ลา (حِمَارٌ)
ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชนิด Equus asinus ในวงศ์ Equidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับม้า รูปร่างคล้ายม้าแต่ตัวเล็กกว่า หูยาว ปลายหางเป็นพู่ ขนแผงคอสั้นตั้งตรง มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ในภาษาอาหรับเรียกลาว่า “ฮิมารุน” (حِمَارٌ) มีรูปพหูพจน์ว่า “ฮะมีรฺ” (حَمِيْرٌ) และ “ฮุมุ๊ร” (حُمُرٌ) เป็นต้น
ในคัมภีร์อัลกุรอาน บทอัลญุมอะฮฺ อายะฮฺที่ 5 ระบุถึงเรื่องลาแบกคัมภีร์ มีใจความว่า
“อุปมาบรรดาผู้ซึ่งได้รับคัมภีร์เตารอตแล้วพวกเขาก็ไม่นำพาตามคัมภีร์นั้น อุปมัยดังลาที่แบกคัมภีร์จำนวนหนึ่ง (บนหลังของมัน)”
กล่าวคือ บรรดาพวกยิวที่ได้รับคัมภีร์เตารอต (คัมภีร์โตร่าห์-ภาคพันธสัญญาเดิม) เป็นทางนำสำหรับพวกเขาแต่กลับไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนที่ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์ ย่อมมีสภาพที่มิได้แตกต่างจากลาที่แบกคัมภีร์ ซึ่งคัมภีร์นั้นมีประโยชน์อเนกอนันต์ แต่เจ้าลาอ่านคัมภีร์ไม่ออก คัมภีร์ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าลาก็มิได้สิ่งใดนอกจากความเหนื่อยยากและหนักหลังของตนเพียงเท่านั้น
ชาวยิวที่อ่านคัมภีร์เตารอตอยู่เป็นนิจสินแต่ไม่เคร่งครัดปฏิบัติตามก็ย่อมไร้ประโยชน์เช่นกัน เรียกได้ว่า มีของดีอยู่กับตัวแต่มิเห็นค่า เหมือนไก่ได้พลอย วานรได้แหวน หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะไม่รู้จักใช้ ชาวอาหรับมักเรียกขานคนโง่ว่าเป็นลา เหมือนคนไทยเรียกคนโง่ว่า “ควาย” นั่นแล
ความจริงลามิใช่สัตว์โง่อย่างที่ว่ากัน มันเป็นสัตว์ที่มีความจดจำเส้นทางอย่างแม่นยำแม้เพียงเคยเดินผ่านในเส้นทางนั้นครั้งเดียวก็ตาม โสตประสาทการรับฟังของลายอดเยี่ยมกระเทียมดอง มีความอดทนเป็นเลิศ บรรทุกของและสัมภาระอันหนักอึ้งได้คราวละมากๆ เจ้าลาไม่เคยอู้งาน ไม่เคยลาพักร้อน การปลดเกษียณของมันก็คือ ตายนั่นเอง
ชาวอาหรับจึงเรียกขานลาว่า “พ่อจอมอึด” (أَبُوْصَبَّارٍ) มีเรื่องแปลกสำหรับเจ้าลา ซึ่งชาวอาหรับเล่าเอาไว้ คือ เมื่อเจ้าลาได้กลิ่นสิงโตมันก็จะวิ่งรี่เข้าหาสิงโตเนื่องจากความกลัว ทั้งๆ ที่ต้องการจะกระโจนหนีจากสิงโต ฟังแล้วก็แปลกดี ลามี 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งเรียกว่า ลาบ้าน (اَلْحِمَارُالأَهْلِيُّ) คือลาที่ถูกใช้สอยเป็นพาหนะ นักวิชาการระบุว่า ห้ามบริโภคเนื้อลาประเภทนี้ เพราะมีหลักฐานชัดเจน อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ลาเปรียวหรือลาป่า (اَلْحِمَارُالْوَحْشِيُّ) ลาประเภทนี้อนุญาตให้บริโภคเนื้อของมันได้
กล่าวกันว่า ลาป่ามีอายุยืนถึง 200 ปี บ้างก็ว่ามีอายุยืนถึง 800 ปี ซึ่งอาจจะเกินจริง แต่ที่พอฟังได้คือว่ากันว่า ลาบ้านอายุจะสั้นกว่าลาป่า ชาวอาหรับบันทึกเอาไว้ว่า ลาบ้านที่อายุยืนที่สุดคือลาของ อบูซัยยาเราะฮฺ อุมัยละฮฺ อิบนุ คอลิด เป็นลาสีดำที่ให้บริการผู้คนได้ขี่จากทุ่งอัลมุซดะลิฟะฮฺ สู่ทุ่งมินาเป็นระยะเวลาถึง 40 ปี
ในคัมภีร์อัลกุรอาน บท อัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 259 ระบุถึงเรื่องราวของชายชาวอิสราเอลผู้หนึ่ง ได้ขี่ลาผ่านไปยังชุมชนแห่งหนึ่งที่พังพินาศราบพนาสูร แล้วก็กล่าวขึ้นว่า “พระองค์อัลลอฮฺจะทรงให้ชุมชนนี้ฟื้นและรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง ได้อย่างไรกัน?
พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) จึงได้ให้ชายผู้นี้สิ้นชีวิตลงเป็นเวลาถึง 100 ปี ต่อมาภายหลังพระองค์ก็ทรงให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงจะว่าตายก็ไม่เชิง แต่พระองค์ทรงบันดาลให้ชายผู้นี้สิ้นสติ หมดความรู้สึกไปเหมือนกับเจ้าชายนิทรา ที่หลับเป็นตายชนิดไม่รู้วันรู้เดือน พ้นไปได้ 100 ปี จึงฟื้นหรือตื่นขึ้นมาอีกครา แล้วก็พบว่าชุมชนที่พังพินาศนั้นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หลังจากที่เขาหลับเหมือนตายไปได้ราว 70 ปี
อนึ่งนักตัฟซีรส่วนใหญ่อรรถาธิบายว่า ชายผู้นี้ตายจริงๆ อันหมายถึงวิญญาณออกจากร่าง แล้วพระองค์อัลลอฮฺก็ตรัสถามผ่านม่าลัก (เทวทูต) ว่า : เจ้าพำนักอยู่ตรงนี้นานเท่าใด? ความจริงพระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่าชายผู้นี้หลับหรือตายไปนานเท่าใด แต่ที่ถามก็เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์และยอมรับต่อฤทธานุภาพของพระองค์
ชายผู้นี้ก็ตอบว่า : ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนี้เพียง 1 วัน หรือ เพียงบางส่วนของวันเท่านั้น ที่ตอบออกมาอย่างนี้ก็เพราะว่า อีตอนที่ชายผู้นี้หลับหรือตายไปนั้นเป็นช่วงต้นวัน พอฟื้นหรือตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยังเห็นว่าตะวันยังไม่ตกดิน เลยเข้าใจว่ายังไม่หมดวัน พระองค์จึงให้ม่าลักเฉลยว่า “เจ้าน่ะนอนอยู่ตรงนี้นานถึง 100 ปี !”
ตอนแรกที่ชายผู้นี้ขี่ลาผ่านมาเมื่อร้อยปีก่อนนั้น เขาเอาลูกมะเดื่อใส่ตะกร้ามาด้วยพร้อมกับน้ำองุ่นคั้น พระองค์จึงบอกให้ชายผู้นี้มองดูลูกมะเดื่อกับน้ำองุ่นคั้นว่ายังมีสภาพดีอยู่ ไม่ได้เน่าเสียหรือแปรสภาพไปแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ผ่านเวลามานานถึงหนึ่งศตวรรษ
เพียงเท่านั้นยังไม่พอ พระองค์ได้ให้ชายผู้นี้มองดูลาที่ตนขี่มาก็พบว่าเจ้าลานั้นเหลือแต่กระดูก แล้วม่าลักก็เรียกกองกระดูกของเจ้าลาเข้ามารวมกันด้วยฤทธานุภาพของพระผู้ทรงสร้าง กระดูก เส้นเอ็น และเนื้อหนังพร้อมด้วยขนของเจ้าลาประกอบกันขึ้นและมีชีวิตเหมือนเดิม
ชายผู้นี้ได้ประจักษ์เห็นขั้นตอนการชุบชีวิตเจ้าลาด้วยสายตาของตน ในที่สุดเขายอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง นักวิชาการมีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับชายผู้นี้ว่า คือ ผู้ใดกันแน่ บ้างก็บอกว่า คือ ศาสดาอัรมิยา (อะลัยฮิซซลาม)
บ้างก็บอกว่า คือ ท่านอุซัยร์ ซึ่งบ้างก็บอกว่า อุซัยร์เป็นศาสดา บ้างก็บอกว่าไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นศาสดาหรือไม่ ? อุซัยร์ผู้นี้แหล่ะที่อัลกุรอานระบุว่า พวกยิว (ยะฮูดี) กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า เป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการกล่าวอ้างของพวกเขา
ลาเป็นสัตว์พาหนะยอดนิยมสำหรับผู้คนในยุคอดีต ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็มีลาเป็นสัตว์พาหนะอยู่หลายตัว อาทิเช่น ลาที่ชื่อ อุฟัยร์ มีสีด่าง (ขาวสลับดำ) อัลมุเกากิซ เจ้าเมืองอิยิปต์ได้มอบลาตัวนี้เป็นของกำนัลแก่ท่านศาสดา
ลาอีกตัวหนึ่ง ฟัรวะฮฺ อัลญุซามี่ย์ ได้มอบเป็นของกำนับแก่ท่านเช่นกัน ลาตัวนี้มีชื่อว่า ยะอฺฟู๊ร มีขนเหมือนสีดินหรือฝุ่นดิน ท่านอัซซุฮัยลี่ย์ กล่าวว่า ยะอฺฟู๊ร ได้กระโจนลงบ่อน้ำในวันที่ท่านศาสดาเสียชีวิต
ในคัมภีร์อัลกุรอาน บทลุกมาน มีข้อความระบุว่า “แท้จริงเสียงที่น่ารังเกียจที่สุด นั้นคือ เสียงของฝูงลา” (ลุกมาน อายะฮฺที่ 19) ท่านอัลฮะซัน (ร.ฮ) อธิบายว่า บรรดากลุ่มชนผู้ตั้งภาคีชอบแสดงการโอ่ด้วยการส่งเสียงดัง อัลกุรอานจึงตอบโต้พวกเหล่านั้นว่า ถ้าหากการส่งเสียงดังนั้นเป็นเรื่องดีแล้วล่ะก็ พวกลาก็ย่อมดีกว่า
ส่วนท่านกอตาดะฮฺ (ร.ฮ) กล่าวว่า เสียงที่น่ารังเกียจที่สุดนั้นคือเสียงลา แรกเริ่มเสียงลาคือ เสียงพ่นลม (เรียกว่า ซะฟีร) และช่วงปลายเสียงคือ เสียงสูงจนแสบหู (เรียกว่า ชะฮัก) มีหะดีษระบุว่า เมื่อได้ยินเสียงลาร้อง ให้ขอความคุ้มครองต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) จากมารร้าย เพราะเจ้าลามันมองเห็นมารร้าย (ชัยตอน) นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ชาวอาหรับเรียกเสียงลารวมๆ ว่า “นะฮัก”