่านสิ่งที่ผมตอบโดยไม่มีอาการกินปูนร้อนท้อง ก็จะมองเห็นประโยคที่มีข้อความชัดเจนระบุว่า : “ดังนั้นผู้ใดกล่าวหาว่าพวกวะฮะบียฺเป็นพวกมุญัสสิมะฮฺ หรือมุชับบิฮะฮฺ หรือมีความเชื่อเช่นเดียวกับพวกยะฮูดียฺในส่วนสาระสำคัญที่ขัดกับหลักความเชื่อในศาสนาอิสลามที่เด็ดขาดชัดเจนด้วยตัวบทจากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ การละหมาดตามหลังพวกวะฮาบียฺของบุคคลผู้นั้นย่อมใช้ไม่ได้ เพราะหากพวกวะฮฺฮาบียฺมีความเชื่อเช่นนั้นจริงตามคำกล่าวหาของผู้นั้น ย่อมแสดงว่าพวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่มุสลิม..” 

 

 

ประโยคที่ว่า “ผู้ใดกล่าวหา…” มิได้เจาะจงตัวบุคคลว่าเป็นผู้ใด เป็นประโยคเงื่อนไข (ญุมละฮฺ ชัรฺฏียะฮฺ) ที่มีนัยกว้างโดยรวม มิได้มุ่งหมายผู้ใดเป็นการเฉพาะ แต่อาศัยเงื่อนไข (ชัรฺฏ์) อันเป็นพฤติกรรมหรือกิริยาที่ถูกระบุถัดมาหลังจากคำ “ผู้ใด” เป็นตัวกำหนดความของประโยค ดังนั้นผู้ใดที่ไม่มีพฤติกรรมหรือกิริยาตามที่ถูกระบุก็ย่อมไม่เข้าอยู่ภายใต้นัยของเงื่อนไขนั้น

 

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ใดกล่าวหาว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นเช่นนั้น ผู้นั้นได้ตัดสินด้วยข้อกล่าวหาของตนว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺมุรตัด และผู้ใดตัดสินว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺ มุรตัด การละหมาดตามหลังวะฮฺฮาบียฺของผู้นั้นย่อมใช้ไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ใดไม่ได้กล่าวหาพวกวะฮฺฮาบียฺว่าเป็นกาฟิรฺ มุรฺตัด แต่เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นมุสลิม การละหมาดตามหลังวะฮฺฮาบียฺของผู้นั้นย่อมใช้ได้ เฉพาะกรณีนี้

 

 

เรื่องจริงๆ มีอยู่เพียงแค่นี้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน ผู้ที่รู้ความและเข้าใจภาษาย่อมเข้าใจเรื่องนี้โดยง่าย และไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก ปัญหาของผู้โพสต์จึงเป็นเรื่องของการ “คิดว่า” หรือ “คิดเอาเอง” อย่างที่โพสต์นั้นแล เพราะคิดว่าหรือคิดเอาเองนี่เอง ผู้โพสต์จึงสรุปนัยของคำ “ผู้ใด” ว่าผมมุ่งหมายถึงผู้โพสต์กับพวกเป็นการเฉพาะ

 

 

ดังข้อความขึ้นต้นที่โพสต์ว่า “การที่อ.อาลี เสือสมิง ได้บอกว่าเราอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ไปกล่าวหากลุ่มวาฮาบีย์ว่าเป็นพวกมูฉับบีหะฮ์และมูญัซซีมะฮ์” ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นใครหรือพวกไหนเป็นการเฉพาะ แต่ผู้โพสต์กลับระบุเจาะจงว่าเป็นตนกับพวกซึ่งเรียกตนเองว่า “อะฮฺลุสสุนนะฮฺ” เสมือนกินปูนร้อนท้อง

 

 

มิหนำซ้ำ ผู้โพสต์ยังตอกย้ำด้วยประโยคที่ว่า “ผมคิดว่า อ.อาลีเองนั้นแหละคับ ที่กล่าวว่า เรากล่าวหา” ประโยคนี้ย้ำความคิดของผู้โพสต์ที่ว่า ผมมุ่งหมายคำ “ผู้ใด” นั้นโดยเจาะจงและมุ่งเป้าไปยังผู้โพสต์ต์กับพวก ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่เป็นความคิดของผู้โพสต์ซึ่งอาจจะฝังใจกับคำตอบของผมในเชิงลบและไม่ต้องจริตของตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

 

 

โดยเฉพาะกรณีข้อกล่าวหาที่ว่าผมเป็นวะฮฺฮาบียฺหรือเป็นพวกอีแอบอะไรทำนองนั้น คนกลุ่มนี้มีอยู่มากพอควร เชื่อว่าคนนั้นคนนี้เป็นเช่นนั้น ก็ฝังใจว่าคนๆ นั้นต้องเป็นอย่างที่ตนเชื่อจนเข้าเส้น ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ป่วยการที่จะขัดแย้งและบอกปัด แต่ที่ต้องมาเขียนไขความให้พี่น้องลูกศิษย์ลูกหาได้รับทราบก็เพราะอาการความน่ารำคาญจะได้ทุเลาลงบ้างก็เท่านั้น

คันมากๆ ก็อดเกาไม่ได้ เป็นธรรมดา!

 

 

2) “หากเราไปศึกษาตำราของวาฮาบีย์เองมิใช้หรือ ที่เป็นเช่นนนั้น” ประโยคนี้ ผู้โพสต์เขียนเหมือนกับว่า เป็นผู้ชำชองและเชี่ยวชาญในการอ่านและศึกษาตำราของพวก วะฮฺฮาบียฺจนทะลุปรุโปร่ง และสามารถชี้ชัดได้ว่า ตำราของวะฮฺฮาบียฺเป็นตำราของพวกมุชับบิฮะฮ์และมุญัสสิมะฮฺ

 

 

และผู้โพสต์ก็พยายามสื่อว่า จริงๆ แล้วตัวผมเองนี่แหล่ะคือผู้ที่กล่าวว่า ผู้โพสต์กับพวกได้กล่าวหา ทั้งๆ ที่เขากับพวกมิได้กล่าวหา! แต่ตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺเองคือสิ่งที่เป็นข้อตัดสินว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นมุชับบิฮะฮฺและมุญัสสิมะฮฺ เข้าทำนองว่าเราไม่ได้กล่าวเสียหน่อย แต่ตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺต่างหากที่เขียนเอาไว้อย่างนั้น!

 

 

เมื่อผู้โพสต์ยืนยันเช่นนั้นแล้ว ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหยิบยกตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺมาอ้างอิงในเรื่องนี้ว่ามีตำราเล่มใดบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะระบุสักสองสามเล่ม เพราะตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺมีการตีพิมพ์และวางขายอยู่ดาษดื่นในท้องตลาดหนังสือ หรืออ้างจากตำราที่ตนศึกษาก็ได้ แต่ผู้โพสต์กลับเขียนว่า : “ผมไม่ขออ้างอิงตำราใดๆ ของเขานะคับ แต่จะกล่าวให้เห็นด้วยคำพูดฎอรูเราะฮฺของพวกเขา..”

 

 

ซึ่งการวิภาษ (ไม่ใช่วิกาคอย่างที่ผู้โพสต์ใช้ เพราะวิภาคเป็นคำนาม มีความหมายว่า การแบ่ง, การจำแนก, ส่วน, ตอน ส่วนการวิภาษ เป็นคำกิริยา หมายถึง พูดแตกต่าง, พูดแย้ง) อันหมายถึงการพูดแตกต่างหรือพูดแย้งโดยหลักวิชาการ จำเป็นต้องอ้างอิงตำราหรือแหล่งที่มาเพื่อชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ตนวิภาษมีลายลักษณ์อักษรหรือเอกสารระบุเอาไว้จริงๆ ว่าพวกนั้น คนนี้ กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ เขียนไว้อย่างนั้นอย่างนี้ในตำราเล่มนั้น เล่มนี้

 

 

หาไม่แล้วก็จะขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักและจะกลายเป็นคำพูดลอยๆ คล้ายๆ กับสำนวนที่ว่า เขาเล่าว่า (ใครก็ไม่รู้เป็นผู้เล่า) ว่ากันว่า (ว่ากันไปต่างๆ นาๆ) ท้ายที่สุดก็เข้าอีหรอบ “ว่าเอาเอง” หรือ “พูดเองเออเอง” การขอว่าจะไม่อ้างอิงตำราใดๆ ของพวกวะฮฺฮาบียฺมาประกอบของผู้โพสต์จึงเป็นการที่ขอที่ผิดที่ผิดทาง เรื่องแบบนี้เขาไม่ขอกัน แต่จำเป็นจะต้องให้และนำเสนอข้อมูล อย่างน้อยก็โดยสังเขป

 

 

เพราะเมื่อคิดจะวิภาษหรือหักล้างด้วยการเห็นแย้งหรือจะเป็นโจทย์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ ดังนั้นเมื่อกล่างอ้างว่าตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺเต็มไปด้วยเรื่องการตัชบีฮฺและตัจญ์สีม การอ้างถึงตำราของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ผู้กล่าวอ้างจำต้องหยิบยกมาเป็นหลักฐานยืนยัน หากว่าผู้กล่าวอ้างมีความสัจจริง

 

 

ส่วนที่ผู้โพสต์เขียนว่า “ตนจะกล่าวให้เห็นด้วยคำพูดเฎาะรูเราะฮฺของพวกวะฮฺฮาบียฺ” นั้นก็จำเป็นต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของคำพูดเหล่านั้นด้วย ซึ่งก็ไม่พ้นต้องอ้างอิงตำราอยู่ดี! และถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดเฎาะรูเราะฮฺ (ซึ่งไม่ทราบว่าคำนิยามในทางวิชาการว่าอย่างไร?) อย่างที่ผู้โพสต์อ้างโดยไม่มีการอ้างอิงที่มาก็ย่อมไม่พ้นความเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ อยู่ดี ว่าพวกวะฮฺฮาบียฺว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ เรื่องจะกลายเป็นว่าพูดเองเออเองไปเสียอีก

 

 

มิหนำซ้ำหากวะฮฺฮาบียฺพูดหรือเขียนไว้ในตำราอย่างที่อ้างก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องอย่างที่ว่ามาโดยเฎาะรูเราะฮฺหรือไม่ ยิ่งกรณีหากว่าวะฮฺฮาบียฺปฏิเสธว่ามิได้ว่าเช่นนั้น คำพูดโดยเฎาะรูเราะฮฺก็กลายเป็นผลเฉพาะฝ่ายที่กล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นแทนที่จะใช้วิธีการเพียงแค่กล่าวให้เห็นข้อเท็จจริงด้วยคำพูดเฎาะรูเราะฮฺของพวกวะฮฺฮาบียฺซึ่งผู้โพสต์เป็นผู้พูดแต่ฝ่ายเดียว ก็อ้างตำราหรือแหล่งที่มาไปเสียเลยจะไม่ดีกว่าหรือ?

 

 

หากตำราปฐมภูมิไม่มี ตำราทุติยภูมิซึ่งนักวิชาการอะชาอิเราะฮฺเขียนรวบรวมไว้เพื่อตอบโต้พวกวะฮฺฮาบียฺก็มีอยู่หลายเล่ม ที่ชั้นหนังสือของผมก็มีตำราหมวดนี้ที่นักวิชาการและปราชญ์อะชาอิเราะฮฺทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่แต่งไว้อยู่หลายชุด ผู้โพสต์ยังไม่มีก็ขอหยิบยืมกันได้ ผมอ่านจนสายตาแย่แล้ว อยากได้ก็บอกมาเดี๋ยวจัดให้!

 

 

  • “วาฮาบีย์ จะกล่าวว่า อัลลอฮ์สถิตบนอารัช อยู่ในฟ้าบ้าง อยู่ที่สูงบ้าง แบบหากีกี่ยะฮ์ และยังกล่าวอีกว่า หากอัลลอฮ์ไม่มีที่อยู่แสดงว่าอัลลอฮ์ไม่มี นี้ใช้ไหมคับความเชื่อของวาฮาบีย์ ที่ อ. อาลี เสือ .. มองไม่เห็นหรือ แกล้งอินโดเซ้น
  • “วาฮาบีย์ จะกล่าวว่า อัลลอฮ์มี มือ หู ตา จมูก เท้า แบบหากีกียะฮ์ และคำว่าหากีกี่ย์ คือ มือจริงๆทีเป็นอวัยวะนะคับ ไม่ใช้มาญาซีย์ ผินความหมาย บางตำราบางเล่ม หรือ คำฟัตวาจากเชควาฮาบีย์ บางเล่ม แถมเข้าไปอีกเช่น อัลลอฮ์มีซีฟัตมือ และมีห้า นิ้ว !! และตำราบางเล่มของวาฮาบีย์มิใช้หรือ ที่กล่าว อัลลอฮ์สร้างอาดัมด้วยรูปลักษของพระองคฮ์ คือ อาดัมมีอวัยวะ อัลลอฮ์ก็เช่นกัน …..!!
  • “ในตำราของวาฮาบีย์ มิใช้หรือ ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์เคลือนย้ายจากที่สูงลงสู่ทีต่ำ ตำราวาฮาบีย์มิใช้หรือ ที่บอกว่าอัลลอฮ์พูดด้วยเสียงและอักษร สิ่งเหล่านี้ อ. อาลี กลับโลกสวยและมองว่า วาฮาบีย์ เป็นสลัฟศอแหละอีกหรือ ??”

 

ไขความ

โปรดสังเกตข้อความที่ผู้โพสต์เขียน “วาฮาบีย์จะกล่าวว่า…” , “และยังกล่าวอีกว่า” , “ตำราบางเล่มของวาฮาบีย์มิใช่หรือ” , “บางตำราบางเล่ม” หรือคำฟัตวาจากเชควาฮาบีย์บางเล่ม แถมเข้าไปอีก” , “ในตำราของวาฮาบีย์มิใช่หรือที่กล่าวว่า”

 

 

แสดงว่ามีหลายเล่มละสิ! เพราะบางเล่มบางตำรารวมเข้าด้วยกันก็ต้องกลายเป็นหลายเล่ม! คำถาม ไอ้บางเล่มที่ว่านั้น เล่มไหนเล่า? ชื่อว่าอะไร? ใครเป็นคนแต่ง? และที่ว่านั้นอยู่ในเล่มใด หน้าที่เท่าไหร่? ก็บอกและระบุอ้างอิงมาเสียเลย ผู้อ่านโพสต์จะได้เคลียร! อาจารย์บางท่านได้รวบรวมไว้แล้วน่าจะฉายหนังตัวอย่างสักเล่มสองเล่ม เพราะผู้โพสต์อ้างไว้หลายเล่ม แสดงว่าต้องมีตำราวะฮฺฮาบียฺในชั้นวางหนังสือหรือในตู้อยู่เป็นกระบิ

 

 

สำหรับตัวผมแล้วตำราวะฮฺฮาบียฺในตู้หนังสือมีอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับตำราของนักปราชญ์ฝ่ายอะชาอิเราะฮฺที่มีอยู่ เฉพาะอัต-ตัฟสีรฺ อัล-กะบีรฺ (มะฟาตี้หุล ฆอยบ์) ของอิมามฟัครุดดีน อัรฺ-รอซียฺ (ร.ฮ.) ก็ชุดใหญ่ไม่ใช่เล่น ตัฟสีรฺอัล-กุรฺฏุบียฺก็เป็นรุ่นเก่าหนาบานเบอะ, ตำราดะลีลุลฟาลิหีน, อัล-ฟุตูหาต อัร-รอบบานียะฮฺ แต่ละชุดก็หลายเล่มอยู่ นี่ยังไม่รวมตำราเล่มเดียวที่เขียนโต้วะฮฺฮาบียฺ รวมๆ แล้วมีจำนวนมากกว่าตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺเสียอีก

 

 

ผู้โพสต์อ่านหนังสือวะฮฺฮาบียฺเยอะเล่ม น่าจะอ้างอิงให้รู้กันเสียหน่อย เพราะที่ผู้โพสต์ว่ามาทั้งหมดนั้นก็เคยได้ยินและรู้อย่างที่ว่ามานั่นแหละ สาเหตุที่ผู้โพสต์กล่าวว่า ผมมองไม่เห็นก็อาจจะเป็นเพราะมีตำราวะฮฺฮาบียฺน้อยเกินไป อ้อ ระวังนะ! อ่านตำราวะฮฺฮาบียฺมากเกินไปหรือมีตำราวะฮฺฮาบียฺเต็มตู้หนังสือ คนเขาอาจะกล่าวหาได้ว่า ฝักใฝ่วะฮฺฮาบียฺ! หรือไม่ก็ต้องระวัง อ่านตำราวะฮฺฮาบียฺมากๆ จะกลายเป็นวะฮฺฮาบียฺไปโดยไม่รู้ตัว!!

 

 

นี่เห็นว่าสนใจคำตอบของผมในเวบไซด์อยู่พอควร ถึงได้ตามมาวิภาษคำตอบของผม ก็ขอเตือนด้วยความหวังดี อ้อ! ไอ้ที่ว่าพวกวะฮฺฮาบียฺกล่าวว่า อัลลอฮฺมีหูกับจมูกด้วยเนี่ยะ อันนี้อยากรู้จริงๆ ว่าอยู่ในเล่มไหน? ผมไม่รู้จริงๆ และไม่ได้แกล้งอินโดเซ้น (น่าจะเป็น อินโนเซ้น ละมั้ง)

 

 

และจริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนที่มองโลกสวยไปเสียทุกเรื่องหรอก มิหนำซ้ำบ่อยครั้งยังมองโลกนี้มันเส็งเคร็งไปโน่นเลยเพราะอย่างน้อยมุมมองของผู้โพสต์กับอีกหลายๆ คนที่มองว่าผมเป็นเป็นนั่น เป็นนี่ และไม่ใช่อย่างที่เป็น มันคงไม่ทำให้ผมเป็นพวกมองโลกสวยไปได้หรอก

 

 

ส่วนที่ผู้โพสต์บอกว่า ผมมองวะฮฺฮาบียฺเป็นสะลัฟศอลิหฺนะ ช่วยลองหาไฟล์เสียงหรือวีดีโอสักคลิปนึงมาเตือนความจำของผมหน่อยจะได้มั้ยว่าผมเคยพูดว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นสะลัฟศอลิหฺ! วะฮฺฮาบียฺเป็นกลุ่มชนรุ่นใด เกิดขึ้นเมื่อใด และชาวสะลัฟศอลิหฺเป็นชนรุ่นใด ข้อนี้ผมคงไม่เขลาจนแยกไม่ออกหรอกว่าใครเป็นใคร?

 

 

แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมอาจจะเคยพูดผิดพลาดเอาไว้ก็เป็นได้ ช่วยหาไฟล์เสียงหรือข้อเขียนหรือคลิปวีดีโอก็ได้ เอาที่ชัดๆ นะแบบกำกวมไม่เอา ผมว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงผู้โพสต์กับพวกดอก เพราะตามล้างตามเช็ดผมอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว คนกันเอง หน้าเดิมๆ ไม่ใช่ใครอื่น จะเรียกว่า กลุ่มผู้ติดตามก็คงไม่ผิดดอก! ขอย้ำว่า! ข้อความหรือคำพูดที่ยืนยันว่าผมพูดหรือเขียนว่ากลุ่มวะฮฺฮาบียฺ เป็น สะลัฟศอลิหฺจริงๆ ต้องชัดเจนและไม่กำกวม!

 

 

ส่วนคำพูดหรือข้อความในทำนองว่า “กลุ่มวะฮฺฮาบียฺกล่าวว่ากลุ่มของตนดำเนินตามแนวทางของชนรุ่นสะลัฟศอลิหฺ หรือกลุ่มวะฮฺฮาบียฺสังกัดมัซฮับหัมบะลียฺ เป็นอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ” อะไรในทำนองนี้ ผมเคยพูดหรือเขียนไว้ ไม่ต่างจากที่ผมเคยพูดว่า กลุ่มอะชาอิเราะฮฺ, มาตุรีดียะฮฺ, วะฮฺฮาบียะฮฺ, อัศหาบุลหะดีษ และเฏาะรีเกาะฮฺศูฟียฺ เป็นกลุ่มในสังกัดอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺเหมือนกัน เพราะทุกกลุ่มต่างก็อ้างอย่างนั้น

 

 

ส่วนที่ว่ากลุ่มวะฮฺฮาบียฺ เป็น หรือ คือ สะลัฟศอลิหฺ (ชนุร่น 300 ปีแรก) ประเด็นนี้แหละที่ผู้โพสต์ต้องนำข้อเขียน ไฟล์เสียงหรือวีดีโอมายืนยันว่าผมมีมุมมองหรือเคยพูดหรือเขียนเอาไว้ อย่ายัดเยียดสิ่งที่ผมไม่เคยพูดหรือเขียนไว้มาเป็นข้อกล่าวหาลอยๆ

 

 

  • “ผมก็มิได้ฮูกมวาฮาบีย์ว่า เป็นกาเฟร แต่ผมแค่ถ่ายทอด คำพูดของปราชมุญตาฮิด ที่เขากล่าวเรื่องนี้เอาไว้ เช่นอีมาม อะหมัด บินหัมบัล ท่านกล่าวว่า ใครกล่าวว่าอัลลอฮ์เป็นรูปร่าง แต่ไม่เหมือนรูปร่างใด กาเฟร ….. อีมามชาฟีอีย์ ของเรา ยังกล่าวว่า ใครยึดถือว่าอัลลอฮ์ นั่ง ( สถิต) บนอารัช กาเฟร ..!!! อีมาม อัตตอหาวีย์ ก็ยังกล่าว ใครทียึดมั่นว่า อัลลอฮ์ มีขอบเขต มีทิศ ….. เป็นกาเฟร
  • “อีมามเขาตัดสินเรื่องนี้เอาไว้ แล้วเราแค่นำเสนอคำพูดของพวกเขา เพราะพวกเขาคือ ปราชญ์ ที่รอซีคูนา ฟิลอิลมีย์ พวกเขาไม่ตัดสินตามกีตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์ หรือ…??”

 

ไขความ

ข้อความในย่อหน้าสุดท้ายนั้นถูกต้องแน่นอน! และเป็นสิ่งที่ผมพูดอยู่เนืองๆ เวลาโต้กับพวกวะฮฺฮาบียฺและน่าจะพูดมาก่อนที่ผู้โพสต์จะนำมาใช้เสียอีก!

 

 

ส่วนที่ผู้โพสต์เขียนว่า “ผมก็ไม่ได้ฮูกมพวกวาฮาบีย์ว่าเป็นกาฟิรฺ” ก็ต้องถามกลับไปว่า แล้วผู้โพสต์ หุก่มพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นพวกใด ในเมื่อไม่ได้หุก่มเป็นกาฟิร พวกวะฮฺฮาบียฺเป็นมุสลิมใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่าไม่ใช่มุสลิม! แล้วจะหุก่มว่าเป็นพวกใดเล่า? หากตอบว่าเป็นกาฟิร นั่นก็แสดงว่าผู้โพสต์หุก่มแล้วว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิร แล้วจะเขียนออกตัวทำไมว่า “ผมก็ไม่ได้ฮุก่มวาฮาบีย์ว่าเป็นกาฟิร” เพราะมันขัดกันอย่างชัดเจน (ตะนากุฏ)

 

 

แต่ถ้าตอบว่า พวกวะฮฺฮาบียฺไม่เป็นกาฟิรฺ แล้วผู้โพสต์จะว่าอย่างไรกับคำพูดที่ผู้โพสต์อ้างว่าถ่ายทอดมาจากปราชญ์มุจญ์ตะฮิดแล้วก็ยืนยันว่า “อิมามเขาตัดสินเรื่องนี้เอาไว้แล้ว” ก็ในเมื่ออิมามเขาตัดสินเอาไว้แล้วว่า ใครกล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นรูปร่าง แต่ไม่เหมือนรูปร่างใด ผู้นั้นเป็นกาฟิร พวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่หรือที่กล่าวว่าอย่างนั้น ในตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่หรือที่เขียนไว้อย่างนั้น คำพูดเฎาะรูเราะฮฺของพวกเขาชี้ให้เห็นอย่างนั้นมิใช่หรือ?

 

 

ก็ในเมื่ออิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ของเราตัดสินแล้วว่า “ใครยึดถือว่าอัลลอฮฺนั่ง (สถิต) บนอะรัช ผู้นั้นเป็นกาฟิร” พวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่หรือที่กล่าวว่าอัลลอฮฺสถิตบนอะรัช อยู่ในฟ้าบ้าง อยู่ที่สูงบ้าง แบบหะกีกียะฮฺตามที่ผู้โพสต์เขียน หากพวกวะฮฺฮาบียฺกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมถูกตัดสินด้วยคำกล่าวของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ตามที่อ้างมาว่าเป็นกาฟิรฺแล้วมิใช่หรือ?

 

 

ผู้โพสต์จะออกตัวว่าไม่ได้หุก่มว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺได้อย่างไร? ในเมื่อท่านอิมามท่านตัดสินไว้แล้ว ท่านไม่ได้ตัดสินตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺกระนั้นหรือ? และในเมื่ออิมามอัฏ-เฏาะหาวียฺ (ร.ฮ.) กล่าวว่า “ใครที่ยึดมั่นว่า อัลลอฮฺมีขอบเขต มีทิศ ผู้นั้นเป็นกาฟิรฺ” ตามที่ผู้โพสต์อ้างมา พวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่หรือที่กล่าวว่า อัลลอฮฺอยู่ในฟ้า อยู่ที่สูงบ้าง เคลื่อนย้ายจากที่สูงลงที่ต่ำบ้าง

 

 

ในตำราของพวกเขาเขียนไว้อย่างนั้นมิใช่หรือ? แล้วทำไมผู้โพสต์จึงไม่ยอมตัดสินอย่างที่อิมามอัฏ-เฏาะหาวียฺ (ร.ฮ.) ได้ตัดสินเอาไว้ ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นเป็นอัร-รอสิคูน ฟิลอิลม์ เป็นปราชญ์มุจญ์ตะฮิดที่ตัดสินตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ ผู้โพสต์จะอ้างได้หรือว่าไม่ได้ฮุก่มพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิร ในเมื่อมีคำตัดสินตามกิตาบุลลฮฺและสุนนะฮฺของบรรดาอิมามที่ถูกออกชื่อมาไว้แล้ว

 

 

การอ้างว่าตนเพียงแค่ถ่ายทอดคำตัดสินของบรรดาอิมามที่กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ แล้วก็บอกว่า ตนไม่ได้หุก่มตามนั้น ถือว่าเป็นการขัดกับคำตัดสินของบรรดาอิมามใช่หรือไม่? ผู้โพสต์ใช้ตรรกะ (มันฏิก) อย่างไรกับเรื่องนี้ หรือว่าผู้โพสต์มองไม่เห็นความขัดแย้งในข้อเขียนของตน หรือว่าแกล้งอินโดเซ้นกันแน่!

 

 

โลกจะสวยหรือไม่สวยอยู่ที่มุมมองและทัศนคติของคน แต่สิ่งที่ไม่สวยเอาเสียเลยก็คือ ความขัดแย้งกันเองในมุมมองและทัศนคติของคนๆ เดียวกัน ผมว่าแทนที่ผู้โพสต์จะศึกษาตำราของพวกวะฮฺฮาบียฺ ผู้โพสต์น่าจะศึกษาเพิ่มเติมวิชาตรรกะวิทยา (มันฏิก) ของปราชญ์อะชาอิเราะฮฺที่เขียนไว้มากมายเอกอุในตำราของพวกท่าน ศึกษาแล้วจะได้จัดระบบความคิดไม่ให้คลาดเคลื่อนหรือเกิดความขัดแย้งกันเองเวลาพูดอะไรหรือเขียนอะไร?

 

 

อ้อ! ข้อความของผู้โพสต์ตอนนี้ก็เช่นกัน ผู้โพสต์น่าจะอ้างอิงที่มาของคำพูดที่อิมามทั้ง 3 ท่าน (เราะหิมะหุมุลลอฮฺ) ที่ผู้โพสต์หยิบยกและถ่ายทอดมาเป็นคำตัดสินพวกวะฮฺฮาบียฺว่าเป็นกาฟิรฺด้วย ระบุว่า

 

อิมามอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล (ร.ฮ.) ท่านกล่าวประโยคนั้นไว้ในตำราเล่าใด ใครเป็นผู้รายงาน

อิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ท่านกล่าวประโยคนั้นไว้ในตำราเล่มใด ใครเป็นผู้รายงานถ่ายทอดจากท่าน

อิมามอัฏ-เฏาะหาวียฺ (ร.ฮ.) ท่านกล่าวประโยคนั้นไว้ในตำราเล่มใด ใช่ตำราอะกีดะฮฺ เฏาะหาวียะฮฺหรือไม่? หรือเป็นตำราอรรถาธิบาย (ชัรหุล อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ) เล่มใดใครเป็นผู้อรรถาธิบาย ใช่เล่มที่พวกวะฮฺฮาบียฺชอบอ้างอิงหรือไม่?

 

 

ตำราอะกีดะฮฺอิมามอัฏ-เฏาะหาวียฺมีปราชญ์อะชาอิเราะฮฺและมาตุรีดียะฮฺอธิบายอยู่หลายท่าน อ้างอิงมาสักหน่อยก็จะดีมาก เพราะเป็นคำตัดสินว่าด้วยการหลงผิดและถึงขั้นเป็นกาฟิรฺ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะได้กระทำเบาความเอาเสียง่ายๆ เพราะจะกลายเป็นว่า ผู้โพสต์รายงานถ่ายทอดเอาเองโดยไม่มีสะนัด ไม่มีการอ้างอิงที่มา

 

 

โดยเฉพาะกรณีของอิมาอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) นั้น นักวิชาการอะชาอิเราะฮฺในบ้านเราบางท่านระบุว่า “และตำราในยุคก่อนที่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อรวบรวมอะกีดะฮฺของอิหม่ามชาฟิอียฺนั้น ไม่มีสะนัดที่ถูกต้องถึงอิหม่ามชาฟิอียฺหรือมีสะนัดที่ไม่ศอฮิหฺ ยิ่งกว่านั้นยังมีการกุเท็จเกี่ยวกับอะกีดะฮฺของอิหม่ามชาฟิอียฺตามที่อุละมาอฺได้ยืนยันเอาไว้”

 

 

ดังนั้นการอ้างของผู้โพสต์ถึงคำกล่าวของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ในเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องของอะกีดะฮฺอย่างแน่นอนจึงต้องระวัง เพราะนักวิชาการอะชาอิเราะฮฺท่านเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ตำราที่แต่งขึ้นมาเพื่อรวบรวมอะกีดะฮฺของอิมามอัช-ชาฟิอียฺนั้น ไม่มีสะนัดที่ถูกต้องถึงอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) หรือมีสะนัดที่ไม่เศาะฮีหฺ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการกุเท็จเกี่ยวกับอะกีดะฮฺของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ตามที่อุละมาอฺได้ยืนยันเอาไว้

 

 

เมื่อไม่มีสะนัดถึงอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) หรือมีสะนัดแต่ไม่เศาะฮีหฺ หรือแย่ถึงขั้นมีการกุเท็จถึงอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) ด้วยซ้ำ การที่ผู้โพสต์นำคำพูดของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ มาอ้างเป็นคำตัดสินพวกวะฮฺฮาบียฺว่าเป็นกาฟิรฺ จะเป็นที่วางใจได้อย่างไร? เพราะไม่มีสะนัดที่ถูกต้อง ซ้ำร้ายอาจจะเป็นการกุเท็จอีกด้วย! แล้วจะนำมาอ้างเป็นคำตัดสินชี้ขาดได้อย่างไรกัน?

 

 

  • “ประเด็นไปทำฮัจญ์ ที่อ.อาลีกล่าว ผมต้องเรียมถามอ.อาลีว่า มีชาราตและรูกนฮัญของใดบ้างที่เราต้องไปตามซาอุฯคับ หรือต้องตามวาฮาบีย์ ..!!!”

 

ไขความ

ก็คงต้องถามผู้โพสต์เสียก่อนว่าเคยไปทำหัจญ์หรืออุมเราะฮฺหรือยัง ถ้ายังก็คงอย่าไปดีกว่า!! เพราะทุกวันนี้พวกวะฮฺฮาบียฺครองเมืองมักกะฮฺและมะดีนะฮฺอยู่ และบรรดาอิมามทั้ง 3 ท่านก็ตัดสินแล้วตามที่ผู้โพสต์อ้างมาว่าเป็นกาฟิรฺ ถึงแม้ว่าผู้โพสต์จะออกตัวว่าไม่ได้หุก่มพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺ

 

 

เพราะเรื่องนี้ต้องถือตามคำตัดสินของอิมามมุจญ์ตะฮิดที่เป็นอัรฺ-ริสิคูน ฟิลอิลม์ ซึ่งตัดสินตามกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ อย่างที่ว่ามามิใช่หรือ? เมื่อพวกวะฮฺฮาบียฺถูกตัดสินว่าเป็นกาฟิรฺตามที่อ้างคำกล่าวของอิมามทั้งสามมา นั่นก็แสดงว่า ซาอุฯ เป็นดินแดนของพวกกาฟิรฺ (ดารุลกุฟร์) พวกกาฟิรฺตั้งกระทรวงกิจการหัจญ์และดูแลหุจญาจในทุกขั้นตอนของการประกอบพิธีหัจญ์ตั้งแต่ออกวีซ่าจนถึงหุจญาจเดินทางผ่าน ต.ม. ของซาอุฯ เพื่อกลับบ้าน

 

 

จะว่าไม่ต้องตามระเบียบและข้อกำหนดของพวกวะฮฺฮาบียฺที่เป็นกาฟิรฺไปแล้วตามคำตัดสินนั้นได้อย่างไร เมื่อมักกะฮฺและมะดีนะฮฺถูกพวกวะฮฺฮาบียฺที่เป็นกาฟิรฺยึดครองและปกครองแล้วจะไปซาอุฯ กันทำไม เพราะที่นั่นเป็นดินแดนกุฟร์ไม่ใช่ดินแดนของมุสลิมไปเสียแล้ว!

 

 

ละหมาดทุกเวลาที่อิมามวะฮฺฮาบียฺซึ่งเป็นกาฟิรฺนำละหมาดก็ใช้ไม่ได้เลยแม้แต่เวลาเดียว จะเป็นที่หะรอมทั้งสองหรือมัสญิดใดๆ ก็ตาม คนที่ไปทำอุมเราะฮฺและหัจญ์ไม่ได้นอนรอการประกอบพิธีหัจญ์เฉยๆ แต่พวกเขาจะไปละหมาดที่มัสญิดหะรอมทั้งสองซึ่งมีอิมามวะฮฺฮาบียฺเป็นผู้นำละหมาดญะมาอะฮฺและละหมาดวันศุกร์

 

 

ประเด็นที่ผู้โพสต์ถามผมว่ามีเงื่อนไข (ชัรฺฎ์) หรือรุก่นหัจญ์ข้อใดบ้างที่เราต้องไปตามซาอุฯ หรือต้องตามวะฮฺฮาบียฺ? ก็ตอบได้ว่า การกำหนดวันวุกุฟ ณ ทุ่งอะรอฟะฮฺให้หุจญ๊าจทำการวุกุฟในวันนั้น (วันอะเราะฟะฮฺ) เป็นสิ่งที่ศาลศาสนาสูงสุดของซาอุฯ เป็นผู้ประกาศ และหุจญาจที่เดินทางมาประกอบพิธีหัจญ์ในทุกๆ ปีต้องไปวุกุฟที่ทุ่งอะเราะฟะฮฺตามวันเวลาที่ถูกประกาศ

 

 

การวุกุฟทุ่งอะเราะฟะฮฺเป็นรุ่นก่นของการประกอบพิธีหัจญ์ที่สำคัญที่สุดเพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า ( الْحَجُّ عَرَفَة ) ใครที่เป็นผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ไม่ตามคำประกาศนั้นแล้ว ไปวุกุฟ ณ ทุ่งอะเราะฟะฮฺมในวันอื่นโดยพละการ ย่อมถือว่าผู้นั้นไม่ได้หัจญ์ในปีนั้น และจำเป็นต้องเกาะฏออฺการประกอบพิธีหัจญ์ในปีถัดไป

 

 

นี่ยังไม่นับรวมประเด็นอื่นๆ เช่น การกำหนดสถานที่ค้างแรมที่มินาโดยเฉพาะมินาญะดีดะฮฺ ที่พวกวะฮฺอาบียฺกำหนดว่าหุจญ๊าจประเทศใดอยู่ตรงไหน มักตับที่เท่าไหร่ มิหนำซ้ำยังกำหนดตารางเวลาในการขว้างเสาหินว่าจะขว้างเวลาใด จะว่าตามหรือต้องตามหรือไม่ก็คิดเอาดูเถิด!

เพราะโดยข้อเท็จจริงหุจญาจและมุอฺตะมิรฺต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กระทรวงกิจการหัจญ์ของซาอุฯ กำหนดและหุจญาจทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศซาอุฯ ล้วนแต่อยู่ภายใตการควบคุมดูและของทางการซาอุฯ นับตั้งแต่ขอวีซ่าจนกระทั่งจะเดินทางออกจากประเทศของเขาซึ่งเป็นประเทศที่พวกวะฮฺฮาบียฺปกครอง

 

 

การที่ผู้โพสต์ตั้งคำถามว่า มีเงื่อนไข (ชัรฏ์) หัจญ์ข้อใดที่ต้องตามซาอุฯ หรือวะฮฺฮาบียฺ คำตอบง่ายๆ ไม่ต้องถึงกับอ้างตำราฟิกฮฺเล่มใด ก็คือ ถ้าคุณต้องการจะไปทำหัจญ์แล้ววะฮฺฮาบียฺไม่ออกวีซ่าให้เข้าประเทศของเขา คุณก็ไปไม่ได้ จึงไม่ต้องไปถามว่า มีรุก่นหัจญ์ข้อใดที่เราต้องตามซาอุฯ หรือวะฮฺฮาบียฺ ในเมื่อเขาไม่ออกวีซ่าให้แก่คุณ การประกอบพิธีหัจญ์ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่มีการประกอบพิธีหัจญ์เกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องตั้งคำถามที่ว่ามานั้น

 

 

ครั้นหากได้วีซ่าแล้ว ก็ใช่ว่าคุณไม่ต้องทำตามระเบียบและข้อกำหนดของทางการซาอุฯ หรือวะฮฺฮาบียฺ เพราะถ้าคุณไปทำผิดระเบียบที่วะฮฺฮาบียฺกำหนดไว้ คุณก็อาจจะถูกจับและไม่ได้ทำหัจญ์เพราะถูกส่งตัวกลับประเทศ จึงไม่ต้องถามว่ามีชะรอฏหรือรุก่นหัจญ์ข้อไหนให้เราต้องตามซาอุฯ หรือต้องตามวะฮฺฮาบียฺ! เพราะโดยหลักฟิกฮฺอาจจะไม่มีระบุไว้ แต่โดยหลักของความเป็นจริง คนที่ไปทำหัจญ์และอุมเราะฮฺต้องตามวะฮฺฮาบียฺอยู่แล้ว เพราะวะฮฺฮาบียฺปกครองแผ่นดินนั้นอยู่! อธิบายและไขความนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจ ยังนึกไม่ออก ก็สุดแต่ผู้โพสต์เถิด!

 

 

  • “เรืองละหมาดในมัสยิดฮารอมแล้วตามอีมามที่เป็นวาฮบีย์ อันนี้มิใช้ภารกิจฮัจญ … และในทางฟิกฮ์ หากเราส่งสัยในตัวอีมามว่าเราจะตามเขาได้ไหม .. !! ฮูกมคือ ฮารามตามคับ เพราะไม่ยอมให้ทำอีบาดะฮ์ ในลักษณะที่มีความสงสัย ..”

 

ไขความ

แน่นอน! เรื่องการละหมาดในมัสญิดหะรอมมิใช่ภารกิจหัจญ์ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือคนที่ไปประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺต่างก็พยายามละหมาดในมัสญิดหะรอมทั้งสอง เพราะไปถึงที่มักกะฮฺ–มะดีนะฮฺทั้งทีแล้วไม่ไปละหมาดมัสญิดหะรอมทั้งสองคงไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมอย่างแน่นอน และคนที่ไปละหมาดที่มัสญิดหะรอมทั้งสองก็คงไม่มีผู้ใดมานึกถึงประเด็นที่ผู้โพสต์เขียนมาหรอก เพราะเขาต้องละหมาดกันอยู่แล้ว ทั้งที่การละหมาดมิใช่ภารกิจหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ

 

 

และถ้าผู้โพสต์จะย้อนกลับไปทบทวนคำตอบที่ผมเขียนไว้ก็จะเห็นว่า ผมไม่ได้ผูกเรื่องการละหมาดที่มัสญิดนั้นเป็นภารกิจหัจญ์โดยตรง แต่ผมได้เขียนถึงเรื่องการละหมาดหลังวะฮฺอาบียฺว่าใช้ได้หรือไม่ เพราะผู้ถามเขาถามถึงเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก

 

 

ส่วนกรณีเขียนถึงผลที่ตามมาเกี่ยวกับเรื่องการประกอบพิธีหัจญ์นั่นเป็นการเพิ่มเติมเพื่อชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจากคำตัดสินว่าพวกวะฮฺฮาบียฺ เป็นมุชับบิฮะฮฺและมุญัสสิมะฮฺซึ่งถือว่าเป็นกาฟิรฺไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่เรื่องการละหมาดเท่านั้น หากยังรวมถึงการประกอบพิธิหัจญ์และอุมเราะฮฺที่มีพวกวะฮฺฮาบียฺเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างที่สาธยายมาแล้ว

 

 

และผลกระทบยังรวมถึงการพิทักษ์รักษาดินแดนต้องห้าม ซึ่งไม่อนุญาตให้คนกาฟิรฺล่วงล้ำเข้าไปในเขตแผ่นดินต้องห้าม (ตาเนาะฮฺหะรอม) เพราะถ้าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺอย่างที่อ้างคำตัดสินของบรรดาอิมามทั้ง 3 ท่านเสียแล้ว เหตุไฉนมุสลิมทั่วโลกจึงปล่อยให้กาฟิรฺยึดครองมัสญิดหะรอมทั้ง 2 และปล่อยให้พวกวะฮฺฮาบียฺกาฟิรฺอาศัยอยู่ในแผ่นดินหวงห้ามโดยไม่มีการเรียกร้องและต่อสู้ญิฮาดเพื่อปลดแอกดินแดนนี้จากพวกวะฮฺอาบียฺที่เป็นกาฟิรฺ นิ่งเงียบกันอยู่ทำไม?

 

 

ดูเอาเถิด มัสญิดอักศอที่ถูกยิวยึดครอง มุสลิมทั่วโลกยังเรียกร้องและรณรงค์กันให้ต่อสู้กับยิวไซออนิสต์และปลดแอกมัสญิดอักศอ ทั้งๆ ที่แผ่นดินตรงนั้นมิใช่แผ่นดินหวงห้ามสำหรับคนต่างศาสนา แต่นี่เป็นนครมักกะฮฺ–มะดีนะฮฺ มีเขตหวงห้ามชัดเจนที่ศาสนากำหนดไว้มิให้กาฟิรฺล่วงล้ำเข้าไป แต่นี่วะฮฺฮาบียฺกลับอยู่กันเต็มบ้านเต็มเมืองและปกครองมัสญิดหะรอมทั้งสอง ปล่อยเอาไว้ได้ยังไง?

 

 

และถ้าพวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่มุสลิมแต่เป็นกาฟิรฺด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นพวกมุญัสสิมะฮฺและมุชับบิฮะฮฺ ตามที่ผู้โพสต์ว่า ผู้โพสต์กับพวกก็ควรประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ว่าประเทศซาอุฯ ที่มีพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นผู้ปกครองและอยู่กันเต็มบ้านเต็มเมืองเป็นดินแดนของพวกกาฟิรฺ (บิลาดุลกุฟร์) ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจะได้ญิฮาดกับพวกวะฮฺฮาบียฺกันเต็มที่! เพราะการฆ่าพวกวะฮฺฮาบียฺมีผลบุญแรงมิใช่หรือ? ผู้โพสต์เคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่? ลองทบทวนดู…

 

 

ยิวยึดครองมัสญิดอักศอพวกเรายังเรียกร้องให้ปลดแอก พวกวะฮฺอาบียฺมีอะกีดะฮฺความเชื่อเหมือนพวกยิวมิใช่หรือ? ได้ยินมาว่าอย่างนั้น! ก็ควรที่จะเรียกร้องให้ปลดแอกนครมักกะฮฺและมะดีนะฮฺเสียด้วย ผู้โพสต์กับพวกกล้าที่จะประกาศหรือไม่เล่า?

 

 

แต่ถ้าจะบอกว่า ประกาศไม่ได้ เพราะการญิฮาดต้องประกาศโดยผู้นำมุสลิม เอ้า! ไม่เป็นไร? ไม่ต้องประกาศญิฮาดก็ได้ เอาแค่ประกาศว่า พี่น้อง! พวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺ และดินแดนที่พวกวะฮฺฮาบียฺยึดครองอยู่ในเวลานี้เป็นดินแดนของพวกกาฟิรฺ! เอาแค่นี้ก็พอ กล้าประกาศหรือไม่! หากประกาศแล้วกลัวว่าผู้คนจะไม่เชื่อ ก็อ้างคำตัดสินของอิมามทั้ง 3 หรือท่านอื่นๆ มาประกอบด้วยก็คงจะดี!

 

 

อ้อ! เฉพาะท่านอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (ร.ฮ.) นั้น ต้องยกเว้นเอาไว้อย่านำมาอ้างเพราะคำพูดเกี่ยวกับอะกีดะฮฺของท่านไม่มีสะนัดที่ถูกต้อง เดี่ยวผู้คนจะว่าเอาได้!

 

 

ส่วนที่ผู้โพสต์เขียนว่า “และในทางฟิกฮ์ หากเราส่งสัยในตัวอีมามว่าเราจะตามเขาได้ไหม .. !! ฮูกมคือ ฮารามตามคับ เพราะไม่ยอมให้ทำอีบาดะฮ์ ในลักษณะที่มีความสงสัย ..” ประโยคที่โพสต์มานี้ ไม่ทราบว่าผู้โพสต์ต้องการนำมาวิภาษคำตอบของผมช่วงไหน? ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้เสียหน่อย

 

 

แต่ก็เอาเถิด ขอตั้งคำถามกลับไปยังผู้โพสต์ว่า  กรณีวะฮฺฮาบียฺเป็นอิมามนำละหมาดและมะอฺมูมที่ละหมาดตามหลังวะฮฺฮาบียฺ ไม่มีความสงสัยในตัวอิมามที่เป็นวะฮฺฮาบียฺนั้น โดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮฺ การละหมาดตามของมะอฺมูมนั้นใช้ได้ใช่หรือไม่?

 

 

หากตอบว่า ใช่ ใช้ได้! เพราะไม่สงสัยในตัวอิมาม ประเด็นที่ต้องถามต่อก็คือ เพราะอะไรมะอฺมูมจึงไม่สงสัยในตัวอิมามที่เป็นวะฮฺฮาบียฺ หากตอบว่า เพราะไม่รู้ถึงอะกีดะฮฺของอิมามที่เป็นวะฮฺฮาบีย์คนนั้นและเชื่อว่าวะฮฺฮาบียฺนั้นเป็นมุสลิม อีกทั้งศาสนาไม่ได้ใช้ให้เราต้องสอบสวนถึงอะกีดะฮฺของอิมามที่จะนำละหมาด โอเค! ข้อนี้ฟังได้

 

 

และประเด็นสำคัญที่ว่าละหมาดตามหลังได้เพราะอิมามเป็นมุสลิมโดยไม่มีข้อสงสัย แต่ถ้ามะอฺมูมรู้แน่ชัดว่าอิมามนั้นเป็นกาฟิรฺหรือเพียงแค่สงสัยว่าน่าจะเป็นกาฟิรฺ ในทางฟิกฮฺที่ผู้โพสต์ยกมา ก็ถือว่าหะรอมที่จะตามอิมามผู้นั้น เพราะศาสนาไม่ยอมให้ทำอิบาดะฮฺในสภาพที่มีความสงสัย แสดงว่าแค่หะรอมกระนั้นหรือ? หรือว่าละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ครับ? ผู้โพสต์ไม่ได้ชี้ชัดมา

 

 

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เมื่อวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺตามคำตัดสินที่ยกมา การละหมาดของวะฮฺฮาบียฺก็ใช้ไม่ได้ การละหมาดตามของมะอฺมูมที่ไม่ใช่วะฮฺฮาบียฺก็ใช้ไม่ได้ นี่แหละคือประเด็นสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นจากคำตัดสินว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺหรือเป็นพวกมุญัสสิมะฮฺ เพราะการมีความเชื่อในเรื่องตัจญ์สีมเป็นบิดอะฮฺมุกัฟฟิเราะฮฺ คือเป็นอุตริกรรมที่ทำให้ตกศาสนา ผมจึงได้ตอบเอาไว้ว่าใครเชื่อว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นเช่นนั้น ก็ละหมาดตามหลังวะฮฺฮาบียฺไม่ได้

 

 

ผลที่ตามมาก็คือ หากผู้ที่เชื่อเช่นนั้นหรือกล่าวหาว่าพวกวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺหรือไปอยู่มักกะฮฺ–มะดีนะฮฺไปละหมาดตามหลังอิมามมัสญิดหะรอมทั้ง 2 ซึ่งเป็นวะฮฺฮาบียฺ การละหมาดของคนที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร? คำตอบก็คือ ใช่ไม่ได้พร้อมกับหะรอมด้วย เพราะคนที่ว่านั้นละหมาดตามหลังอิมามที่ตนซึ่งเป็นมะอฺมูมมิได้มีความสงสัยอันใดว่าอิมามนั้นเป็นกาฟิรฺ หรือแค่สงสัยก็หะรอมแล้วอย่างที่ผู้โพสต์ว่ามา

 

 

ปัญหาจึงเป็นเรื่องของคนที่กล่าวหาหรือเชื่อว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺ ส่วนมะอฺมูมคนอื่นที่เขาเชื่อว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นมุสลิมไม่ใช่กาฟิรฺ และไม่มีความสงสัยอันใดเกี่ยวกับอะกีดะฮฺของวะฮฺฮาบียฺหรือไม่รู้จริงๆ แต่เชื่อโดยสนิทใจว่าอิมามที่ถูกตามนั้นเป็นมุสลิม การละหมาดของคนเหล่านี้ย่อมใช้ได้และไม่ใช่ปัญหาที่กำลังพูดถึง

 

 

คนที่จะเป็นปัญหาในเรื่องนี้ก็คือผู้โพสต์กับพวกนั่นแหละ เพราะตัดสินไปแล้วว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นกาฟิรฺตามที่อิมามระดับมุจญ์ตะฮิดได้กล่าวไว้ เหตุนั้นแล ผมจึงบอกถ้าคุณเชื่อเช่นนั้นก็อย่าไปมักกะฮฺและมะดีนะฮฺเลย เพราะไปแล้วต้องไปละหมาดที่มัสญิดหะรอมทั้งสอง ซึ่งก็ไม่พ้นต้องตามอิมามวะฮฺฮาบียฺอยู่ดี! ปัญหาจึงเป็นปัญหาของพวกคุณ ไม่ใช่ปัญหาของผมหรือคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความเชื่อเช่นนั้น!

 

 

  • “ส่วนนักเรียนที่ไปเรียที่นั้น ในยุคแรกๆ หลายคนในเมืองไทยที่ไปเรียนมหาลัยวาฮาบีย์ กลับมาแล้ว ต่อต้านวาฮาบีย์ และพวกเขาต่างวิภาคหลักการของวาฮาบีย์ อย่างรุ่นแรง อ.อาลี คงมองไม่เห็นคนเหล่านี้เช่นกัน …”

 

ไขความ

ไม่ใช่ว่าไม่เห็น เห็นเต็มตา ได้ยินสองหู เห็นแล้วก็ไม่สบายใจ เพราะอะไรรู้มั้ย? ไม่สบายใจที่ว่ากระเสือกกระสนดิ้นรนไปเรียนมหาวิทยาลัยวะฮาบียฺกันทำไม? เพราะวะฮฺฮาบียฺเป็นพวกเฏาะลาละฮฺหรือเป็นกาฟิรฺอย่างที่กลับมาโจมตีวิภาษนั่นแหละ ยิ่งโจมตี วะฮฺฮาบียฺรุนแรงมากเพียงใด ก็เท่ากับด่าทอตัวเอง ว่าทำไมหนอจึงถ่อไปเรียนของผิด ไปเอาศาสนาและความรู้จากพวกกาฟิรฺ การกลับมาแล้วต่อต้านวิภาษครูของตัวเองอย่างรุนแรงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี

 

 

ครั้นจะเถียงว่า ไม่ถือว่าอาจารย์วะฮฺฮาบียฺในมหาวิทยาลัยที่ไปเรียนเป็นอาจารย์ เป็นครูของตัวเอง ก็สมควรไปเผาชะฮาดะฮฺทิ้งเสีย และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกลับมาแล้วอ้างว่าเป็นบัณฑิตมหาวิทยาลัยนั่น มหาวิทยาลัยนี่ เพราะมหาวิทยาลัยที่ไปเรียนจบมาเป็นรังของวะฮฺฮาบียฺที่ตัวเองกลับมาแล้วต่อต้านและโจมตีอย่างรุนแรง

 

 

อย่างน้อยก็ได้ทุนเรียนจากพวกวะฮฺฮาบียฺ อยู่กินสบายเพราะเขาเลี้ยงดี ได้ตั๋วฟรี บินกลับบ้านสบายใจเฉิบ บางคนไม่ยอมเรียนให้จบ อยากอยู่เมืองวะฮฺฮาบียฺนานๆ จะได้กินทุนยาวๆ หรือประกอบอาชีพเสริม ยินดีและพอใจ เมื่อชาวบ้านเรียกขานว่าเป็นนักเรียนนอก เป็นนักเรียนมะดีนะฮฺ เป็นนักเรียนมักกะฮฺ ทั้งๆ ที่ไปเรียนอยู่นั้นเป็นการเรียนกับพวกวะฮฺฮาบียฺ

 

 

ครั้นเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็โจมตี ต่อต้านกลุ่มวะฮฺฮาบียฺ โจมตีของที่เคยเรียนมา ด่าว่าพวกที่เคยให้ข้าวให้น้ำและทุนเรียน ทำตัวอย่างนี้ผู้โพสต์กับพวกรับได้ใช่หรือไม่? ชื่นชมใช่มั๊ยถึงได้ยกมาอ้าง! คนที่มีพฤติกรมเช่นนี้เขาเรียกว่าอะไรล่ะ? ช่วยบอกที!

 

 

ที่ผมเขียนถึงนี้ผมไม่ได้มุ่งหมายถึงนักเรียนหรืออาจารย์ที่จบจากที่นั่นแล้วก็ไม่ได้ระรานใคร ไม่ได้โจมตีครูของตัวเอง ผมมุ่งหมายถึงกลุ่มคนที่ผู้โพสต์อ้างถึงนั่นแหละ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งที่จะมาวิภาษคำตอบของผม แต่กลับไปวิภาษคนเหล่านี้ที่ผู้โพสต์นำมาอ้าง!

 

 

คนที่จบจากที่นั่นไม่ได้เป็นวะฮฺฮาบียฺก็มีเยอะ และคนเหล่านี้ก็สำนึกในบุญคุณและภูมิใจในสถาบันของตน บางคนอาจจะมีทัศนะความเห็นที่ขัดแย้งกับวะฮฺฮาบียฺแต่ก็ไม่เคยหุก่มวะฮฺฮาบียฺว่าเป็นกาฟิรฺหรือเป็นพวกหลงผิด อาจารย์หรือผู้รู้เหล่านี้มีมากกว่าที่ผู้โพสต์นำมาอ้างเสียอีก แต่ผู้โพสต์คงมองไม่เห็นคนเหล่านี้เช่นกัน! ตาเนื้อไม่บอด แตาตาใจคงบอดสนิทถึงมองไม่เห็นความจริงข้อนี้!

 

 

การไม่เห็นด้วยหรือมีทัศนะต่างจากครูเป็นเรื่องที่ทำได้ และมีแบบที่ชนรุ่นสะลัฟได้ปฏิบัติเอาไว้ให้พวกเราได้ถือตาม แต่ลูกศิษย์ลูกหาจะต้องรักษาอะดับ (มารยาท) กับครูของตน หาไม่แล้วก็จะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ล้างครู! หากคนที่เคยเรียนกับครูในมหาวิทยาลัยวะฮฺฮาบียฺจนได้รับใบปริญญาซึ่งถือเป็นการอิญาซะฮฺกลับมายังภูมิลำเนาของตน แล้วรักษาอะดับตลอดจนคำนึงถึงศักดิ์และสิทธิแห่งความรู้ที่ตนได้ร่ำเรียนมา ความรู้ของผู้นั้นก็ย่อมมีบะเราะกะฮฺ และเป็นความรู้ที่ยังประโยชน์แม้ว่าจะมีความเห็นต่างและไม่ถือทัศนะของครูในบางเรื่อง นั่นก็ไม่แปลกและไม่ใช่เรื่องผิด เพราะครูก็คือครู มิใช่นบีที่เป็นมะอฺศูม

 

 

ดังนั้นหากผู้รู้ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยของวะฮฺฮาบียฺถือว่าวะฮฺฮาบียฺเป็นมุสลิมไม่ใช่กาฟิรฺ และรักษาอะดับที่ว่านี้ ก็ถือว่าผู้รู้นั้นเป็นศิษย์ที่รู้คุณและเป็นศิษย์มีครู แต่ถ้ากลับมาแล้วกล่าวหาโจมตีวะฮฺฮาบียฺซึ่งเป็นครูของตน จะรุนแรงหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องตอบคำถามดังนี้ให้ได้ คือ

 

 

1) ก่อนจะไปเรียนที่นั่น ไม่รู้ดอกหรือว่าพวกวะฮฺฮาบียฺมิใช่อะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ อย่างที่มีการโจมตีว่ากล่าวกันมานมนานแล้ว หากตอบว่า ไม่รู้ จึงหลงเข้าไปเรียนที่นั่น ตอบอย่างนี้ก็ต้องมีคำถามต่อเนื่องเกิดขึ้นอีก หากตอบว่ารู้อยู่แล้วว่าพวกวะฮฺฮาบียฺไม่ใช่อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ แต่เป็นพวกหลงผิด เป็นพวกมุญัสสิมะฮฺ ก็ต้องถามต่อว่า แล้วไปเรียนกับเขาทำไม? ผู้ถูกถามอาจจะตอบได้หลายอย่าง แต่ทุกคำตอบย่อมไม่พ้นการไปเรียนกับวะฮฺฮาบียฺอยู่ดี!

 

 

2) กรณีตอบว่า ไม่รู้แต่แรก จึงหลงเข้าไปเรียน เพราะได้ทุนและก็สบายได้ละหมาดมัสญิดหะรอม ฯลฯ ก็ต้องตอบให้ได้ว่า แล้วเพิ่งจะมารู้ตอนไหนละ? หากตอบว่า รู้ตอนที่ยังเรียนอยู่นั่นแหละ! ก็ถูกถามต่อได้ว่า ทำไม่ไม่เลิกเรียนนับตั้งแต่รู้นั้นเล่า เรียนของผิดอยู่อีกทำไม?

 

 

ผู้ถูกถามอาจจะตอบถึงเหตุผลหลายอย่าง แต่ทุกคำตอบย่อมไม่พ้นการไปเรียนกับวะฮฺฮาบียฺและหลอกกินทุนเขาอยู่ดี! หากตอบว่า รู้เมื่อตอนกลับมาแล้วที่เมืองไทย จึงตอบโต้และต่อต้านอย่างรุนแรง ก็ถูกถามต่อได้ว่า แล้วจะว่าอย่างไรกับความรู้ที่ผิดพลาดซึ่งร่ำเรียนมาตลอดหลายปีก่อนหน้านั้น เพราะเมื่อกลับมาเมืองไทยก็เป็นอาจารย์ที่มีใบปริญญาและได้รับอิญาซะฮฺจากคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยวะฮฺฮาบียฺแล้วจะได้รับความน่าเชื่อถือในวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาได้อย่างไร?

 

 

ดังนั้น ผู้ที่เคยไปเรียนในมหาวิทยาลัยวะฮฺฮาบียฺกลับมาแล้ว ต่อต้านวะฮฺฮาบียฺและวิภาษหลักการของวะฮฺฮาบียฺอย่างรุนแรงย่อมต้องถูกตั้งคำถามมากมายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า พวกเขาเคยนึกคิดที่จะตั้งคำถามเหล่านั้นกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินครูของตัวเองหรือไม่? และคนที่ชื่นชมและยกย่องพวกเขาเคยคิดที่จะตั้งคำถามเหล่านั้นกับบรรดานักวิชาการพวกนั้นหรือไม่? มองคนอื่นไม่เห็นนั้นยังไม่แปลก แต่มองตัวเองไม่ออกดูตัวเองไม่เห็นนี่สิแปลกยิ่งกว่า!

 

 

  • “อ. อาลีกล่าวว่า ท่านเรียน อียิป อัลอัซฮัร ชัยคุลอัซฮัรมิใชหรือ ที่ออกฟัตวา ใหม่ๆอยู่เลยว่า วาฮาบีย์ มิใชอะลุซซุนนะฮ์วัลญามาอะฮ์… !!!! นั้นหมายความว่า อัซฮารีย์ ไม่เอาและต่อต้าน อากีดะฮ์ วาฮาบีย์นี้ เหตุไฉน คนที่อ้างอัซฮารีย์ ต้องออกมาโอบกอดอากีดะฮ์วาฮาบีย์ ร่ำไปแบบ อ. อาลี เสือสมิง นี้”

 

ไขความ

ก็ผมเรียนที่อียิปต์ เรียนที่มหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัรฺ กรุงไคโรจริงๆ ชัยคุลอัซฮัรฺ อิมาม อักบัรฺ ดร.มุฮัมมัด สัยยิด ฏอนฏอวียฺ (ร.ฮ.) เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของผมที่สถาบันอัซ- ซะมาลิก ดร.อุมัร ฮาชิม ก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของผม ชัยคุลอัซฮัร ดร.อะหฺมัด ฏอยยิบ ที่ผู้โพสต์อ้างถึง (ถึงแม้ว่าจะไม่ออกชื่อก็ตาม) ผมก็เคยพบท่านเมื่อครั้งที่ท่านเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแล้วมาเยือนประเทศไทยและทานอาหารพร้อมกับท่านที่ร้านอาหารจันทร์เสี้ยว

 

 

การฟัตวาของท่านซึ่งจริงๆ แล้วเป็นบทสัมภาษณ์ถึงเรื่องวะฮฺฮาบียฺตักฟีรียฺและมุมมองที่มีต่อกลุ่มชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺถูกใช้เป็นเครื่องมือของพวกชีอะฮฺ รอฟิเฎาะฮฺในการโฆษณาชวนเชื่อไปแล้ว รู้หรือไม่? ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปอ่านดูในเวบไซด์ของพวกชีอะฮฺ คำพูดของชัยคุลอัซฮัรเป็นทัศนะและมุมมองของท่าน นั่นคือสิ่งที่เราได้อ่าน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือ บรรดาอุละมาอฺของอัล-อัซฮัรฺทั้งหมดเห็นด้วยหรือไม่

 

 

คนที่เรียนอัซฮัรฺโดยเฉพาะคณะอูศูลุดดีนย่อมรู้ว่าบรรดาคณาจารย์ที่สอนในคณะมีกลุ่มคณาจารย์ที่หลากหลาย มีทั้งสายหะดีษ, สะละฟียฺสายกลาง, สายปรัชญา, สายเฏาะรีเกาะฮฺ ศูฟียะฮฺ, สายอะชาอิเราะฮฺ–มาตุรีดียะฮฺ คนที่เรียนและเป็นนักศึกษาก็หลากหลายเช่นกัน ทั้งหมดอาจจะรับฟังคำพูดและคำวินิจฉัยของชัยคุลอัซฮัรฺ แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะเห็นด้วย

 

 

ไม่ต่างจากกรณีของชัยคฺ มะหฺมูด ซัลตู๊ต (ร.ฮ.) เมื่อ 50 ปีก่อนที่เคยออกฟัตวาเรื่อง ชีอะฮฺคือมัซฮับที่ 5 และอนุญาตให้ชาวอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺประกอบกิจอิบาดะฮฺได้ตามมัซฮับญะอฺฟะรียะฮฺของชีอะฮฺ ในครั้งนั้นมีอุละมาอฺอัซฮัรเป็นจำนวนมากไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดฟัตวาของชัยคฺ มะหฺมูด ชัลตู๊ต (ร.ฮ.) ก็ออกมาและกลายเป็นสิ่งที่พวกชีอะฮฺนำมาใช้โฆษณาชวนเชื่อ

 

 

ดังนั้น ผู้โพสต์ต้องสรุปคำพูดของชัยคุลอัซฮัร ดร.อะหฺมัด ฏอยยิบให้ถูกต้องเสียก่อนว่าท่านตัดสินพวกวะฮฺฮาบียฺตักฟีรียฺอย่างไร? ท่านกล่าวอย่างชัดเจนว่า มุสลิมด้วยกันไม่มีสิทธิไปตักฟีรฺมุสลิมคนอื่น ถึงแม้ว่าจะมีมัซฮับต่างกัน ตราบใดที่มุสลิมนั้นมีกะลีมะฮฺ ชะฮาดะฮฺ และหันหน้าไปทางกิบละฮฺขณะละหมาด ก็นี่ไง! คือสิ่งที่อัซฮะรียฺถือปฏิบัติ และผมก็มีจุดยืนอย่างที่ชัยคุลอัซฮัรฺท่านว่านี้

 

 

ประเด็นสุดท้ายที่ผมเขียนไว้ในคำตอบก็คือ “ผมเป็นนักเรียนอียิปต์จึงไม่ขอเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และอัล-อัซฮัรฺไม่ได้สอนให้ผมมาตักฟีรฺผู้ใด” มันคงไม่ผิดดอกถ้าผมจะมีจุดยืนในเรื่องนี้ คือไม่ตักฟีรฺหรือตัฏลีลกลุ่มใด ไม่ว่าจะเป็นวะฮฺฮาบียฺ, อะชาอิเราะฮฺ, มาตุรีดียะฮฺ, ฏุรุกศูฟียะฮฺ ดะอฺวะฮฺ, ญะมาอะฮฺตับลีฆ, อิควาน อัล-มุสลีมีน, คณะใหม่, คณะเก่า ทั้งๆ ที่ผมอาจจะมีความเห็นต่างกับทุกกลุ่มที่ว่านี้ในหลายๆ ประเด็นที่มีการกล่าวอ้างและกล่าวหากัน

 

 

ชัยคุลอัซฮัรฺท่านไม่เห็นด้วยกับการตักฟีรฺโดยเฉพาะกลุ่มวะฮฺฮาบียฺตักฟีรียฺที่เป็นต้นตอของกลุ่มไอซิสและกลุ่มสุดโต่งทั้งหลายที่สร้างความวุ่นวายอยู่ทั่วไปในโลกมุสลิม แนวทางของอัล-อัซฮัรฺที่ชัยคุลอัซฮัรฺประกาศไว้และมีการจัดสัมนาอยู่หลายครั้งคือ การยึดหลักอัล-วะสะฏียะฮฺ (ทางสายกลาง) และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมดำเนินตาม บรรดาลูกศิษย์อัซฮัรฺเป็นจำนวนมากก็ดำเนินตาม ในขณะที่บางส่วนไม่ถือตามแต่กลับโจมตีและต่อต้าน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกรณีของกลุ่มที่จบจากมหาวิทยาลัยวะฮฺฮาบียฺที่กลับมาเมืองไทยแล้วโจมตีต่อต้านพวกวะฮฺฮาบียฺอย่างรุนแรง

 

 

และการที่ผมเรียกร้องอยู่เนืองๆ ว่า อย่าได้ทำกันถึงขั้นนั้นเลย! เอาแค่เถียง วิภาษในเชิงวิชาการและหักล้างกันด้วยหลักฐานและเหตุผลก็คงเพียงพอแล้ว แน่นอนจุดยืนของผมอยู่ตรงนั้น ซึ่งแทบจะไม่มีที่ให้ยืนอยู่แล้ว ฝ่ายวะฮฺฮาบียฺในบ้านเราก็ตักฟีรฺ ฝ่ายอะชาอิเราะฮฺในบ้านเราก็ตักฟีรฺ จนกลายเป็นว่าทั้งสองกลุ่มกำลังเข้าข่ายเป็นพวกตักฟีรฺ พอผมไม่ตักฟีรฺอะชาอิเราะฮฺ พวกวะฮฺอาบียฺก็หาว่าผมโอบอุ้มอะกีดะฮฺอะชาอิเราะฮฺ พอผมไม่ตักฟีรฺวะฮฺฮาบียฺ กลุ่มอะชาอิเราะฮฺอย่างผู้โพสต์กับพวกก็หาว่าผมโอบอุ้มอะกีดะฮฺของพวกวะฮฺฮาบียฺ

 

 

และเมื่อผมไม่ตักฟีรฺทั้งสองฝ่าย มิหนำซ้ำยังพูดอีกว่าทั้งพวกวะฮฺฮาบียฺและอะชาอิเราะฮฺ–มาตุรีดียะฮฺ ตลอดจนกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺ รอฟิเฎาะฮฺ ถือเป็นอะฮฺลุสสุนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ก็หาว่าผมเหยียบเรือสองแคม ตีสองหน้า ลิ้นสองแฉก นกสองหัว ฯลฯ ก็โจมตีและกล่าวหาผมว่าเป็นเช่นนั้นอีก! เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แล…!! จริงๆ แล้ว ผมไม่ใช่คนสำคัญหรือน่าสนใจแต่อย่างใดเลย! แค่เด็กเมื่อวานซืน เกิดหลังน้ำท่วมมานี่เอง! แล้วจะเอาอะไรกันนักกันหนา? อาลี เสือ…

 

วัลลอฮุวะลัยุตเตาฟีก วัล-ฮิดายะฮฺ