เรื่องที่ได้แต่คิด

(คำปรารภมิใช่บทความทางวิชาการ)
“อบุล  ลัยซฺ  อะลี  อะห์หมัด  อบูบักร  อัชชิยามีย์”

        มนุษย์เราในฐานะเป็นสัตว์ประเสริฐมักมีเรื่องต้องให้ใช้ปัญญาคบคิดเสมอ หากมีปัญญาแล้วไม่รู้จักใช้ความคิดในหนทางที่ก่อเกิดประโยชน์ มีปัญญาก็ย่อมเหมือนกับไม่มี ซึ่งเมื่อมนุษย์ไม่มีปัญญาแล้วไซร้สถานะของมนุษย์ก็ย่อมมิได้แตกต่างอันใดเลยกับสัตว์โลกทั้งหลาย และย่อม มิอาจกู่ร้องได้เลยว่าตนเป็นสัตว์ประเสริฐ  เพราะความประเสริฐจักเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการใช้สติปัญญาไปในหนทางอันถูกอันควร  

        ครั้นเมื่อใช้ปัญญาอันเปรียบดั่งอาวุธไปในทางผิดหรือมิชอบก็ย่อมมีสภาพวิปริตแปรเปลี่ยนสู่มหันตภัยอันใหญ่หลวงได้เช่นกัน  ยิ่งเมื่อปัญญาขาดคุณธรรมเป็นตัวกำกับด้วยแล้วย่อมนำพาสู่หายนะทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น  ลางทีก็โดยตรง  ลางทีก็ทางอ้อมเป็นอย่างนี้ระคนไป

        มนุษย์ที่เจือสมว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญาทั้งที่ตนขาดเขลา  และกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้รู้เสียเต็มประดาย่อมหลงผิดและถลำลึก  นึกอุปโลกน์เอาเองว่าตนรู้ตนเป็นเลิศแล้วในสรรพวิชา มนุษย์จำพวกนี้มักเรียกว่า “พวกหลงตัวเอง”  ตัวเองหลงยังมิพอกลับชี้แนะและชักนำสาธารณชนให้หลงมัวเมาไปกับความจอมปลอมด้วย  ข้อนี้เสียหายหนัก  ซ้ำร้ายเมื่อมีผู้บอกกล่าวและทัดทานก็หารับฟังไม่  กลับดันทุรังและหนักข้อและกล่าวหาโต้แย้งเป็นมั่นเหมาะว่าที่ค้านตนหาได้รู้จริงไม่มนุษย์จำพวกนี้ซึ่งมาในคราบผู้รู้  ผู้ทรงภูมิ  มีให้เห็นอย่างดาษดื่นในสังคมที่ยุ่งเหยิง และมักเป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยก  การถือพรรคถือพวก  และการสังกัดกลุ่มอย่างมิรู้จบ ใครเล่าจะคอยปรามหรือฉุดรั้งพวกเขาสู่การเห็นถูกเป็นถูกเห็นผิดเป็นผิด  ดูเหมือนว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!

 

        ฝ่ายสาธารณชนซึ่งมักเป็นพลพรรคและสังกัดกับกลุ่มอยู่กับอาจารย์ผู้เปรียบดังเจ้าสำนักโดยมากก็หาได้ใคร่ครวญอย่างมีสติไม่  จนหลงคล้อยตามคารมของเจ้าสำนักอย่างมิลืมหูลืมตาขาดวิจารณญาณแห่งตน  ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นมิผิดเพี้ยน  และเมื่อท่านว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสัจธรรมที่มิอาจก้าวล่วงหรือขัดได้  ด้วยเพราะเป็นคำของครูจึงเทิดทูนโดยหลงลืมเสียสนิทว่าครูหรืออาจารย์ของตนก็คือ ปุถุชนสามัญที่ผิดได้พลาดได้เป็นธรรมดาโลก  เมื่อเชื่ออย่างปักใจแล้วว่าคำของครูถูกต้องเป็นที่สุดแล้ว  ก็หาได้สอบสวนหรือใช้พลังทางสติปัญญาของตนต่อไปไม่  คือหยุดอยู่เพียงนั้นสิ้นสุดแล้วไม่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปอีกแล้ว

        ทั้งๆ ที่หลักการของศาสนาเรียกร้องให้ใฝ่หาความจริง ความชัดเจน อันตั้งอยู่บนหลักฐานที่มาของคำชี้ขาดว่าถูกต้องและอิงคำชี้ขาดของผู้รู้เป็นคำตอบให้กับปัญหาของตน  แล้วยุติเพียงนั้นก็พอทำเนา แต่ที่มันวุ่นวายโกลาหลไปถ้วนทั่วก็เพราะว่าพลพรรคที่สังกัดและเทิดทูนคำของครู  ฝ่ายตน หาได้ยุติเพียงนั้นกลับมีทิฐิและเที่ยววิจารณ์คำครูของฝ่ายอื่นว่าผิดถนัดเพราะขัดกับคำของครูฝ่ายตน ยิ่งครูของฝ่ายเป็นปรปักษ์กับครูของอีกฝ่ายก็ยิ่งซ้ำเติมให้หนักขึ้นไปอีก รอยร้าวแห่งความแตกแยกในระหว่างพี่น้องร่วมศาสนาอันเกิดจากมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัย ก็ยิ่งปริร้าวมากขึ้นเป็นลำดับ ฝ่ายหนึ่งก็ยืนกรานอีกฝ่ายหนึ่งก็ดันทุรัง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหินห่างและยากเกินกว่าจะเยียวยาให้โรคร้ายที่คุกคามเอกภาพและสามัคคีธรรมในสังคมมุสลิมให้บรรเทาลดน้อยลง

 

        คำปรามาสที่ว่า  “รวมกันมิใช่แขก” ก็ยิ่งสำแดงให้ประจักษ์ชัดว่าสมจริงและเป็นจริงจนยากจะลบล้าง  คงไม่มีโศกนาฏกรรมหรือเรื่องเศร้าบทใดที่น่าสมเพชมากไปกว่าเรื่องที่พี่น้องในศาสนาเป็นศัตรูในระหว่างกัน  ห้ำหั่นกันด้วยวาจาเฉือดเฉือน  และสำแดงความมีอคติกันซึ่งๆ หน้า เมื่อสบโอกาสทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยแต่ละฝ่ายหลงลืมไปเสียสนิทว่า ขึ้นเชื่อว่า  “คนเดินดิน”  ย่อมไม่ผ่านพ้นความผิดความถูกไปได้  

        กล่าวคือไม่มีมนุษย์คนใดที่มิใช่นบีจะพูดถูกไปเสียหมดไม่ผิดเลย  และไม่มีมนุษย์คนใดที่มิใช่อิบลีสจะพูดผิดและคิดผิดไปเสียหมด  หาถูกหาควรมิได้เลย  ลืมไปว่ามนุษย์ย่อมมีผิด และมีถูกระคนกันไป  คิดแล้วก็ชวนเศร้าใจยิ่งนักที่การณ์เป็นเหมือนกับว่าศัตรูของชนมุสลิมก็คือพี่น้องมุสลิมด้วยกันหาใช่ใครอื่น  ทั้งๆ ที่ศัตรูตัวจริงกำลังจักขบกัดเข้าเต็มกรามฝังเขี้ยวงาของมันที่ต้นคอของมุสลิมทุกคน โดยมิได้เลือกว่าเป็นมุสลิมกลุ่มใด ขอเพียงแต่เป็นมุสลิมก็เป็นพอ ศัตรูเห็นชัดและปักใจว่ามุสลิมเป็นศัตรู  แต่มุสลิมกลับมิรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเล่นงานแบบเหมารวมรวบหัวรวบหางโดยสิ้นทั่วทุกคนไป

        ด้วยเพราะเหตุที่กำลังเห็นผิดไปว่ามุสลิมอีกฝ่ายหนึ่งคือศัตรูของตนที่ต้องล้างผลาญอย่างไม่ลดราวาศอก  กว่าจะรู้ว่าใครเป็นศัตรูก็เกือบจะสายไปอยู่รอมร่อ ครั้นจะปลุกให้ตื่นเตือนให้รำลึกว่าศึกมาประชิดแล้วก็เกรงว่าจะโดนข้อหาอาญากบฎศึก  ครั้นจะพูดเตือนให้รอมชอมประนีประนอมระหว่างฉันท์พี่น้องโดยผู้เตือนไม่สังกัดไม่เข้าพรรคของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพราะเห็นจริงว่าเป็นพี่น้องร่วมศาสนาด้วยกันทั้งสิ้นทั้งปวง  ก็ถูกลบหลู่จาบจ้วงว่าเป็นพวกตีสองหน้าลิ้นสองแฉกพูดกับพวกนั้นก็ได้พูดกับพวกนั้นก็ดี  ทั้งๆ ที่เป็นพวกเดียวกันหาใช่คนอื่น

        หากผู้เตือนที่กล่าวเป็นบุคคลที่เห็นแก่  “มวลชน”  และขาดจุดยืนที่มั่นคง  มุ่งมั่นคงหากินหาพวกพ้องจากคนทั้งสองฝ่ายโดยยึดกระแสเป็นหลัก  กล่าวคือเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางต่างคนต่างกลุ่มก็พูดต่างเรื่องต่างบทตรงนี้ทำได้ตรงโน้นทำไม่ได้  เรียกว่าพูดเอาใจในแต่ละกลุ่มเป็นหลักอย่างนี้ก็คงไม่ผิดที่จะตราหน้าว่า  ผู้เตือนเยี่ยงนี้เป็นคนสับปลับตีสองหน้า แต่ถ้าผู้เตือนที่มีจุดยืนมีอุดมการณ์เห็นพี่น้องร่วมศาสนาเป็นชนกลุ่มเดียวไม่แบ่งแยก  แล้วพูดตามหลักตามเกณฑ์เป็นบรรทัดฐานไม่ผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนตามกระแสแล้วก็คงผิดถนัดที่จะตราหน้าผู้เตือนเยี่ยงนี้ว่าเป็นคนสับปลับตีสองหน้า  

        คำว่า  “แสวงจุดร่วม  สงวนจุดต่าง”  มิได้หมายความว่า  ใครเขาทำอะไรกันก็เฮโลสาระพาคลุกคลีตีโมงไปกับเขาเสียทุกอย่างโดยมิแยกแยะว่าควรหรือมิควร  แต่น่าจะมุ่งหมาย   ถึงว่า จุดร่วมอันเป็นแก่นธรรมของศาสนาที่ถูกเห็นชอบจากทุกฝ่ายว่าควรดำรงไว้นั้น ต้องแสวงหาเป็นหนทางสู่การก่อเกิดหรือฟื้นฟูเอกภาพที่สั่นคลอนให้กลับมาตั้งมั่นอีกคำรบหนึ่งในสังคมโดยภาพรวมในทำนองเดียวกัน  

        คำว่า “สงวนจุดต่าง” ก็คงมิได้หมายความถึงการเป็นใบ้และนิ่งเงียบไม่บอกกล่าวไม่ตักเตือนไปเสียทุกกรณีแต่น่าจะหมายถึงจุดต่างอันเป็นเรื่องปกติของความคิดที่หลากหลายที่ปฏิเสธมิได้เลยว่า  ความเห็นต่างกันทัศนะต่างกันเป็นเรื่องสามัญที่อยู่และเป็นไปตามธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกำหนดวางไว้ในกมลสันดานของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม  

        และความต่างกันความไม่เหมือนกันในสังคมก็ไม่จำเป็นต้องแตกแยกกันแต่ให้ต่างฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  สงวนท่าทีและความคิดของตนในกรอบของความพอดี  ไม่ก้าวล่วงเลยเถิดไปสู่การละเมิดต่อผู้อื่นที่เห็นต่างกัน  ถึงแม้ตนจะไม่ยอมรับความคิดเห็นของอีกฝ่ายแต่ก็มิได้หมายความว่าเมื่อไม่ยอมรับและไม่เห็นชอบด้วยการกระทำนั้นๆ  ของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถประกาศจุดยืนของฝ่ายตนได้  จริงๆ  แล้วสามารถประกาศได้แต่เป็นประกาศเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ส่วนจะเชื่อหรือมิเชื่อก็รับผิดชอบกันเอาเอง จะไปกดขี่บังคับอีกฝ่ายให้เชื่อนั้นคงมิได้  เพราะหากกระทำเช่นที่ว่านั้นได้โลกนี้ก้อคงมีแต่ผู้ศรัทธาไม่มีผู้ปฏิเสธอยู่รวมกันในโลกใบนี้  

        การเข้าใจถึงเหตุผลและการยอมรับถึงความต่างจึงเป็นเรื่องที่ต้องสงวนเอาไว้  ไม่เลยจากกรอบและขอบเขตของการอยู่ร่วมกันโดยปกติสุข  อย่าลืมว่าอิสลามอุบัติขึ้นท่ามกลางความเชื่ออื่นๆ ที่รายล้อมอยู่อย่างดาษดื่น  แต่กระนั้นอิสลามก็ยังสามารถอยู่ร่วมกับความเชื่ออื่นเหล่านั้นตราบจนทุกวันนี้  โดยอิสลามได้กำหนดขอบเขตและหลักการอย่างชัดเจน  เพื่อดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์และเอกลักษณ์ของความเป็นอิสลามที่เด่นชัดซึ่งผู้มีปัญญาย่อมสามารถมองเห็นและสัมผัสถึงความเป็นเอกที่โดดเด่นนั้นได้อย่างง่ายดาย  

        อิสลามมิกชนย่อมอยู่ร่วมกับความหลากหลายที่แตกต่างกันของสังคมโลกโดยมิบิดเบือนกันได้ฉันท์ใด  พี่น้องมุสลิมซึ่งมีเลือดสีเดียวกันก็น่าจะอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องที่เคารพในความต่างกันฉันท์นั้น  แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่คาดหวังนี้คงเป็นเรื่องที่ได้แต่คิดเท่านั้น  เพราะเท่าที่ตรองดูเห็นทีจะยากยิ่งนักหากมุสลิมในสังคมทุกวันนี้ยังไม่เริ่มคิด  แต่คนที่คิดได้ก็คงได้แต่เพียงคิด!  

        ทำไม?  จึงเป็นเช่นนั้นก็ลองคิดดูกันเอาเองเผื่อจะได้คิด!  แต่ถ้ายังคิดไม่ออกก็ให้พยายามคิดกันต่อไป  อย่าเป็นคนสิ้นคิดก็แล้วกัน

วัลลอฮุวะลียุตเตาฟีก…