الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
ถึงแม้ พรบ. จะระบุไว้ในมาตรา 12 (1) ว่ากรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ไม่ต้องนำส่งเงินที่เรียกเก็บยังกระทรวงการคลัง ก็ตาม แต่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรก็มีรายได้ที่จัดเก็บจากสิ่งที่หะล้าลอีกเป็นจำนวนมาก มิได้จัดเก็บเฉพาะภาษีสุราและบุหรี่เพียงอย่างเดียว ประเด็นจึงอยู่ตรงที่ว่า เมื่อทรัพย์สินที่หะล้าลปนเปกับทรัพย์สินที่หะรอม มีข้อชี้ขาดอย่างไร?
อย่างภาษีที่อยู่ในกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรให้นำส่งเป็นรายได้ของกองทุน (เช่น สสส.) ก็มีทั้งภาษีที่หะล้าลและภาษีที่หะรอมซึ่งยากในการจำแนกแยกแยะภาษีอันมาจากแหล่งรายได้ที่ต้องห้ามออกจากภาษีที่มีที่มาจากแหล่งรายได้ที่อนุญาต นักวิชาการได้พูดถึง เรื่องการผสมปนเปของสิ่งที่ต้องห้ามกับสิ่งที่อนุญาตในกรณีของเงินตรา (อันนุกู๊ด) ว่า เหรียญเงิน (ดิรฮัม) นั้นจะถูกเจาะจงด้วยการกำหนดเจาะจงหรือไม่ถูกเจาะจงหรือถูกเจาะจงด้วยการครอบครอง (อัล-ก็อบฎ์)
ฝ่ายอัลมาลิกียะฮฺ, อัชชาฟิอียะฮฺและอัลฮะนาบิละฮฺ มีความเห็นว่า เหรียญดิรฮัมจะถูกเจาะจงด้วยการกำหนดเจาะจง ไม่อนุญาตให้แทน (คือตัวเงินอันไหนถูกเจาะจงเอาไว้ก็ต้องเอาอันนั้น จะเอาอันอื่นมาแทนไม่ได้) และในริวายะฮฺหนึ่งของอิหม่ามอะฮฺหมัด (ร.ฮ.) ระบุว่า มันจะไม่ถูกเจาะจงด้วยการทำข้อตกลง ดังนั้นก็อนุญาตให้ใช้สิ่งทดแทนเหมือนกันได้ ซึ่งริวายะฮฺนี้ตรงกับความเห็นในมัซฮับฮะนะฟีย์ และอิหม่าม อัซซัรกะชีย์
นักวิชาการมัซฮับอัชชาฟีอีย์ได้กล่าวไว้ในตำรา “อัลมันซู๊ร ฟิล ก่อวาอิด” ภายใต้กฎเกณฑ์นิติศาสตร์ที่ว่า : เมื่อสิ่งต้องห้ามรวมกับสิ่งที่หะล้าล ด้านของสิ่งที่ต้องห้ามก็มากกว่า (มีน้ำหนักค่อนไปทางหะรอม) โดยท่านได้แยกแยะระหว่างสิ่งซึ่งเมื่อมันปนเปกันไปแล้ว ระหว่างสิ่งที่ไม่มีการปนเปในสิ่งนั้น อันแรกให้ถือว่าห้ามเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอันที่สองนั้นไม่จำเป็นต้องถือว่าห้ามโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะดิรฮัมที่หะรอมปนเปกับดิรฮัมที่หะล้าล ท่านว่า : ห้ามใช้ (หรือกระทำการใด) จนกว่าจะแยกแยะมันออกเสียก่อน
และถ่ายทอดจากอัลฆ่อซาลีย์ ในตำรา อัลอิฮฺยาฮฺ ว่า : เมื่อสิ่งต้องห้ามในเมืองหนึ่งผสมปนเปกันโดยกันออกไม่ได้ ก็ไม่ห้ามในการซื้อจากเมืองนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังอนุญาตให้เอาได้อีกด้วย ยกเว้นในการที่มีเครื่องหมายควบคู่มาบ่งว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าไม่มีเครื่องหมายบ่งควบคู่มาก็ไม่เป็นที่ต้องห้าม แต่การละทิ้งเป็นความวะเราะอฺที่ชอบ ในฟะตะวาของอิบนุ อัศศ่อลาอฺ (ร.ฮ.) ระบุว่า : หากดิรฮัมที่ฮะล้าลปนเปกับดิรฮัมที่ต้องห้ามและแยกแยะไม่ได้ วิธีการคือ ให้แยกส่วนที่ต้องห้ามออกเป็นเอกเทศโดยมีเจตนาแบ่งและดำเนินการได้ในส่วนที่เหลือ และอัสฮาบุชชาฟิอียะฮฺ เห็นพ้องว่าในกรณีเมื่อบุคคลฉกชิงข้าวสาลีหรือน้ำมันมาแล้วผสมปนเปกับสิ่งที่เหมือนกัน ก็ให้ส่งมอบคืนส่วนที่ถูกผสมปนเปนั้นตามสัดส่วนในสิทธิของเจ้าของ ที่เหลือก็เป็นของผู้ที่ฉกชิงมา ส่วนสิ่งที่คนทั่วไปพูดกันว่า : การที่ทรัพย์ของผู้ฉกชิงไปปนกับทรัพย์สินอื่นทำให้ทรัพย์นั้นเป็นที่ต้องห้ามไปด้วย เป็นสิ่งโมฆะ และไม่มีที่มา
และใน ชัรฮุนนีล ได้เล่าจากอิบนุฮะญัร ถึงสิ่งที่มีรายงานมาจากอิหม่ามอะฮฺหมัด (ร.ฮ.) ว่า ข้อชี้ขาดของการผสมปนเประหว่างของฮะล้าลกับของฮะรอมนั้น คือ ให้นำเอาจำนวนที่ฮะรอมคัดออก และในขณะนั้นส่วนที่เหลือก็เป็นที่หะล้าล (ดูรายละเอียดทั้งหมดจาก บุฮูซ ว่า ฟะตาวา อิสลามียะฮฺ ฟี ก่อฎอยา มุอาซิเราะฮฺ ; ชัยคุลอัซฮัร ญาดัลฮักกฺ อะลี ญาดัลฮักกฺ พิมพ์ครั้งที่ 2 หน้า 472-481)
ถ้าถือตามบรรดาทัศนะที่กล่าวมา ก็ต้องดูว่า รายได้ของกรมสรรพากรและกรมศุลกากร หรือแม้แต่งบประมาณแผ่นดินอันเป็นรายได้สุทธินั้นมีจำนวนเท่าใด ถ้าสมมติทั้ง 2 กรมมีรายได้สุทธิจากการเก็บภาษีบุหรี่และสุรามีจำนวนเท่าใด สมมุติว่าเก็บได้ 50,000 ล้านบาท เป็นรายได้จากภาษี – บุหรี่เสีย 25,000 ล้านบาท จำนวนนี้แหละที่เป็นทรัพย์ต้องห้าม ส่วนที่เหลืออีก 25,000 ล้านบาท ก็เป็นทรัพย์ที่หะล้าล แล้วก็ดูว่า ทั้ง 2 กรมนำส่งรายได้บำรุงกองทุน สสส. เท่าใด เช่นสมมุตินำส่ง 10,000 ล้านบาทก็ถือว่าอยู่ในอัตราพิกัดของทรัพย์ที่หะล้าล ก็สามารถนำส่วนนี้มาใช้ได้ ทั้งนี้เพราะเป็นการยากในการแยกแยะตัวของทรัพย์สินที่หะล้าลและหะรอมออกจากกัน
อนึ่ง การนำเอากฎที่อิหม่ามอัสสุยูฎีย์ มาใช้โดยตรงโดยไม่มีการแยกแยะ หรือดูความเหมาะสมจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาหลายประการ อาทิเช่น
1. เมื่อมุสลิมไม่สามารถใช้ประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินเนื่องจากถือตามกฎนี้เอามาบังคับใช้ (ตัฏบีก) มุสลิมในประเทศไทยก็ไม่สามารถใช้งบประมาณใด ๆ ได้เลยเพราะเป็นสิ่งต้องห้ามโดยส่วนใหญ่ งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการก็ใช้ไม่ได้ในส่วนของเงินอุดหนุนแก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 15 (1) ตามพรบ.การศึกษาแห่งชาติ งบประมาณสนับสนุนให้กับองค์กรศาสนาตามพรบ.การบริหารกิจการศาสนาอิสลามก็ใช้ไม่ได้ งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขในส่วนการให้บริการกับฮุจญ๊าจก็นำมาใช้ไม่ได้ และอีกสารพัดงบ ฯลฯ
2. เมื่อมุสลิมไม่สามารถใช้งบประมาณตามข้อที่ 1 ก็เป็นสิ่งต้องห้ามที่ชาวมุสลิมจะเสียภาษีให้แก่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะงบที่รัฐและองค์กรจัดเก็บมีที่มาจากสิ่งที่หะล้าลและหะรอมปนกัน ถือตามกฎนี้ก็กลายเป็นว่ามุสลิมเอาทรัพย์ที่หะล้าลส่งไปยังแหล่งรวมที่ทำให้ทรัพย์นั้นกลายเป็นที่ต้องห้าม เข้าข่ายว่าทำให้เสียทรัพย์โดยใช่เหตุอีก แต่ถ้ามุสลิมหลีกเลี่ยงภาษีคือไม่ยอมจ่ายภาษีให้แก่รัฐก็เป็นความผิดทางกฎหมายบ้านเมืองอีกเช่นกัน
3. หากถือตามกฎที่ว่านี้ไปเสียทุกกรณี ก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมทำธุรกรรม ค้าขาย ทำสัญญาข้อตกลงกับคนต่างศาสนาเพราะทรัพย์ของคนต่างศาสนามีดอกเบี้ยเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วมุสลิมจะทำธุรกรรมหรือค้าขายกับผู้ใดได้ในโลกนี้ เพราะระบบการเงินทุกวันนี้มีเรื่องของดอกเบี้ยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น หรือร้านขายของชำของคนต่างศาสนาที่ขายของจิปาถะ รวมถึงเนื้อสุกรในตู้เย็น มุสลิมที่ปลูกผักจะส่งสินค้าพืชผักยังร้านนั้นได้หรือไม่ ในเมื่อรายได้ของเจ้าของร้านมีการปะปนกันระหว่างสิ่งที่หะรอม (เงินขายสุกร) กับสินค้าอื่น ๆ ที่หะล้าล แล้วเจ้าของร้านก็นำเอาเงินของตน (ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามโดยส่วนใหญ่ตามกฎที่ว่า) มาจ่ายค่าผักที่มุสลิมนำมาส่งที่ร้าน มุสลิมรับได้หรือไม่?
สรุปก็คือ ในเรื่องที่ถามมานี้นักวิชาการมีทัศนะความเห็นต่างกัน มีทั้งที่ว่าได้และไม่ได้ ทั้งหมดเป็นทัศนะไม่มีตัวบทที่เด็ดขาด สิ่งที่ใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจจึงเป็นคำตอบที่ 3 ก็คือ ความว่าเราะอฺ เป็นหลักการที่มุสลิมไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่ถ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องบอกว่ามีนักวิชาการระบุเอาไว้ว่าทำได้ และสิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมก็คือ นักวิชาการในอดีตวินิจฉัยเรื่องเหล่านี้ในบรรยากาศที่มีรัฐอิสลามซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องแหล่งที่มาของรายได้งบประมาณของรัฐ ซึ่งกฎเกณฑ์ข้างต้นสามารถนำมาบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ได้มีบรรยากาศเช่นนั้น คือเราไม่ได้อยู่ในรัฐอิสลาม เรื่องบางเรื่องจึงต้องดูความเหมาะสมที่มีทัศนะของนักวิชาการรองรับและชี้ทางออกเอาไว้ให้ ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเราไม่ได้อยู่ในบรรยากาศหรืออยู่ในรัฐอิสลามก็อนุญาตให้กระทำสิ่งที่ขัดต่อหลักการของศาสนาได้ เช่น กินดอกเบี้ยได้ อะไรทำนองนี้ ขอย้ำว่าไม่ใช่แน่นอน ทุกอย่างที่นำเสนอมายังคงอยู่ในกรอบหลักการของศาสนาทั้งสิ้น!
والله أعلم بالصواب