ความแตกต่างของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับกรณีอิสราเอล-ปาเลสไตน
สืบเนื่องจากช่วงสนทนาในรายการโทรทัศน์ “สลามร่อมาฎอน” ซึ่งออกอากาศแพร่ภาพทางช่อง 5 โดย ศอ.บต. กระผมนายสันติ (อาลี) เสือสมิง ได้รับเชิญจากท่าน ผ.ศ.นิรันดร์ พันธรกิจ ผู้ดำเนินรายการให้พูดเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรากฏว่าหลังการแพร่ภายรายการดังกล่าว 2 คืนติดต่อกันมีคำตอบรับและการติชมจากผู้ชมทางบ้านอย่างหลากหลาย บ้างก็ชื่นชมและเห็นด้วยกับการวิเคราะห์และมุมมองต่อปัญหาของกระผม บ้างก็ติติงและวิจารณ์ในทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ เห็นด้วยในบางประเด็น และตั้งข้อสงสัยในบางประเด็น
เพื่อความเข้าใจอันดีและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระผม จำต้องอธิบายความเพื่อความกระจ่างและความเข้าใจต่อประเด็นเนื้อหาที่พูดสนทนากับผู้ดำเนินรายการในเวลาอันจำกัดนั้น ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่นำเสนอ เพราะได้อ่านบทความวิจารณ์ของพี่น้องบางท่านในเว็บไซด์ทางอินเตอร์เน็ต เช่น บทความของคุณอารีฟีน บินจิ ที่ลงบทความทางเว็บไซด์ของศูนย์ข่าวอิสราฯ พิจารณาคำวิจารณ์แล้วกระผมเห็นว่ามีอยู่หลายประเด็นที่ต้องแจกแจงให้กระจ่าง ดังนี้
1. คุณอารีฟีน บินจิ สรุปคำพูดของกระผมว่า “ท่าน (หมายถึงตัวกระผม) เห็นว่าชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเป็นเสมือนคนเป็น ”โรคมะเร็ง” หมายถึง พวกเขากำลังติดยึดอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเอง คือความเป็น ”ชนชาติมลายู” และพวกเขากำลังพยายามขุดคุ้ยเอาความขัดแย้งกับชนชาติสยาม เมื่อ 2-3 ร้อยปีมาแล้วมาเล่าสู่กันให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังคนไทย ครั้นเมื่อข้าราชการไทยเข้าไปสร้างเงื่อนไขและความอยุติธรรมขึ้นเท่ากับ ”อาหารแสลง” เข้าไปสู่ร่างกาย ทำให้อาการของโรคมะเร็งในหมู่ชาวมุสลิมภาคใต้กำเริบหนักขึ้น จนเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งที่รุนแรง สับสน วุ่นวาย ฆ่ากันตายมากขึ้น จนไม่รู้จักจบสิ้นเมื่อใด…”
ประเด็นข้อเท็จจริงก็คือ กระผมมิได้มีเจตนามุ่งหมายรวมถึงพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด แต่มุ่งหมายถึงพี่น้องบางกลุ่มหรือคนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ก่อการหรือผู้ที่คล้อยตามการปลุกเร้าสมางัตในเรื่องชาติพันธุ์ความเป็นมลายู จากคนที่มีความคิดสุดโต่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นทุนเดิม ซึ่งเปรียบได้ดั่งโรคมะเร็งที่พร้อมจะสำแดงอาการเสมอหากมีสิ่งกระตุ้นหรือที่เรียกว่า “ของแสลง” ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า “สารก่อมะเร็ง” กระผมมิได้กล่าวหาว่าพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมดเป็นโรคมะเร็งในเชิงเปรียบเปรยนั่น หากแต่หมายถึงคนบางกลุ่มที่พยายามปลุกสมางัตพี่น้องในพื้นที่ โดยเฉพาะหมู่เยาวชนคนหนุ่มสาวเท่านั้นต่างหาก
การที่คุณอารีฟีน บินจิ สรุปว่ากระผมพูดแบบเหมารวมนั้นถือว่าคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงซึ่งสามารถถอดเทปบันทึกรายการออกมาตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามการยึดมั่นต่ออัตลักษณ์ความเป็นมลายูชนแบบสุดเข้มข้น เน้นในชาติพันธุ์ (กะบังซออัน) ภาษาและวัฒนธรรมแบบมลายู ตลอดจนการนำเอาความเป็นมลายูหรือภาษามลายูไปผูกติดอยู่กับศาสนาอิสลามจนบางครั้งผู้คนส่วนหนึ่งในพื้นที่มีความเชื่อความเข้าใจว่า มลายูคืออิสลาม อิสลามคือมลายู ภาษามลายูคือภาษาอิสลามก็ยังคงมีปรากฏให้เห็นอยู่ในสังคมของพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือแม้แต่ในจังหวัดอื่นบางพื้นที่โดยเฉพาะในอดีตที่ผ่านมา
ข้อนี้ต้องขอยอมรับกันและพูดกันอย่างเปิดอก ส่วนนั่นจะเป็นผลข้างเคียงจนกลายเป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดโรคมะเร็งอย่างที่ว่าหรือไม่ ก็ต้องวิเคราะห์และตรึกตรองดู ตัวกระผมเองก็เป็นชาวมลายู ปู่ย่าตาทวด พ่อแม่พี่น้องก็ล้วนเป็นชาวมลายู ความเป็นมลายูโดยสายเลือดเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามีความเชื่อ ความเข้าใจของคนบางกลุ่มในหมู่พี่น้องมลายูมุสลิมว่า เราเป็นมลายูเรามิใช่คนไทย เพราะเราเป็นมลายูนี่เองเราจึงไม่ใช่คนไทย คนมลายู (ออแร นายู) คือ คนมุสลิม ส่วนคนไทย (ออแร สึแย) เป็นคนพุทธ ความเป็นมลายูจึงมิอาจเข้ากันได้กับความเป็นไทย ซึ่งหมายถึงพุทธนั่นเอง ความเข้าใจเช่นนี้เองที่กระผมพยายามอธิบายให้เห็นว่าเป็นความสับสน
แม้กระทั่งปราชญ์แห่งสยามประเทศอย่าง มรว.คึกฤทธ์ ปราโมช ก็ยังมีพูดไว้ต่างกันจนดูสับสน กล่าวคือ ท่านยืนยันว่า “ข้อกล่าวหาที่ว่ามุสลิมีนไม่ใช่คนไทย เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่จริงโดยสิ้นเชิง” (ประยูรศักดิ์ ชลายนเดชะ, มุสลิมในประเทศไทย, 2539 หน้า 24, 220, 221)
แต่ปรากฏในคำปราศรัยของท่านเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า “เรื่องของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องของคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา ขอให้ยอมรับความจริงในข้อนี้ แม้ในทางประวัติศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคนต่างเชื้อชาติเช่นกัน… การแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้คิดอย่างไรก็ไม่ออก เพราะเราหลอกว่าตัวเขาเองเป็นคนไทย… ขอให้ทุกคนยอมรับความจริงว่า เขาไม่ใช่คนไทย…” (รัตติยา สาและ , ปตานี ดารุสสลาม (มลายู-อิสลาม ปตานี) จากหนังสือ ”รัฐปัตตานี ในศรีวิชัยฯ” สำนักพิมพ์มติชน, 2547 หน้า 257)
คำพูดของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่พูดต่างกรรมต่างวาระเช่นนี้ย่อมถือว่าสับสนอยู่ในที เพราะคำว่า ”มุสลิมีน” นั้นมีนัยครอบคลุมถึงชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และชาวไทยมุสลิมในภาคส่วนอื่นซึ่งมีเชื้อสายมลายูเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบนและภาคกลาง ประเด็นของความสับสนดังกล่าวเกิดจากการนำเอาศัพท์ทางรัฐศาสตร์กับคำศัพท์ทางมานุษยวิทยาเอาไปปนกัน เพราะคำว่า “ไทย” หรือ “คนไทย” หมายถึงพลเมืองของประเทศไทยที่มีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้ ส่วนคำว่า “มลายู” นั้นหมายถึง ชาติพันธุ์หรือเชื้อสายอันเป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งในประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมตัวกันเป็นชาติหรือรัฐอยู่ภายใต้การปกครองและกฎหมายเดียวกัน พลเมืองในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ล้วนแต่มีสัญชาติไทยคือมีสถานะตามกฎหมายของบุคคลที่แสดงว่าเป็นพลเมืองหรือคนในบังคับของประเทศไทยแต่มีเชื้อสายมลายูหรือจีนหรืออินเดียหรือปาทานก็ว่ากันไป ทั้งนี้โดยไม่แบ่งแยกว่าจะนับถือศาสนาอะไร
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้แบ่งแยกเรื่องของศาสนาหรือชาติพันธุ์เพราะทุกวันนี้เราแทบจะหาคนไทย (คนไต) แท้ ๆ มิได้อีกแล้ว พลเมืองที่เป็นคนไทยในทุกวันนี้มีทั้งคนไทยเชื้อสายจีน, มลายู, มอญ (รามัญ), เขมร, ลาว, บังคลาเทศ, ปาทาน, อินเดีย, เปอร์เซีย, ฝรั่งผสมอยู่ในสายเลือดทั้งสิ้น และนี่คือ ลักษณะของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และศาสนาที่รวมตัวกันเป็นชาติ คนไทยหรือคนสยามแต่เดิม มิได้มุ่งหมายเฉพาะคนที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงคนที่นับถือศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกข์ ฮินดู-พราหมณ์หรือแม้แต่ขงจื้ออีกด้วย
ยกตัวอย่างได้ว่า ตัวกระผมนี้เป็นคนไทย เชื้อสายมลายู นับถืออิสลาม อยู่กรุงเทพฯ คุณอารีฟีนก็คือคนไทย เชื้อสายมลายู นับถือศาสนาอิสลามอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฮัจยีหมง เป็นคนไทย เชื้อสายจีนฮ้อ นับถือศาสนาอิสลาม อยู่จังหวัดเชียงใหม่ คุณฮาติม โมรา เป็นคนไทย เชื้อสายอินเดีย นับถือศาสนาอิสลาม บ้านอยู่จังหวัดยะลา คุณเกษม เป็นคนไทย เชื้อสาย จาม-เขมร นับถือศาสนาอิสลาม บ้านอยู่ที่ชุมชนบ้านครัว กรุงเทพฯ เป็นต้น กระผมยังได้อธิบายในรายการโทรทัศน์อีกด้วยว่า เรื่องของความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษานั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามให้การยอมรับทั้งนี้เพราะในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านได้ระบุว่า
แต่หลักคำสอนของอิสลามปฏิเสธความนิยมคลั่งไคล้ซึ่งเรียกว่า “ตะอัซฺซุบ” หรือ “อะซอบียะฮฺ” ไม่ว่าจะเป็นการนิยมคลั่งไคล้ต่อชาติพันธุ์ ชาติตระกูล สีผิว หรือหมู่คณะ ดังปรากฏในพระวจนะของ ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ที่ระบุว่า “ย่อมมิใช่ส่วนหนึ่งจากเรา บุคคลซึ่งเรียกร้องเชิญชวนสู่ความนิยมคลั่งไคล้ และย่อมมิใช่ส่วนหนึ่งจากเรา บุคคลซึ่งสู้รบ (รณรงค์) บนความนิยมคลั่งไคล้ และย่อมมิใช่ส่วนหนึ่งจากเรา บุคคลซึ่งเสียชีวิตบนความนิยมคลั่งไคล้” (บันทึกโดยมุสลิมและอบูดาวูด)
ดร.ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ กล่าวว่า : ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับชาวมุสลิมในการนิยมคลั่งไคล้ต่อสีผิวหนึ่งเหนืออีกสีผิวหนึ่งและนิยมคลั่งไคล้ต่อกลุ่มชนหนึ่งเหนืออีกกลุ่มชนหนึ่ง และนิยมคลั่งไคล้ต่อภูมิภาคหนึ่งเหนืออีกภูมิภาคหนึ่ง … แท้จริงทุก ๆ การเรียกร้องเชิญชวนระหว่างพี่น้องมุสลิมสู่ความนิยมคลั่งไคล้ต่อภูมิภาคนิยมหรือความนิยมคลั่งไคล้ต่อชาติพันธุ์ อันที่จริงการเรียกร้องนั้นเป็นการเรียกร้องแบบญาฮีลียะฮฺที่ศาสนาอิสลาม ศาสนทูตและคัมภีร์ของอิสลามไม่เกี่ยวข้องด้วย (ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์, อัลฮะลาล วัลฮะรอม, หน้า 237-238)
ดังนั้นการปลุกสมางัตผู้คนโดยอ้างชาติพันธุ์นิยมจนเลยเถิดย่อมถือเป็นสิ่งที่ค้านกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง และการต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์มลายูอย่างที่มีคนบางกลุ่มกำลังพยายามปลุกระดมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จนกระทั่งเลยเถิดไปทุกขั้นที่ว่า ดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนของมลายูชนเท่านั้น พวกสิแย (หรือสยามพุทธ) จำต้องออกไปจากดินแดนนี้ทั้งหมด จึงเข้าข่ายเป็นการนิยมคลั่งไคล้ที่ศาสนาอิสลามปฏิเสธโดยสิ้นเชิง นอกเหนือจากที่ว่า ดินแดนสามจังหวัดนี้มิใช่เขตแผ่นดินฮะรอมเฉกเช่นนครมักกะฮฺและมะดีนะฮฺ ไฉนจึงต้องขับไล่คนที่มิใช่มุสลิมออกไปด้วยโต๊ะครูในปอเนาะบางแห่งถึงกับกล่าวว่า “ให้บาบี (สุกร) เข้ามาในเขตที่ดินวะกัฟของโรงเรียนได้อย่างไร? คำว่า “บาบี” (สุกร) ในที่นี้หมายถึงข้าราชการทหารตำรวจที่เข้าไปพบปะพี่น้องมุสลิมในเขตของปอเนาะดังกล่าวนั่นเอง
ประเด็นที่ 2 คุณอารีฟีนระบุว่า “เราเคารพในความสามารถและความชาญฉลาดของท่าน (หมายถึงตัวกระผม) ที่ได้เปรียบเปรยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีเหตุมีผลอย่างยิ่ง และความคิดของท่านก็น่ารับฟังที่ว่า เราควรจะยอมรับในพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า (กอฎอ-กอดัร) ที่ทำให้มีเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นในอดีต ทำให้มีการอพยพโยกย้ายประชากรมุสลิมจากภาคใต้ไปยังที่อื่น ๆ เพื่อได้เผยแพร่ศาสนา และเราควรยอมรับในความเป็นไทยและอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐไทย (แต่โดยดุษฎี)
เรื่องพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ซึ่งเรียกว่า “อิรอดะตุลลอฮฺ” หรือ มะชีอะตุลลอฮฺ” นั้น เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) ซึ่งจำเป็นสำหรับชาวมุสลิมทุกคนที่จะต้องเชื่ออย่างเด็ดขาด สิ่งใดที่พระองค์อัลลอฮฺ ทรงมีพระประสงค์สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างเป็นไป และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงมีพระประสงค์สิ่งนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ พระประสงค์นี้เกี่ยวพันกับการกำหนดสภาวการณ์ หรือการลิขิตที่เรียกว่า กอฎอ-กอดัรซึ่งครอบคลุมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกิดขึ้นและเป็นไปนอกจากเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีพระประสงค์และลิขิตเอาไว้
ดังนั้นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต อาทิเช่น เหตุการณ์ที่สยามตีปัตตานีแตกแล้ว กวาดต้อนเทครัวชาวมลายูสู่กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ถึงแม้ว่ามนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ จะไม่ประสงค์ให้เกิดขึ้นก็ตามที แต่เราก็สามารถทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อเป็นบทเรียนและอนุสติเตือนใจสำหรับอนุชนรุ่นหลังได้ โดยเฉพาะมุมมองของเราซึ่งเป็นชนรุ่นหลังที่จำต้องสืบค้นว่าเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมานั้นมีวิทยปัญญา (ฮิกมะฮฺ) แฝงเร้นอยู่อย่างไร? กระผมไม่ได้พูดในรายการ “สลามร่อมาฎอน” ว่าให้เราลืมประวัติศาสตร์ หรือรากเหง้าของตนเองอย่างที่คุณอารีฟีนสรุปเอาเองว่า ”เช้าวันนั้น เราฟังแล้วเห็นด้วยกับท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ คือต้องยอมรับการปกครองของบ้านเมือง ไม่ว่าอดีตนั้นจะเป็นอย่างไร? ช่างมัน เรามาลืมประวัติศาสตร์ รากเหง้าของตนเองกันได้แล้วใช่หรือไม่?”
ก็ต้องชี้แจงว่า “ไม่ใช่” !! เพราะบุคคลจะมีปัจจุบันได้ก็ต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีต หากไม่มีอดีตก็ย่อมไม่มีปัจจุบัน แต่การจมปลักอยู่กับอดีตจนทำให้เราไร้ที่ยืน หรือปิดกั้นตนเอง ในสถานการณ์ปัจจุบันก็ย่อมเป็นการสูญเปล่าและไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเองเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ในภาวะปัจจุบัน ตัวกระผมเองก็ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ทั้งในส่วนของประวัติศาสตร์โลกอิสลามและประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประชาคมมุสลิมท้องถิ่น หนังสือ ”ขุนนางมุสลิมสยาม” ซึ่งรวบรวมบทบาทของชาวมุสลิมในสยามประเทศนับแต่ครั้งกรุงสุโขทัย, กรุงศรีอยุธยา, กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
ตลอดจนประวัติศาสตร์ของปัตตานีดารุสสลามซึ่งมีความคาบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทยย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า กระผมมีจุดยืนและทัศนคติต่อประวัติศาสตร์และรากเหง้าของชาวมุสลิมในสยามประเทศอย่างไร? นอกจากนี้ตัวกระผมก็เป็นครูสอนศาสนาในโรงเรียนซานาวีย์และตามสถาบันต่าง ๆ ของพี่น้องมุสลิมในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ส่วนหนึ่งจากวิชาที่ถ่ายทอดและสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาตลอดจนพี่น้องมุสลิมทั่วไปก็คือ วิชาภาษามลายู โดยถ่ายทอดความหมายและอรรถาธิบายบรรดาตำราที่ถูกเขียนด้วยภาษามลายู (ยาวี) เป็นภาษาไทย อาทิเช่น ตำราที่ชื่อว่า ”มัตละอุลบัดรอยน์” ของท่านเชคดาวูด อัลฟะฏอนี เป็นต้น การอนุรักษ์และสืบสานตำราภาษามลายูของนักปราชญ์ชาวฟะตอนีที่เป็นมรดกทางวิชาการสำหรับอนุชนรุ่นหลังย่อมเป็นสักขีพยานได้เป็นอย่างดีว่ากระผมลืมรากเหง้าของความเป็นมลายูชนหรือไม่?
ประเด็นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสยามกับปัตตานีซึ่งผมได้นำเสนอในรายการโทรทัศน์นั้นเป็นการเปิดมุมมองและการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีการเล่าสืบกันมาแบบมุขปาฐะ โดยนำเสนอว่า หากประวัติศาสตร์ในอดีตนั้นเป็นเรื่องที่ถูกระบุไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านและพระวจนะของท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ที่มีสายรายงานถูกต้องแล้วนั่นถือว่าเป็นสัจธรรมที่มิอาจปฎิเสธได้ ส่วนประวัติศาสตร์ที่อยู่นอกเหนือแหล่งที่มาทั้งสองและถูกเขียนขึ้นหรือถูกจดบันทึกโดยบุคคลผู้เป็นปุถุชน ย่อมเป็นสิ่งที่ปะปนกันไปทั้งเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ ยิ่งหากบุคคลที่จดบันทึกนั้นเป็นคนรุ่นหลังแล้วก็อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ไม่มากก็น้อย และบ่อยครั้งที่บุคคลซึ่งจดบันทึกนั้นอาจจะใส่ความเห็น ทัศนะ ความเชื่อ ความชอบหรือความชังเข้าไปในเนื้อหาของเหตุการณ์ในอดีตอีกด้วย
ดังนั้นประวัติศาสตร์ของสยาม-ปัตตานี ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ข้อมูลและข้อเท็จจริงได้ อีกทั้งยังสามารถนำเสนอแง่มุม ทั้งในเชิงลบและเชิงบวกได้ แต่การบอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์สยาม-ปัตตานีที่กลุ่มผู้คนบางส่วนได้นำมาใช้เป็นปัจจัยปลุกสมางัตพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มักจะเป็นในเชิงลบ กล่าวคือ พูดถึงความโหดร้ายทารุณที่สยามกระทำกับชาวปัตตานีดารุสสลามและหัวเมืองมลายู การเผามัสญิดกรือเซะ และพระราชวังของสุลต่าน การกวาดต้อนเชลยศึกด้วยการเจาะเอ็นร้อยหวายและการบังคับให้ขุดคลองแสนแสบอย่างทารุณกรรมจนเป็นที่มาของชื่อคลองว่าหมายถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เหล่าบรรพชนได้รับและที่สำคัญคือการสูญเสียเอกราชของปัตตานีดารุสสลาม ซึ่งถือเป็นภารกิจที่ชาวมลายูต้องนำเอากลับคืนโดยถือว่าจำต้องญิฮาดและผู้ที่สูญเสียชีวิตไปเพื่อการนั้นเป็นชะฮีด (มรณะสักขี)
นี่คือสิ่งที่ผู้คนบางส่วนพยายามปลุกสมางัตบรรดาพี่น้องและเหล่าเยาวชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคุณอารีฟีน คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีความพยายามเช่นนี้อยู่จริง ดังนั้นในช่วงเวลาอันจำกัดของรายการโทรทัศน์ข้างต้น กระผมได้พยายามชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ย่อมมีสองด้านเสมอ แต่ทำไมเราจึงพยายามพูดถึงประวัติศาสตร์แต่เพียงด้านเดียวและละวางจากการพูดถึงด้านดีของมัน อีกทั้งยังได้ย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นผ่านพ้นไปแล้ว เราย้อนเวลากลับคืนมิได้และบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำนั้นต่างก็ล้มหายตายจากและไปพบกับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำเอาไว้ในปรโลกแล้ว ในคัมภีร์อัลกุรอ่านได้ระบุว่า
ดังนั้นหากชาวสยามได้กระทำทารุณกรรมกับชาวมลายูในอดีตจริงนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องได้รับการตอบแทนจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างสาสมแต่ประเด็นอยู่ที่ว่า การทำสงครามศาสนาใช่หรือไม่? และมีการขับไล่ชาวมุสลิมออกจากดินแดนของพวกเขาหรือไม่? มีการกดขี่บังคับในเรื่องศาสนาต่อชาวมุสลิมหรือไม่? ข้อยืนยันประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ในการสงครามเมื่อครั้งอดีตเป็นการแผ่ขยายดินแดนและแผ่แสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นเรื่องของการเมืองการปกครองมากกว่าเป็นการทำสงครามศาสนา เพราะสยามก็ทำสงครามกับรัฐอื่นที่ถือในพุทธศาสนาเช่นเดียวกับตน อาทิเช่น อาณาจักรล้านนา, ล้านช้าง เขมรหรือแม้แต่เมืองนครศรีธรรมราช และเมื่อสยามทำสงครามกับหัวเมืองมลายูซึ่งเป็นดินแดนของชาวมุสลิมก็ต้องถามว่าสยามกดขี่บังคับชาวมลายูมุสลิมเหล่านั้นให้เข้ารีตในพุทธศาสนาหรือไม่?
สิ่งที่เราพบในข้อมูลทางประวัติศาสตร์ก็คือ สยามไม่เพียงแต่ไม่ก้าวก่ายในเรื่องของศาสนา แต่ยังได้แต่งตั้งผู้ปกครองซึ่งเป็นชาวมลายูมุสลิมให้ปกครองในฐานะหัวเมืองประเทศราช แต่เมื่อนโยบายเปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากแข็งเมืองของผู้นำหัวเมืองประเทศราชมลายูที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งจึงมีการแต่งตั้งผู้ปกครองที่มิใช่ชาวมลายูมุสลิมติดตามมา บรรดาผู้ปกครองเหล่านั้นคือผู้สูญเสียอำนาจ แต่ชาวมลายูมุสลิมในดินแดนที่เป็นพลเมืองเล่า พวกเขาสูญเสียอำนาจไปด้วยหรือไม่? และที่สำคัญพวกเขาสูญเสียดินแดนถิ่นเกิดที่ครอบครองกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ซึ่งสืบมาแต่ครั้งปู่ย่าตายายจวบจนทุกวันนี้หรือไม่? เพราะเมื่อสงครามสงบลงพวกเขาก็คืนถิ่นไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากมาตุภูมิของตน ส่วนเชลยศึกชาวมลายูที่ถูกกวาดต้อนเทครัวเอามาไว้ ณ กรุงเทพมหานครก็กลายเป็นผู้ถือครองที่ดินตลอดสองฝั่งของคลองแสนแสบและผืนนาในจังหวัดอื่น ๆ เช่น นนทบุรี, ปทุมธานี, ฉะเชิงเทรา, นครนายก, สมุทรปราการ, อยุธยา เป็นต้น จวบจนปัจจุบันมีชุมชนและมัสญิดเกิดขึ้นมากมายเฉพาะในกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นราชธานีของสยามมีมากถึง 175 แห่ง
นี่เป็นผลของสงครามในอดีต ซึ่งผมชี้ว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นด้านดีของมัน มุสลิมในถิ่นเดิมของปัตตานีดารุสสลามก็ยังคงอยู่อย่างมั่นคง และลูกหลานของชาวมลายูปัตตานีก็แตกลูกออกหลานขยายวงศ์วานว่านเครือในภาคกลาง ความเป็นมลายูทางภาษาอาจจะเจือจางลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่ศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมมลายูมุสลิมยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่ได้ถูกลิดรอนหรือถูกทำลายลงไปโดยชาวสยามแม้แต่น้อย ความเข้าใจเดิมที่กล่าวว่าชาวมลายูมุสลิมในภาคกลางถูกกลืนและหลงลืมอิสลามไปแล้วถือเป็นสิ่งไร้สาระ จริงอยู่พวกเขาอาจจะไม่ได้ใช้ภาษามลายูในการสื่อสารในชีวิตประจำวันเหมือนบรรพบุรุษแต่การศึกษาศาสนาที่มีนักวิชาการและผู้รู้ที่ชำนาญในภาษามลายูกิตาบก็ยังมีให้เห็นดาษดื่น อาจกล่าวได้ว่า ภาษามลายูที่เป็นภาษาทางวิชาการนั้นยังคงเป็นมรดกตกทอดสืบต่อมา อย่างน้อยกระผมคนหนึ่งที่มีเจตนารมณ์ในการสืบสานมรดกทางวิชาการด้านนี้
ย้อนกลับไปสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของสยาม-ปัตตานีอีกครั้ง การทำสงครามของสยาม-ปัตตานีในอดีตเกิดขึ้นจริง ข้อนี้ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ ต่อสมมติฐานที่ว่าสยามทำสงครามศาสนากับรัฐปัตตานีดารุสสลามซึ่งเป็นรัฐอิสลาม (ซึ่งจำต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของรัฐที่ปกครองด้วยระบอบอิสลามและกฎหมายอิสลามกับรัฐที่ปกครองโดยชาวมุสลิมแต่ใช้จารีตประเพณีมลายูโบราณไม่ได้ใช้ระบอบอิสลามเต็มรูปแบบด้วยเพราะมีผลในการกำหนดสถานภาพของรัฐอิสลามตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม) เมื่อมีการรุกรานรัฐอิสลามจากฝ่ายของชนต่างศาสนา การญิฮาดกับชนต่างศาสนาซึ่งถือเป็นกาฟิร ฮัรบีย์ (คือชนผู้ปฏิเสธที่เป็นคู่สงคราม) ก็อาจจะมีความสมเหตุสมผลตามหลักการทางนิติศาสตร์ แต่การญิฮาดในอิสลามมิได้หมายถึงการสู้รบเพื่อ คงอำนาจในการปกครองเอาไว้ หรือเพื่อสิ่งอื่นใด แต่หมายถึงการปกป้องอิสลามและเป็นไปเพื่อเทิดทูนศาสนาอิสลามให้สูงส่ง และไม่ได้หมายความว่าเป็นการสู้รบที่ไม่มีข้อยุติในภาวะสงคราม
หากแต่หลักนิติศาสตร์อิสลามได้กำหนดกระบวนการในการยุติสงครามเอาไว้ด้วย นั่นคือ การพ่ายแพ้ของศัตรู และการยอมรับอิสลาม หรือการทำสนธิสัญญาพักรบระหว่างสองฝ่ายและเมื่อมีการทำสนธิสัญญาพักรบแล้ว ฝ่ายศัตรูก็กลายสภาพเป็นกาฟิร มุอาฮัด (คือเป็นชนต่างศาสนิกที่เป็นคู่สัญญา) ตราบใดที่มีการรักษาเงื่อนไขในข้อตกลงตามสนธิสัญญาและไม่มีการละเมิดของฝ่ายศัตรู ฝ่ายมุสลิมก็จำต้องรักษาสนธิสัญญานั้นไว้โดยไม่มีการบิดพลิ้วถึงแม้ว่าเงื่อนไขของสัญญาจะทำให้ฝ่ายมุสลิมเสียเปรียบก็ตามดังกรณีการทำสนธิสัญญาพักรบ อัลฮุดัยบียะฮฺ ของท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กับฝ่ายมักกะฮฺในปีที่ 6 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช
สงครามสยาม-ปัตตานีเมื่อ 200 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสงครามระหว่างรัฐต่อรัฐนั้นยุติลงแล้วหรือยัง? หากตอบว่ายุติลงแล้ว ก็ต้องถามต่อไปว่า ยุติลงในรูปแบบใด? มีการทำข้อตกลงระหว่างตัวแทนของสองฝ่ายหลังสิ้นสุดสงครามหรือไม่? นี่คือ คำถามที่ต้องการคำตอบเพื่อกำหนดข้อชี้ขาดตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม หากตอบว่ายังไม่ยุติ! นั่นแสดงว่าการญิฮาดยังคงดำรงอยู่ตราบทุกวันนี้ใช่หรือไม่? หากตอบว่าใช่ ก็ต้องย้อนกลับไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับการญิฮาดว่าถูกบัญญัติขึ้นเพื่อสิ่งใด โปรดอย่าลืมว่า การญิฮาดตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้นถูกบัญญัติขึ้นเพื่อเป็นหลักค้ำประกันสิทธิเสรีภาพในด้านความเชื่อทางศาสนา การประกอบศาสนกิจ และการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอย่างเสรี
ปัจจัยเหตุที่เป็นสิ่งผลักดันให้มีการญิฮาดก็คือการละเมิดต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม และการชี้ขาดว่ามีการละเมิดหรือไม่นั้นเป็นดุลยพินิจของผู้นำประชาคมมุสลิมในแต่ละยุคแต่ละสมัย และจำต้องมีการประกาศญิฮาดอย่างเป็นทางการโดยผู้นำประชาคมมุสลิม ครั้นเมื่อมีการญิฮาดตามเงื่อนไขที่หลักศาสนบัญญัติกำหนดเอาไว้ก็มีกฎระเบียบและข้อห้ามที่ผู้ทำการญิฮาดจำต้องหลีกเลี่ยง อาทิเช่น การสังหารเด็ก, สตรี, คนชรา, พ่อค้า, ชาวนาชาวสวน, นักการศาสนาเช่นบาทหลวง พระ และแพทย์ที่ไม่มีส่วนในการทำสงคราม ตลอดจนการทำลายอาคารบ้านเรือน สาธารณูปโภค การตัดต้นไม้ในกรณีที่ไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายของมุสลิม เป็นต้น ทั้งหมด
ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มีข้อกำหนดตามหลักการของศาสนาอิสลามทั้งสิ้น การอ้างว่ามีการญิฮาดหรืออ้างว่าการก่อความไม่สงบในขณะนี้เป็นการญิฮาดจะอ้างลอย ๆ โดยไม่พิจารณาหลักการของศาสนาไม่ได้ อีกทั้งต้องนำข้อเท็จจริงเข้ามาประกอบในการพิจารณาด้วย กล่าวคือ ในดินแดนของสยามนับแต่ครั้งอดีตจวบจนกลายเป็นประเทศไทยในทุกวันนี้มีการกีดกันสิทธิเสรีภาพในการถือศาสนา การประกอบศาสนกิจ และการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอย่างเสรีหรือไม่? หากเราพิจารณาอย่างเป็นธรรมและไม่มีอคติแล้วเราก็จะพบว่าในดินแดนนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิเสรีภาพในเรื่องศาสนาเท่านั้นแต่ยังสนับสนุนและให้การอุปถัมภ์เป็นอย่างดี หากจะกล่าวว่าดีกว่าในประเทศมุสลิมบางประเทศเสียอีกก็คงไม่ผิด นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทยต่างก็มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศนี้ เป็นพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศมีสิทธิและหน้าที่ต่อบ้านเมืองไม่ได้น้อยหน้ากลุ่มชนอื่น มุสลิมในอดีตเป็นขุนนางในราชสำนักที่มีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นมุสลิมเชื้อสายมลายู, จาม, มัวร์, เปอร์เซีย, อินเดีย ฯลฯ
แม้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ชาวมุสลิมก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงนั้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ปกครองในทุกระดับชั้นนับตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต. อบจ. สมาชิกสภาทั้งสภาล่าง สภาบน, ปลัดกระทรวง, ประธานรัฐสภา, รัฐมนตรีว่าการ หรือแม้กระทั่งรองนายกรัฐมนตรี หรือผู้บัญชาการกองทัพบกซึ่งมีกำลังพลมากที่สุด จนถึงประธาน คมช.
ดังนั้นคำกล่าวของคุณอารีฟีนที่ระบุว่า “และเราควรยอมรับในความเป็นไทยและอยู่ภายใต้การปกครองของ รัฐไทย (โดยดุษฎี)” นั้นเป็นการกล่าวในเชิงประชดประชันมากกว่าจะเป็นการยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าความเป็นไทยอย่างมุสลิมไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะประเทศไทยเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเรา เราไม่ใช่คนกัมพูชาหรือคนเวียดนาม แต่เราเป็นเจ้าของประเทศ มีที่ดินทำกินเป็นกรรมสิทธิ์ของเราเอง มีสำมะโนครัว มีบัตรประชาชนและมีสิทธิเสรีภาพในการถือศาสนา มีพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกิจการทางศาสนาของเราเอง และรัฐธรรมนูญของประเทศนี้ก็คุ้มครองพวกเรา คนที่มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญก็มีชาวมุสลิมร่วมอยู่ ส.ส. และ ส.ว. ที่ผ่านร่างกฎหมายในการปกครองประเทศก็มีชาวมุสลิมร่วมอยู่
ดังนั้นต้องเรียกว่าเราชาวมุสลิมในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง แต่เราต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง ไม่ใช่อยู่เหนือกฎหมาย การใช้สำนวนว่า “และอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐไทย (โดยดุษฎี)“ เป็นการใช้สำนวนที่ส่อในความหมายว่า เราถูกกดขี่ ถูกปกครองโดยรัฐไทยแต่ฝ่ายเดียว จนดูเหมือนว่าเราไม่มีสิทธิไม่มีศักดิ์ศรีใดๆ ในฐานะเจ้าของประเทศ ซึ่งค้านกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมา และคำในวงเล็บ (โดยดุษฎี) ซึ่งคุณอารีฟีนอาจจะหมายถึง การยอมรับโดยศิโรราบ ไม่คัดค้าน ไม่ทัดทานนั้นก็หาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะคราใดที่มีการกำหนดนโยบายของรัฐหรือการออกกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการถือศาสนา ชาวมุสลิมก็จะไม่ วางเฉยและจะเรียกร้องต่อสู้เสมอเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพนั้น จนบางครั้งดูเหมือนว่าชาวมุสลิมจะเรียกร้องมากกว่าชนกลุ่มอื่นเสียด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วคำว่า “ดุษฎี” หมายถึงความยินดี หรือความชื่นชมมิได้หมายถึงการยอมจำนนแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 3 คุณอารีฟีนระบุถึง การสนทนาของซัยยิด สุลัยมาน อัลฮุซัยน์ กับคุณอุสมาน ลูกหยี ในวันถัดมาทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ โดยวิทยากรทั้งสองสนทนาเกี่ยวกับ “วันแห่งอัลกุดส์” และปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ซึ่งมีเนื้อหาที่คุณอารีฟีนสรุปมาเกือบ 2 หน้า และกล่าวว่า : “มันเป็นภาพที่ขัดแย้งกับอาจารย์สันติ เสือสมิง กล่าวไว้ข้างต้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
ก็ต้องขอแจกแจงกับคุณอารีฟีนว่า แน่นอน! หากคุณอารีฟีนนำเอาเรื่อง 2 เรื่องคือเรื่องของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับเรื่องของอิสราเอล-ปาเลสไตน์มาเทียบเคียงกัน มันก็ต้องขัดแย้งกันจากหน้ามือเป็นหลังมืออยู่แล้ว เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน การเทียบเคียงแบบนี้ในหลักมูลฐานของนิติศาสตร์อิสลามเรียกว่า “กิยาสฺ มะอัล ฟาริก” (การเทียบเคียงทั้งที่มีข้อแตกต่าง) ถือเป็น “กิยาสฺ ฟาซิด” (การเทียบเคียงที่ใช้ไม่ได้)
ทั้งนี้เพราะกรณีของอิสราเอล-ปาเลสไตน์นั้นมีรายละเอียด ดังเช่นที่วิทยากรทั้งสองท่านได้กล่าวมา ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย ไม่ได้มีทัศนะขัดแย้งแต่อย่างใด ตัวกระผมเองก็ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวความเป็นมาของชาวยิว การจัดตั้งองค์กรไซออนิสต์สากล และการยึดครองปาเลสไตน์ของอิสราเอลมามากพอควร อีกทั้งยังได้บรรยายเรื่องราวดังกล่าวในสังคมมุสลิมมาโดยตลอด และล่าสุดก็ได้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์นครอัลกุดสและมัสญิดอัลอักศอ ซึ่งทางสำนักพิมพ์ศูนย์หนังสืออิสลาม กรุงเทพฯ จะวางจำหน่ายในช่วงงาน เมาลิดกลางปีนี้ (2550) อินชาอัลลอฮฺ นอกจากนี้ผมเองยังได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนนครอัลกุดส์ และละหมาดในมัสญิดอัลอักศอมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อนดังรายละเอียดในคำนำของหนังสือดังกล่าว กระผมจึงมิใช่ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้แต่เพียงอาศัยตำรับตำราเท่านั้น แต่ยังได้ไปพบเห็นถึงสถานที่จริงด้วยตาอีกด้วย ซึ่งนั่นถือเป็นพระกรุณาของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) โดยแท้ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
ชาวปาเลสไตน์ในดินแดนของตนเป็นชนชาติที่ลงหลักปักฐานและสร้างบ้านแปงเมืองมาก่อน การเข้ามาของศาสดาอิบรอฮีม (อ.ล.) นับพันปี และพวกเขาก็ยังคงอยู่ ณ ที่นั่นตราบจนทุกวันนี้ แม้กระทั่งที่ชาวยิวหลังยุคท่านศาสดามูซา (อ.ล.) จะได้ยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ (คะนาอัน) บางส่วนและมีการสถาปนาอาณาจักรอิสราเอลและอาณาจักรยูดายขึ้นในเวลาต่อมา ชาวปาเลสไตน์ก็ยังคงต่อสู้กับชาวยิวมาโดยตลอด เมื่อชาวยิวหมดสิ้นอาณาจักรของตนและแตกกระซ่านกระเซ็นไปยังดินแดนอื่น ชาวปาเลสไตน์ ก็ยังคงอยู่ต่อมา จนกระทั่งผ่านยุคของอิสลาม ชาวปาเลสไตน์ซึ่งมีเชื้อสายอาหรับเซมิติกเช่นเดียวกับชาวอาหรับในคาบสมุทรอารเบียก็ถูกปลดแอกจากพวกโรมันไบแซนไทน์ และเข้ารับอิสลามนับแต่นั้น
จวบจนถึงปลายสมัยอาณาจักรออตโตมันเติร์ก (อุษมานียะฮฺ) ในรัชสมัยสุลต่านอับดุลฮะมีด ข่านที่ 2 กลุ่มยิวไซออนิสต์สากลโดยมีธิออดอร์ เฮิร์ตเซล เป็นผู้นำก็เริ่มดำเนินการแผนการ “การกลับคืนสู่แผ่นดิน แห่งพันธสัญญา” ของพวกตน โดยอ้างเรื่องราวของประวัติศาสตร์จากคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า เพื่อมาสนับสนุนความชอบธรรมในการยึดครองปาเลสไตน์และนครอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) ของพวกตน สอดคล้องกับที่ ท่านซัยยิดสุลัยมาน อัลฮุซัยนี ได้นำเสนอในบทสนทนาดังกล่าว คุณอารีฟีนอาจจะเข้าใจว่ากรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือรัฐปัตตานีเดิมเหมือนกับกรณีของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในประเด็นของการยึดครองและการสูญเสียเอกราช ซึ่งก็อาจจะมองและวิเคราะห์เช่นนั้นได้ แต่การยึดครองปัตตานีดารุสสลามของสยามเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้วเป็นการทำสงครามตามจารีตโบราณซึ่งนิยมกระทำกันในสมัยอดีตซึ่งเป็นการผนวกเอาดินแดนเข้ามาเป็นหัวเมืองประเทศราชแล้วให้ปกครองกันเองโดยที่สยามไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของหัวเมืองประเทศราช และมีการส่งเครื่องบรรณาการเป็นดอกไม้เงินดอกไม้ทอง (บุหงามัศ) เพื่อแสดงความสวามิภักดิ์เท่านั้น
ครั้นเมื่อความเป็นชาติเดียวกันถูกสถาปนาขึ้นในภายหลัง ผู้คนในดินแดนของหัวเมืองมลายูเดิมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองในชาติไปในที่สุด ส่วนกรณีของอิสราเอลนั้นพวกยิวไซออนิสต์ได้อาศัยชาติมหาอำนาจในเวลานั้นคือ อังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในการนำเอาชาวยิว อพยพเข้ามาในดินแดนปาเลสไตน์เป็นจำนวนมากหลายระลอก มีการกว้านซื้อที่ดิน มีการสร้างคิบบุตช์หรือนิคมชาวยิวแล้วนำไปสู่การจัดตั้งกองกำลังของชาวยิวที่ ติดอาวุธโดยมีอังกฤษหนุนหลังแล้วก็ประกาศตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในดินแดนของปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์และชาติอาหรับจึงต้องประกาศสงครามกับอิสราเอล แต่แล้วอิสราเอลซึ่งมีความได้เปรียบในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่าชาวอาหรับก็สามารถกำชัยชนะแล้ว เข้ายึดครองนครอัลกุดส์และมัสญิดอัลอักศอได้ในที่สุดชาวปาเลสไตน์สูญเสียดินแดนเพราะถูกพวกยิวและมหาอำนาจรวมหัวกันปล้นชิงไปอย่างหน้าด้านๆ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาวปาเลสไตน์ต้องสูญเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากด้วยน้ำมือของชาวยิว มีการยึดครองที่ดินทำกินของชาวปาเลสไตน์ ทำลายบ้านเรือน มีการยึดครองมัสญิดของชาวมุสลิมที่ตั้งอยู่ในเขตของชาวยิว มัสญิดอัลอักศอถูกยึดครอง มุสลิมถูกกีดกันจากการประกอบศาสนกิจในมัสญิดอัลอักศอ มีการสร้างแนวกำแพงระหว่างเขตอัลกุดส์กับเมืองอื่นที่มีชาวปาเลสไตน์เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ และชาวปาเลสไตน์ถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายทารุณในเหตุการณ์อินติฟาเฎาะฮฺ และอีกหลายครั้ง ชาวปาเลสไตน์นับล้านคนต้องกลายเป็นผู้ไร้ดินแดนและอยู่ในค่ายอพยพของอียิปต์, จอร์แดน, ซีเรียและเลบานอน
ชาวยิวไม่เพียงแต่ยึดครองดินแดนของชาวปาเลสไตน์และมัสญิดอัลอักศอเท่านั้นแต่ยังได้บ่อนทำลายความเป็นอิสลามของชาวปาเลสไตน์อีกด้วย หากเราจะสาธยายถึงความลำบากยากเข็ญและชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ตลอดจนการสร้างความเสียหายของชาวยิวที่ยึดครองแล้ว ก็คงต้องแต่งหนังสือขึ้นมาหลายเล่มทีเดียวย้อนกลับมายังกรณีของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องถาม คุณอารีฟีนว่า สยามกระทำกับพลเมืองมลายูมุสลิมเหมือนอย่างที่ชาวยิวอิสราเอลได้กระทำกับชาวปาเลสไตน์หรือไม่? มีการขับไล่ชาวมลายูออกจากดินแดนของตนหรือไม่ มีการยึดครองที่ดินทำกิน ทำลายบ้านเรือน ยึดครองมัสญิดและห้ามชาวมุสลิมประกอบศาสนกิจหรือไม่? และอีกหลายคำถามเพื่อเทียบเคียงกับกรณีของปาเลสไตน์ซึ่งถ้าผลของคำถามออกมาว่าเหมือนหรือใช่! ก็ต้องบอกกับคุณอารีฟีนว่า เราต้องญิฮาดกันแล้วแหล่ะ เพราะคำตอบมันยืนยันว่ามีการละเมิดต่อศาสนาอิสลามและสิทธิเสรีภาพของชาวมุสลิมในทุกประตู แต่ถ้าตอบว่า ไม่เหมือน! หรือเหมือนในบางประเด็นเท่านั้นก็ต้องว่ากันไปตามหลักการและข้อเท็จจริง
สำหรับคำถามที่ว่า “เหตุใด ชาวอาหรับจึงต้องต่อสู้กับชาวอิสราเอลผู้ยึดครองตั้ง 50 ปี ตายแล้วเป็นล้านคน? ทำไมชาวอาหรับจึงไม่ยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลอิสราเอล เมื่อรัฐบาลอิสราเอลยื่นมือขอประนีประนอม เพื่อขออยู่ร่วมกันโดยสันติ?” ก็ต้องขอชี้แจงว่า เพราะนั่นเป็นการญิฮาดเพื่อปกป้องอิสลามและดินแดนของชาวมุสลิมซึ่งถูกอิสราเอลรุกรานและปล้นชิงไป รัฐบาลอิสราเอลคือศัตรูของอิสลามและชาวมุสลิม มืออันสกปรกของยิวอิสราเอลที่ชุ่มไปด้วยโลหิตของพี่น้องชาวปาเลสไตน์ที่ยื่นมาขอประนีประนอมกับชาวอาหรับนั้นเป็นมือของผู้สับปลับหน้าไหว้หลังหลอก อิสราเอลไม่เคยปรารถนาความสันติอันใดเพราะพวกเขาคือผู้บ่อนทำลายบนหน้าผืนแผ่นดิน และต้องขอยืนยันกับคุณอารีฟีนว่า นี่คือพระประสงค์ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ทรงกำหนดให้ดินแดนนี้ (ปาเลสไตน์) เป็นดินแดนแห่งการญิฮาด และท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็ทรงประกาศเอาไว้แล้วว่า ก่อนวันสิ้นโลกชาวมุสลิมจะทำสงครามใหญ่กับเหล่าชาวยิว และสงครามนั้นจะเกิดขึ้น ณ ดินแดนนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่า “ชาม” นี่คือคำตอบ
ต่อคำถามที่ว่า ทำไมชาวอาหรับและกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ เช่น ฮิสบุลเลาะฮฺ และฮามาส จึงยังคงต่อสู้กับอิสราเอลจวบจนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของกลุ่มต่างๆ ในปาเลสไตน์ทุกวันนี้จะยังไม่มีทางสัมฤทธิผล ตราบใดที่พวกเขายังคงต่อสู้กันเพื่ออำนาจของกลุ่ม พวกเขาจะสัมฤทธิผลก็ต่อเมื่อการต่อสู้ของพวกเขาเป็นการญิฮาด เพื่ออิสลามและเทิดทูนพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าให้สูงส่งเท่านั้น
ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านได้ระบุว่า “พระองค์อัลลอฮฺไม่ทรงห้ามสูเจ้าทั้งหลายจากบรรดาผู้ซึ่งพวกเขาไม่ได้สู้รบกับสูเจ้าทั้งหลายในทางศาสนาและไม่ได้ขับสูเจ้าทั้งหลายออกจากบ้านเรือนของสูเจ้าทั้งหลายซึ่งการที่สูเจ้าทั้งหลายจะกระทำดีกับพวกเขาและให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงโปรดปรานบรรดาผู้ดำรงความยุติธรรม อันที่จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงห้ามสูเจ้าทั้งหลายจากบรรดาผู้ซึ่งพวกเขาสู้รบกับสูเจ้าทั้งหลายในด้านศาสนา และขับพวกสูเจ้าออกจากบ้านเรือนของสูเจ้าทั้งหลายอีกทั้งสำแดงอย่างเปิดเผยต่อการสนับสนุนให้ขับไล่พวกเจ้าซึ่งการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขา และผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้นคือผู้อธรรม” (อัลมุมตะฮินะฮฺ 8-9)
หากเราได้พิจารณาถึงนับของโองการทั้ง 2 นี้เราจะพบว่ามีเงื่อนไขอยู่ 3 ประการที่เป็นเหตุของการบัญญัติห้ามในการผูกมิตรกับชนต่างศาสนา กล่าวคือ
1)มีการสู้รบหรือต่อต้านชาวมุสลิมเนื่องด้วยเหตุ ของศาสนาและความเชื่อ
2)มีการขับไล่ชาวมุสลิมออกจากบ้านเกิดเมืองนอน
3)แสดงออกอย่างเปิดเผยในการสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือในการขับไล่ชาวมุสลิมออกจากดินแดนของตน
เงื่อนไขทั้ง 3 ประการนี้ มีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในกรณีของอิสราเอลที่ได้กระทำกับชาวมุสลิมปาเลสไตน์ จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำให้ชาวมุสลิมผูกมิตรและยอมจำนนต่อรัฐบาลอิสราเอลและพวกยิวไซออนิสต์ได้ทั้งนี้เพราะพวกยิวไซออนิสต์ และรัฐบาลของอิสราเอลได้รุกรานและมุ่งทำลายศาสนาอิสลามทุกวิถีทาง และขับไล่ประชาชนชาวปาเลสไตน์และยึดครองที่ดินทำกินของพวกเขา ทำลายบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์เพื่อสร้างนิคมชาวยิว และที่สำคัญยึดครองมัสญิดอัลอักศอซึ่งเป็นมัสญิดสำคัญอันดับ 3 ของชาวมุสลิมทั่วโลก มีการวางเพลิงและพยายามขุดฐานล่างของมัสญิดอัลอักศอ มีการกราดยิงผู้ประกอบพิธีละหมาดและอีกสารพัดการทำลายล้าง
ส่วนกรณีของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และชาวมุสลิมในประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่อาจจะมีภาวะคล้ายคลึงบ้างในบางกรณี แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อยและมักจะเกิดจากความเข้าใจผิดที่มาจากฝ่ายรัฐ แต่ก็ได้รับการเยียวยาแก้ไขมาโดยลำดับ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ไม่เคยมีการยึดครองมัสญิดและห้ามชาวมุสลิมในการประกอบศาสนกิจ มุสลิมมลายูยังคงอยู่ในมาตุภูมิของตนไม่ได้ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ อิสลามและชาวมุสลิมในประเทศไทยยังคงดำรงอยู่อย่างที่เคยเป็นมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ส่วนความอยุติธรรมที่ฝ่ายรัฐ ได้เคยกระทำกับผู้คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี แต่นั่นก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้คนในชนบทที่อยู่ในเขตชายแดน ส่วนอื่นถูกกระทำจากฝ่ายรัฐ หรือข้าราชการหรือผู้มีอิทธิพลซึ่งผู้คนเหล่านั้นมิใช่ชาวมุสลิมแต่เป็นชาวพุทธด้วยซ้ำไป และสภาพการณ์เช่นที่ว่านี้ก็มีออกดาษดื่นไปแม้กระทั่งในประเทศมุสลิมเอง ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมามิได้หมายความว่า ผมโปรฯ รัฐบาลไทยหรือเป็นกระบอกเสียงแก้ต่างให้แก่รัฐ แต่เพราะผมเป็นมุสลิมที่พยายามดำเนินตามครรลองของอิสลาม ซึ่งสอนให้เราพูดความจริงและยอมรับข้อเท็จจริงตลอดจนการรับผิดชอบในสิ่งที่แสดงออกมา เพราะผมจะต้องถูกสอบสวนและพิพากษาต่อสิ่งที่ผมได้พูดและแสดงเอาไว้ในวันแห่งการตัดสิน “ข้าพเจ้ามิปรารถนาสิ่งใดนอกจากการ อิศลาฮฺเท่าที่ข้าพเจ้ามีความสามารถและการเอื้ออำนวยของข้าพเจ้าย่อมมิอาจเกิดขึ้นนอกจากด้วยการเอื้ออำนวยของพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น”
สุดท้ายนี้ ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปคำวิจารณ์ของคุณอารีฟีนที่ว่า “ชนผู้มีอารยธรรม ย่อมไม่อาจหลีกหนีประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติตนเองได้ เว้นแต่พวกชาวป่าซาไกหรือกลุ่มชนที่ไม่มีอารยธรรม” แต่กระนั้นก็ต้องขอย้ำกับคุณอารีฟีนอีกครั้งว่า ผมไม่ได้บอกให้พี่น้องชาวมุสลิมของผมหนีจากประวัติศาสตร์หรือลืมประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง แต่กลับบอกว่าประวัติศาสตร์คือบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันที่จะต้องแสวงหา “อนุสติเตือนใจ” และ “ข้อใคร่ครวญ” (อิบเราะฮฺ) จากประวัติศาสตร์นั้น
และคนที่จมปลักอยู่กับอดีตโดยไม่วิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขในเวลาปัจจุบันก็ย่อมมิอาจจะสืบสานอารยธรรมที่สั่งสมมาให้ดำรงสืบไปได้ และอารยธรรมใด ๆ ก็ตามที่ขาดหลักธรรมคำสอนของศาสนาเป็นเครื่องนำทาง อารยธรรมนั้นให้สูงล้ำและเป็นเลิศเพียงใดก็ย่อมไร้ค่า มีสภาพไม่ต่างอะไรกับวิถีของชาวป่าซาไกนั่นเอง (เท่าที่ผมอ่านจากตำรับตำรามานั้น พวกซาไกจัดอยู่ในพวกนิกริโตซึ่งก็เป็นชาติพันธุ์ดึกดำบรรพ์ของชาติพันธุ์มลายูโบราณก่อนที่พวกโปรโตมลายูและดิวเทอโรมลายูจะเคลื่อนย้ายลงมาในแหลมมลายูนี่นา)
วัสลามุอะลัยกุมวะเราะฮฺม่าตุ้ลลอฮิว่าบ้าร่อกาตุฮฺ
สันติ เสือสมิง (อาลี บิน อะฮฺหมัด)
ค่ำคืนที่ 1 เชาว๊าล ฮ.ศ.1428 (อีดุลฟิตรี่ อัลมุ่บารอก)