الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد
คุณวัยรุ่นเป็นคนช่างถาม ถามทีนึงเอาคุ้มเลยเลยนะครับ ก็ขอตอบตามที่ถามมาดังนี้ครับ
1. การละหมาดตะฮัจญุดไม่มีจำนวนแน่นอน บ้างก็ระบุว่า มีจำนวน 12 ร็อกอะฮฺ (อิอานะตุตตอลิบีน ; เล่ม 1 หน้า 309) เป็นการละหมาดซุนนะฮฺในยามค่ำคืนหลังจากการนอน เพราะคำว่าตะฮัจญุด มีความหมายว่า ตื่นนอนด้วยความลำบาก (อ้างแล้ว 1/308) หรือหมายถึงละทิ้งการนอนเพื่อลุกขึ้นละหมาด (อัลฟิกฮุ้ลมันฮะญี่ย์ เล่มที่ 1 หน้า 219) บางทีเรียกการละหมาดตะฮัจญุดว่า กิยามุลลัยล์ (قِيَامُ الَّيلِ) ซึ่งมีความหมายกว้างครอบคลุมการละหมาดซุนนะฮฺทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังการละหมาดอิชาอฺ เช่น ละหมาดตะรอวีฮฺก็เรียกว่า กิยามุ้ลลัยล์ การละหมาดวิตร์เพียง 1 รอกอะฮฺหลังละหมาดอิชาอฺก็เรียกว่า กิยามุลลัยล์ เป็นต้น (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ ; อัซซัยยิด ซาบิก เล่มที่ 1 หน้า 223)
แต่ถ้าทำละหมาดซุนนะฮฺหลังจากการนอนหลับในยามค่ำคืนแล้วก็เรียกว่า ละหมาดตะฮัจญุดนั่นเอง นักวิชาการบางท่านที่ระบุจำนวนของละหมาดกิยามุลลัยล์อาศัยหลักฐานที่รายงานโดยอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) และท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฮ.) ว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ละหมาดกิยามุลลัยล์ 11 รอกอะฮฺ หรือ 13 รอกอะฮฺ โดยอธิบายว่าท่านละหมาด 10 รอกอะฮฺและวิตรฺ 1 รอกอะฮฺ และรวมละหมาดซุนนะฮฺอัลฟัจร์เข้าไปอีก 2 รอกอะฮฺ รวมเป็น 13 รอกอะฮฺ (ดูรายละเอียดในซาดุ้ลมะอาด ; อิบนุ อัลก็อยฺยิม เล่มที่ 1 หน้า 216) แต่สำหรับนักวิชาการที่ระบุว่าการละหมาดตะฮัจญุดไม่มีจำนวนแน่นอนก็ถือว่าการละหมาดจำนวน 11 รอกอะฮฺนั้นคือ จำนวนสูงสุดของการละหมาดวิตรฺ (อัลฟิกฮุ้ลมันฮะญี่ย์ เล่มที่ 1 หน้า 216)
ส่วนวิธีการในการละหมาดตะฮัจญุดนั้น หลังจากตื่นนอนก็ให้ลูบหน้า แปรงฟัน และมองท้องฟ้าพร้อมกับกล่าวซิกรุลลอฮฺ อาบน้ำละหมาดแล้วเริ่มละหมาด 2 รอกอะฮฺเบา ๆ ต่อมาก็ลุกขึ้นละหมาดทีละ 2 รอกอะฮฺแล้วปิดท้ายด้วยละหมาดวิตร์ หรือจะละหมาดรวดเดียวจำนวน 8 รอกอะฮฺ หรือ 10 รอกอะฮฺ แล้วก็ตามด้วยละหมาดวิตร์ก็ได้ หรือจะละหมาดรวดเดียวแล้วนั่งตะชะฮฺฮุดในครั้งสุดท้ายแล้วให้สลามก็ได้ เรียกว่า ทำได้ตามสะดวกเพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทำไว้หลายรูปแบบนั่นเอง
ส่วนที่ถามว่าจำเป็นต้องละหมาดวิตฺร์ด้วยหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่จำเป็น แต่ที่ดีที่สุดให้เอาละหมาดวิตฺร์ไว้ปิดท้ายการละหมาดกิยามุลลัยล์ ยกเว้นในกรณีที่ละหมาดวิตฺร์ไปก่อนแล้วในคืนนั้น เช่น ละหมาดวิตฺร์หลังละหมาดอิชาอฺไปเมื่อตอนก่อนนอนแล้วก็ไม่มีซุนนะฮฺให้ทำละหมาดวิตฺร์อีก
2. เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการละหมาดตะฮัจญุด คือ ให้ล่าช้าจนเข้าสู่ส่วนที่ 3 สุดท้ายของเวลากลางคืน กล่าวคือ ถ้าแบ่งเวลากลางคืน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 12 ช.ม. แต่ละช่วงก็จะมี 4 ช.ม. หากแบ่งเป็น 3 ช่วง, ช่วงสุดท้ายก็อยู่ประมาณราวตี 2 จนถึงก่อนเวลาศุบฮินั่นเอง นี่คือเวลาที่ดีที่สุด (อัลอัฟฎ้อล) แต่เวลาที่อนุญาตนั้นก็คือ หลังละหมาดอิชาอฺแล้ว ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร (ร.ฮ.) กล่าวว่า : ไม่ปรากฏว่าสำหรับการละหมาดตะฮัจญุดของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มีเวลาที่แน่นอนแต่เป็นไปตามความสะดวกในการลุกขึ้นละหมาดของท่าน (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ เล่ม 1 หน้า 222) บางทีท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็ลุกขึ้นละหมาดเมื่อได้เวลาเที่ยงคืน หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อยหรือหลังจากนั้นเล็กน้อย, บางทีท่านก็ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน เป็นต้น (ซาดุ้ลมาอาดฺ เล่มที่ 1 หน้า 139)
3. กรณีของนบีคิเดร หรือ ค่อฎีรฺ (อ.ล.)
อัลค่อฎิร (الخَضِرُ) คือบ่าวที่ซอและฮฺซึ่งนบีมูซา (อ.ล.) ได้เดินทางไปพบเพื่อแสวงหาความรู้จากเขาผู้นี้ พระองค์อัลลอฮฺทรงเล่าถึงเรื่องราวของทั้งสองเอาไว้ในซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟี่สำนวนในเรื่องเล่าบ่งบอกถึงการเป็นนบีของอัลค่อฎิร (نُبُوَّةٌ) อยู่หลายประเด็น ดังนี้
1. พระดำรัสในอายะฮฺที่ 65 ซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟี่ บ่งชี้อย่างชัดเจน คำว่า (رَحْمَةً مِنْ عِنْدِنَا) หมายถึง رحمة النبوة คือพระเมตตาในการเป็นนบี และคำว่า (وعلَّمْناه مِنْ لَدُنَّاعِلْمًا) หมายถึงความรู้ที่ถูกวะฮีย์มายังอัลค่อฎิร (อ.ล.)
2. คำสนทนาโต้ตอบระหว่างนบีมูซา (อ.ล.) และอัลค่อฎิร (อ.ล.) ในพระดำรัสที่ 66-70 จากซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟี่ บ่งชี้ว่าถ้าหากอัลค่อฎิรมิใช่นบี อัลค่อฎิรก็ย่อมมิใช่มะอฺซูม และนบีมูซา (อ.ล.) ซึ่งเป็นนบีผู้ยิ่งใหญ่ เป็นร่อซู้ลผู้ทรงเกียรติ เป็นมะอฺซูมก็คงไม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการแสวงหาความรู้จากผู้ที่เป็นเพียงวะลีย์ซึ่งมิใช่มะอฺซูม และคงไม่มุ่งมั่นเดินทางไปหาและสืบเสาะถึงแม้จะใช้เวลานานถึง 80 ปีก็ตาม และเมื่อได้พบกับอัลค่อฎิร นบีมูซา (อ.ล.) ก็แสดงความนอบน้อมถ่อมตน และให้ความสำคัญในการกระทำตามคำชี้แนะของอัลค่อฎิร นั่นย่อมแสดงว่าอัลค่อฎิรเป็นนบีและมีวะฮีย์มายังเขาเช่นกัน
3. อัลค่อฎิร (อ.ล.) หาญกล้าในการสังหารชีวิตของเด็กน้อย ซึ่งนั่นย่อมบ่งชี้ว่ามีวะฮีย์มายังเขาและเขาเป็นมะอฺซูมอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นวะลีย์นั้นไม่อนุญาตให้ลงมือสังหารชีวิตเพียงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงความคิด ซึ่งอาจผิดพลาดได้โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์
4. เมื่ออัลค่อฎิร (อ.ล.) ได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงในการกระทำต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่มูซา (อ.ล.) อัลค่อฎิร (อ.ล.) ก็กล่าวว่า (رحمة مِنْ ربكَ ومافعلتُه عَنْ أَمْرِىْ) -อัลกะฮฺฟี่ / 82- “อันเป็นพระเมตตาจากพระผู้อภิบาลของท่าน และฉันมิได้กระทำมันตามอำเภอใจ” หมายความว่า ที่ฉันได้กระทำลงไปทั้งหมดนั้นเป็นการทำตามวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมาให้ฉันกระทำนั่นเอง (จากหนังสืออัรรุซุ้ล วัรฺริซาลาตฺ ; ดร.อุมัร สุลัยมาน อัลอัชฺก๊อรฺ ; ดารุนนะฟาอิส หน้า 22-24 โดยสรุป)
4. กรณีลืมสุหญูด แล้วมานึกขึ้นได้เมื่อให้สล่ามแล้วก็ให้สุหญูดรุ่ก่นที่ขาดไป เมื่อสุหญูดแล้วก็ให้อ่านตะชะฮฺฮุด ถึงแม้ว่าจะอ่านไปแล้วก็ตาม แล้วก็สุหญูดซะฮฺวีย์สองครั้งแล้วให้สล่าม ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าต้องไม่แยกจากกันนานเกินไประหว่างการให้สล่ามเมื่อตอนลืมกับการนึกขึ้นได้ แต่ถ้าหากแยกจากกันนานเกินไปก็จำเป็นต้องเริ่มต้นละหมาดใหม่ (อัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 43,48-49) โดยหลักในการพิจารณาว่าแยกกันนานหรือไม่ให้ถือตามจารีต (อัลอุรฟุ้) หรือขนาดเท่ากับละหมาดยาว 1 รอกอะฮฺ ซึ่งในเรื่องการละทิ้งการสุหญูดรุ่ก่นนี้มีรายละเอียดค่อนข้างมาก คุณวัยรุ่นมิได้ระบุมาว่าเป็นอย่างไร จึงตอบไว้กว้าง ๆ
ส่วนถ้าหากสุหญูดที่ถามมาเป็นสุหญูดซะฮฺวีย์ คือลืมสุหญูดซะฮฺวีย์ก่อนให้สล่าม แล้วก็ให้สล่ามมานึกขึ้นได้ว่าลืมสุหญูดซะฮฺวีย์อีกก็ให้พิจารณาว่าแยกจากกันนานหรือไม่ระหว่างการให้สล่ามกับการนึกขึ้นได้ ถ้าหากแยกจากกันนานตามเกาลุน ญะดีดฺที่ปรากฏชัดคือไม่ต้องสุหญูดอีก แต่ในเกาลุนก่อดีมให้สุหญูด และถือว่าละหมาดที่ผ่านมาใช้ได้ทั้ง 2 กรณี ในกรณีที่สุหญูดนั้นก็ให้สล่ามตามปกติอีกครั้งเมื่อสุหญูดซะฮฺวีย์แล้วตามประเด็นหนึ่งในมัซฮับ ส่วนตามมัซฮับนั้นก็ให้สุหญูดโดยไม่ต้องให้สล่ามอีก (อัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 4 หน้า 70-71)
ในกรณีที่ละทิ้งการอ่านอัลฟาติฮะฮฺโดยหลงลืมจนกระทั่งให้สล่ามหรือลงก้มรุ่กัวอฺ ก็มี 2 คำกล่าว (เกาว์ลานฺ) ที่มัชฮู๊ร คำกล่าวที่ถูกต้องที่สุดโดยมติเห็นพ้องของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์ เป็นเกาว์ลุนญะดีด คือ การอ่านฟาติฮะฮฺนั้นไม่ตกไป โดยหากนึกขึ้นได้ในขณะก้มรุ่กัวอฺหรือหลังการรุ่กัวอฺก่อนลุกขึ้นยืนยังรอกอะฮฺที่ 2 ก็ให้ย้อนกลับไปยืนและอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติฮะฮฺ และถ้าหากนึกขึ้นได้หลังจากลุกขึ้นยืนไปยังรอกอะฮฺที่ 2 แล้ว ก็ยกเลิกรอกอะฮฺที่ 1 (คือไม่นับว่าเป็นรอกอะฮฺ) แล้วรอกอะฮฺที่ 2 ก็กลายเป็นรอกอะฮฺที่ 1
และถ้าหากนึกขึ้นได้หลังจากให้สล่ามแล้ว และแยกจากกันไม่นาน ก็จำเป็นต้องย้อนกลับไปละหมาดและทำต่อในอากัปกริยาที่เป็นอยู่ (เช่นนั่ง) แล้วก็ทำอีก 1 รอกอะฮฺ แล้วให้สุหญูดซะฮฺวีย์ แต่ถ้าหากแยกจากกันนานเกินไป ก็จำเป็นต้องเริ่มต้นละหมาดใหม่ ส่วนในเกาว์ลุนก่อดีมนั้นถือว่าการอ่านฟาติฮะฮฺตกไปด้วยเหตุการลืม ดังนั้นตามคำกล่าวนี้ หากนึกขึ้นได้หลังการให้สล่าม ก็ไม่มีอะไร (คือแล้วกันไป) แต่ถ้านึกขึ้นได้ในขณะรุ่กัวอฺหรือหลังจากรุ่กัวอฺก่อนให้สล่าม ก็มี 2 ประเด็น
1. จำเป็นต้องกลับไปอ่าน
2. ไม่มีอะไร (คือแล้วกันไป) และถือว่ารอกอะฮฺที่ลืมนั้นใช้ได้
(กิตาบอัลมัจญ์มูอฺ ชัรฮุ้ลมุฮัซซับฺ เล่มที่ 3 หน้า 287-288)
5. รุ่ก่นคือสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติและเป็นส่วนหนึ่งจากเนื้อแท้หรือสาระของการปฏิบัตินั้น รุ่ก่นของการละหมาดมี 13 ประการ คือ
1. เหนียต
2. ยืนตรง
3. ตักบีร่อตุ้ลอิฮฺรอม
4. อ่านอัลฟาติฮะฮฺ
5. รุ่กัวอฺ
6. เอียะอฺติด๊าล
7. สุหญูด 2 ครั้งในแต่ละรอกอะฮฺ
8. นั่งระหว่าง 2 สุหญูด
9. นั่งครั้งสุดท้ายก่อนให้สล่าม
10. อ่านตะชะฮฺฮุดในการนั่งครั้งสุดท้าย
11. กล่าวซอละหวาตแก่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) หลังการอ่านตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย
12. ให้สล่ามครั้งที่ 1
13. เรียงตามลำดับรุ่ก่นทั้งหมด
ทั้ง 13 ประการที่กล่าวมาเรียกว่า บรรดารุ่ก่นของการละหมาด เป็นสิ่งจำเป็นในการละหมาดที่ขาดไม่ได้เรียกอีกอย่างว่าเป็นฟัรฎูหรือวาญิบก็ได้ และฟัรฎูกับวาญิบเหมือนกันในมัซฮับอัชชาฟิอีย์ จะแยกกันก็เฉพาะในเรื่องการประกอบพิธีฮัจญ์เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติที่เมื่อเกิดความบกพร่องแล้วให้ทำการสุหญูดซะฮฺวีย์ก็คือ ซุนนะฮฺอับอาฎ เช่นการนั่งตะชะฮฺฮุดครั้งแรก หรือการอ่านดุอาอฺกุหนูตในละหมาดซุบฮิ เป็นต้น เอาแค่นี้ก็แล้วกันนะครับ!
والله أعلم بالصواب