وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
ผมได้ลองเข้าไปดูสารคดีเกี่ยวกับอัล-กุรอานในเวบไซด์ดังกล่าวแล้ว โดยเนื้อหาที่นำเสนอนั้นส่วนใหญ่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับช่วงระยะเวลาในการจดบันทึกคัมภีร์อัล-กุรอานในยุคของเคาะลีฟะฮฺอบูบักร์ อุมัร และอุษมาน (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม) ตลอดจนการติดตามต้นฉบับการเขียนอัล-กุรอานด้วยลายมือซึ่งในสารคดีระบุว่ามีอายุเก่าแก่ย้อนกลับไปในยุคต้นอิสลาม และมีนักโบราณคดีทั้งที่เป็นฝรั่งและชาวมุสลิมเป็นผู้สืบค้น
เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์และพัฒนาการในการจดบันทึกคัมภีร์อัล-กุรอาน แต่การเขียนบทพากย์สารคดีและการผูกเรื่องหรือเดินเรื่องของสารคดีชุดนี้มีเจตนาแอบแฝง กล่าวคือ พยายามโยงเรื่องการรวบรวมอัล-กุรอานในยุคเศาะหาบะฮฺเข้ากับมายาคติและมุมมองทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของฝ่ายสุนนียฺและฝ่ายชีอะฮฺโดยเฉพาะเคาะลีฟะฮฺทั้ง 3 ท่านแรกกับท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) และท่าทีของท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูดกับมุศหัฟส่วนตัวของท่าน
ข้อความอันเป็นบทพากย์สารคดีบางช่วงพยายามสร้างภาพของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) ว่าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งให้บันทึกอัล-กุรอานขึ้นใหม่เพื่อสร้างฐานอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ตัวท่านเอง และสั่งให้เผามุศหัฟที่เศาะหาบะฮฺท่านอื่นๆ มีการจดบันทึกเอาไว้ โดยพยายามสร้างภาพว่าท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอูด (ร.ฎ.) เป็นเศาะหาบะฮฺที่คัดค้านการกระทำของท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.)
ซึ่งกรณีของท่านอิบนุ มัสอูด (ร.ฎ.) นั้นเป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ชาวมุสลิมที่ศึกษาเรื่องนี้ทราบกัน แต่สารคดีพยายามเดินเรื่องไปในทำนองว่า อัล-กุรอานที่ถูกจดบันทึกและถูกสังเคราะห์ในเรื่องการอ่าน (กิรออะฮฺ) ซึ่งมีความแตกต่างกันและเป็นข้ออนุโลมในช่วงต้นอิสลาม แต่ได้รับการชำระให้เป็นไปตามการอ่านในสำเนียงของชาวอาหรับกุรอยชฺและเป็นมุศหัฟ อิมาม ที่เรียกกันว่า มุศหัฟอุษมานียฺในสมัยท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) มีข้อความหรือการเขียนตามอักขระวิธีที่แตกต่างจากต้นฉบับที่เก่าแก่ซึ่งถูกค้นพบในเยเมน
สารคดีชุดนี้พยายามผูกเรื่องว่า มีข้อน่ากังขาชวนให้สงสัยว่า มุศหัฟอุษมานียฺที่แพร่หลายในทุกวันนี้มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวของฝ่ายการเมืองในยุคต้นอิสลามด้วยการปรับเปลี่ยนข้อความหรือตัดทอนหรือมีความแตกต่างจากอัล-กุรอานที่ถูกประทานให้กับท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) หรืออย่างน้อยก็มีอัล-กุรอานหลายฉบับที่มีเหล่าเศาะหาบะฮฺจดบันทึกส่วนตัว มิได้มีมุศหัฟหรือคัมภีรฺอัล-กุรอานเพียงฉบับเดียว
จึงเห็นได้ว่าการใช้บทพากย์และการเดินเรื่องในสารคดีชุดนี้เป็นการเขียนบทตามการวิเคราะห์ของพวกนักบูรพาคดีชาวตะวันตกที่พยายามศึกษาวิเคราะห์ประเด็นทางประวัติศาสตร์ของการรวบรวมและจดบันทึกคัมภีร์อัล-กุรอานโดยมีเป้าหมายในการทำลายความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของอัล-กุรอาน ซึ่งการวิเคราะหฺของนักบูรพาคดีชาวตะวันตกในเรื่องนี้มีมานานแล้ว และถูกนักวิชาการชาวมุสลิมหักล้างและตอบโต้การตั้งข้อสังสัยที่เป็นมายาคติและอคติเหล่านี้มาโดยตลอด
สารคดีชุดนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการนำเอาสิ่งที่นักบูรพาคดีชาวตะวันตกในอดีตในการโจมตีความสมบูรณ์ของคัภีร์อัล-กุรอานมาทำซ้ำ และผูกเรื่องให้ดูสมจริงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการบิดเบือนอย่างแนบเนียนของพวกเขาที่ทำให้ผู้ชมซึ่งไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการรวบรวมอัล-กุรอานและประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเกิดความคล้อยตามและเชื่อว่าอัล-กุรอานถูกน้ำมือของมนุษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวและเปลี่ยนแปลง ทำให้อัล-กุรอานไม่ได้เป็นคัมภีร์บริสุทธิ์อย่างที่โลกมุสลิมมีศรัทธา
นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของสารคดีชุดนี้ ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่าเป็นสารคดีในเชิงวิชาการแต่ถูกเคลือบและเจือด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จของพวกนักบูรพาคดีรุ่นเก่าที่มีรูปลักษณ์ใหม่ เพราะคำสัมภาษณ์หรือบทวิเคราะห์ของนักโบราณคดีที่ถูกสัมภาษณ์ในสารคดีบางช่วงบางตอนก็ชี้ชัดว่าต้นฉบับที่ถูกค้นพบนั้นถึงแม้จะเก่าแก่และมีอายุย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษแรกของอิสลาม เป็นเพียงเสมือนสมุดบันทึกช่วยจำที่ผู้ท่องจำอัล-กุรอานจดบันทึกช่วยจำเท่านั้น จะเอามาเป็นเกณฑ์ในการวัดและตรวจสอบความถูกต้องของคัมภีร์อัล-กรุอานจริงๆ ไม่ได้
กระนั้นสารคดีก็ดำเนินเรื่องต่อไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงดังกล่าวคือสิ่งที่เป็นสาระสำคัญในการหักล้างสารคดีชุดนี้ทั้งหมดก็ว่าได้ คนที่เข้ามาชมสารคดีและคอมเมนท์ว่า “มุสลิมไม่ยอมรับความจริงและกล่าวหาว่าพวกฝรั่งบิดเบือนความจริง ทั้งๆ ที่ฝรั่งนำเสนอสารคดีอย่างละเอียดและเป็นวิชาการ” คนที่คอนเมนท์เช่นนั้นก็คือเหยื่อของสารคดีที่มีสิ่งแอบแฝงชุดนี้นั่นเอง
ความคิดของฝรั่งที่เป็นพวกวัตถุนิยมในเรื่องนี้ก็คือพยายามผูกเรื่องจากวัตถุพยานที่เป็นต้นฉบับอัล-กุรอานที่เก่าแก่ซึ่งเขียนด้วยลายมือแบบโบราณ เน้นเรื่องการบันทึกที่มีลายลักษณ์อักษรและตามหาความแตกต่างของการจดบันทึกที่เป็นวัตถุพยานในความเชื่อของพวกเขา โดยหลงลืมไปว่า คัมภีร์อัล-กุรอานคือคัมภีร์แห่งการอ่านและท่องจำ เป็นคัมภีร์ที่มีคนอ่านและท่องจำทั้งเล่มต่างจากคัมภีร์ในศาสนาอื่นที่ใช้อ้างอิงด้วยการบันทึกมากกว่าการท่องจำ
สิ่งที่ถูกอ่านและถูกท่องจำนี้แหล่ะคือสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์ (มัวะญิซะฮฺ) ที่แท้จริง และวัตถุพยานอันเป็นเอกสารเพียงชิ้นเดียวย่อมไม่สามารถหักล้างสิ่งที่ถูกอ่านและท่องจำนั้นได้เลย ตรงนี้แหละที่สารคดีชุดนี้มิได้นำเสนอ เพราะถ้าหากนำเสนอประเด็นนี้สารคดีชุดนี้ก็ย่อมหมดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
(วัลลอฮุอะอฺลัม)