ชุมชนมุสลิมบ้านครัว

บ้านครัวเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมคลองแสนแสบใต้ มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตราชเทวี แบ่งเป็นชุมชนบ้านครัวหนือ ชุมชนบ้านครัวตะวันตก และมีพื้นที่อีกส่วนในเขตปทุมวัน เป็นชุมชนบ้านครัวใต้ ประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนนับถือศาสนาอิสลาม ถือเป็นชุมชนมุสลิมใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

บรรพชนบ้านครัวประกอบด้วยชาวมุสลิมเขมร เรียกว่า แขกจาม และชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูจากหัวเมืองมลายู ซึ่งถูกต้อนครอบครัวเป็นเชลยศึกมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑-๓ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในส่วนของแขกจามซึ่งเป็นมุสลิมชาวเขมรแต่เดิม เคยมีอาณาจักรของตนเรียกว่า “อาณาจักรจามปา” ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณตั้งแต่ปากน้ำโขงไปทางตะวันออก (เวียดนามใต้)

พวกแขกจามจำนวนหนึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนต้น โดยมีประชาคมอยู่บริเวณปากคลองคูจามหรือที่เอกสารเก่าเรียกว่า “ปทาคูจาม” ซึ่งอยู่ด้านใต้ของเกาะเมืองใกล้กับวัดพุทไธสวรรย์ ชาวจามเดินทางเข้ามาเพราะปัญหาทางการเมือง เนื่องจากอาณาจักรจามปาถูกเวียดนามรุกรานในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ทำให้ชาวจามจำนวนหนึ่งต้องอพยพลี้ภัยไปยังชวา มลายู กัมพูชา และสยาม (ดร.จุฬิศพงษ์ จุฬารัตน์ อ้างแล้ว หน้า 5)

ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สยามได้ทำสงครามกับเขมรถึง 3 ครั้ง คือ ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2312 ครั้งที่สอง พ.ศ. 2314 และครั้งที่สามปี พ.ศ. 2323 ในศึกเมืองเขมรครั้งที่สอง (พ.ศ. 2314) มีการกวาดต้อนชาวเขมรเข้ามากรุงธนบุรีเป็นอันมาก ในครั้งนั้นมีแขกจามถูกกวาดต้อนมาด้วย (ดนัย ไชยโยธา, 53 พระมหากษัตริย์ไทย, โอเดียนสโตร์ (2543) หน้า 234)

ครั้นต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 1 ปรากฏว่าสมเด็จเจ้าพระยา (ชู) ได้ชักชวนพระยายมราช (แบน) ร่วมกันกำจัดฟ้าทะละหะ (มู) ลงได้ ต่อมาพระยายมราชกลับกำจัดสมเด็จเจ้าพระยาเสีย และตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเขมร พอมีข่าว แขกจามจะยกทัพมาตีเขมร พระยายมราชและพระยากลาโหม (ปก) จึงพานักองเอง และพระญาติวงศ์ของเขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดรับรองนักองเองอย่างพระราชบุตรบุญธรรม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราชเป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศรไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเขมร ภายหลังจากที่ได้ปราบปรามเขมรจามราบคาบแล้ว… (ดนัย ไชยโยธา, อ้างแล้ว หน้า 272-273)

ลุปี พ.ศ. 2376 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพบกและเจ้าพระยาคลัง (ดิศ บุนนาค) ซึ่งต่อมา คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เป็นแม่ทัพเรือ ยกไปตีญวนและเขมรพร้อมกัน สงครามครั้งนี้กินเวลาถึง 14 ปี เรียกว่า “สงครามอันนัมยุทธ”

เมื่อสงครามยุติลงโดยไม่มีฝ่ายใดชนะโดยเด็ดขาด จึงยกทัพกลับพร้อมด้วยการกวาดต้อนครอบครัวเขมรจามเข้ามาจำนวนหนึ่ง โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งครัวเรือนที่ “บ้านครัว” อยู่ด้วยกัน (เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ, อ้างแล้ว หน้า 4)

“บ้านครัว”  จึงเป็นชุมชนมุสลิมที่เก่าแก่มีมานับแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ชาวมุสลิมจาม (แขกจาม) นั้นมีความเก่าแก่ยิ่งกว่า กล่าวคือ มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังมีปรากฏหลักฐานอยู่ในพระอัยการตำแหน่งนายทหารหัวเมืองระบุถึง “กองอาสาจาม” ซึ่งเป็นกรมหนึ่งในสังกัดกลาโหม มีพระยาราชวังสันเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ควบคุมอาสาจาม ซึ่งประกอบไปด้วยมุสลิมเชื้อสายจามและมลายู (กฎหมายตราสามดวง เล่ม 1 หน้า 307-308)

กองอาสาจามเป็นผู้ที่ชำนาญการรบทางทะเล และมีบทบาทสำคัญในการสงครามตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ขุนนางที่มีบทบาทสำคัญอยู่ในกรมอาสาจามตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ คือ กลุ่มขุนนางสายตระกูลสุลัยมาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเมืองท่าการค้า เช่น จะนะ พัทลุง และสงขลา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นขุนนางในกรมอาสาจาม มีหน้าที่บังคับบัญชากองทหารมลายู-จาม ซึ่งส่วนใหญ่มีความชำนาญด้านการเดินเรือหรือการสงครามทางน้ำ (ยุทธนาวา) นับแต่สมัยอยุธยาตอนปลายเป็นต้นมา

ขุนนางกลุ่มนี้มีสายสัมพันธ์ด้วยการสมรสกับขุนนางสายตระกูลเฉกอะฮฺหมัดในกรมท่าขวา และกับราชตระกูลแห่งบรมราชจักรีวงศ์ ทำให้ระบบเครือญาติขยายความสัมพันธ์ออกไปอย่างกว้างขวาง (ดร.จุฬิศพงษ์ จุฬารัตน์, อ้างแล้ว หน้า 19-20)

“ชุมชนบ้านครัว” นับแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งครัวเรือนอยู่ที่บริเวณป่าไผ่ชายทุ่งพญาไท ผู้อพยพเรียกหมู่บ้านตามคำเขมรว่า “พุมเปรย” แปลว่า “บ้านป่า” หรือ “เปรยสล็อก” แปลว่า “เมืองป่า” แต่คนไทยเรียกว่า “บ้านแขกครัว” (ภายหลังเรียกสั้น ๆ ว่า “บ้านครัว”) ที่บริเวณตอนกลางของหมู่บ้านเรียกว่า “พุมปราง” ทางตะวันตกเรียกว่า “พุมตะโบง” หรือ ”ตรอยเปรียม” ส่วนทางตะวันออกเรียกว่า “ก๊ะห์ก็อย” ต่อมาเรียกง่าย ๆ ว่า “เกาะกอย”

จากการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า ชุมชนบ้านครัวของกองอาสาจาม น่าจะได้รับพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินในอาณาบริเวณชุมชนนี้แก่กองอาสาจาม ซึ่งมีทั้งชาวมุสลิมเขมรและชาวมลายูปัตตานีจัดตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านหลังจากเสร็จศึกในครั้งสงครามเก้าทัพประมาณปี พ.ศ. 2330 เพื่อเป็นการปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่กองอาสาจามที่ทำการสงคราม  และปีเดียวกันนั้นยังเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพด้วย (เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ, อ้างแล้ว หน้า 4,25)

ในชุมชนบ้านครัวมีมัสยิดอยู่ 3 หลังด้วยกัน หลังแรกคือ มัสยิดยามิอุ้ลคอยรียะห์ หรือ “สุเหร่ากองอาสาจาม” อาคารเดิมของมัสยิดหลังนี้สร้างขึ้นต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เข้าใจว่า พระยาราชบังสัน (แม้น) เจ้ากรมอาสาจามสมัยกรุงธนบุรีเป็นผู้ริเริ่มก่อสร้าง ต่อมาพระยาราชบังสัน (ฉิม) และพระยาราชบังสัน (บัว) ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้ทำนุบำรุงมัสยิดต่อมาตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2497-2498 อาคารเดิมได้ถูกรื้อถอนลง และสร้างอาคารหลังใหม่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก

มัสยิดแห่งนี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ มัสยิดที่ได้รับพระราชทาน “โคมไฟเขียว” เมื่อครั้งงานพระบรมศพรัชกาลที่ 5 (ร.ศ. 129) มัสยิดหลังที่สอง มีชื่อว่า มัสยิดดารุ้ลฟ่าลาฮฺ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของชุมชนบ้านครัว สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ประมาณปี พ.ศ. 2437 และมัสยิดหลังที่ 3 เรียกว่า มัสยิดซูลูกุลมุตตะกีน เดิมตั้งอยู่ที่บ้านครัวใต้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณปี พ.ศ. 2460 ต่อมารื้อถอนโยกย้ายข้ามคลองมาสร้างขึ้นใหม่ที่บ้านครัวตะวันตกในปี พ.ศ. 2475 (สมัยรัชกาลที่ 7) ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 ได้มีการสร้างอาคารหลังใหม่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นดังปัจจุบัน