แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

“เรามาดูสิ่งที่แปลกๆ ในเมืองไทยของเรา…..สำนักพุทธทุกวันนี้ก็มีชาวมุสลิมเข้าไปทำงานในสำนักพุทธ….สำนักพุทธไม่ได้ขึ้นต่อมหาเถรสมาคม ขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย ตอนที่เขาปฏิวัติปุ๊บเนี่ย อารีย์  วงศ์อารยะ ก็เข้ามา… ก็มีการสั่ง ส่งคนของเขาที่เข้ามาเยอะแยะนี่แหล่ะไปทั่วทุกจุดของประเทศไทย หรือย่างเลขาธิการเพื่อธรรมิกชนแห่งโลก ก็คือ นายพัลลภ ภัยอารีย์ ก็เป็นมุสลิม…เห็นมั้ยมันแปลกมั้ย ที่เรื่องราวของพุทธศาสนาเราเนี่ยะของเขาเข้ามาเกี่ยวมากมาย….”

ไขความและเห็นต่าง

พระคุณเจ้าคงมิได้เคยศึกษาเรื่องแปลกแต่จริงอีกเรื่องหนึ่งที่แปลกกว่าเรื่องของพระคุณเจ้าเสียอีก หรือถ้าเคยศึกษาผ่านมาก็คงหลงลืมไปว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา มีกรมอยู่ 3 กรมคือ กรมธรรมการ กรมสังฆการี และกรมราชบัณฑิต ดูแลเรื่องการศึกษาและการพระศาสนา มีขุนนาง เช่น ราชบัณฑิต หมื่นราชสังฆการี เป็นผู้รับผิดชอบ

ครั้นกาลล่วงมาจนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูปพระพุทธศาสนาขึ้น โดยให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ ขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ได้จัดตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้น เป็นผลทำให้วงการสงฆ์แบ่งออกเป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย

การณ์เป็นเช่นนี้ ครั้นลุแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ดูแลดำเนินงานด้านการศึกษา โดยมีกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็นผู้บัญชาการเมื่อปี พ.ศ. 2430 ครั้นถึงปี พ.ศ. 2435  จึงได้มีประกาศตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น โดยมีเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการเมื่อแรกเป็นกระทรวง มีกรมในสังกัด  5 กรม คือ กรมธรรมการกลาง กรมศึกษาธิการ กรมพยาบาล กรมพิพิธภัณฑ์ และกรมสังฆการี ซึ่งรับผิดชอบกิจการต่างๆ อันเกี่ยวกับการทำนุบำรุงศาสนา เหมือนกรมศาสนาในเวลาต่อมา

แล้วเรื่องแปลกแต่จริงอยู่ตรงไหน?  อยู่ตรงผลสืบเนื่องจากการที่คณะสงฆ์ของไทยแบ่งออกเป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกายนั่นแล มีกรณีที่ส่อว่าเกิดสังฆวาทมระหว่างพระภิกษุสงฆ์สองฝ่ายนั้น จึงเป็นเรื่องที่อธิบกีกรมสังฆการีต้องตัดสินไกล่เกลี่ย กระนั้นด้วยความที่ผู้เป็นอธิบดีฯ เคยบวชเรียนในฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาก่อนจึงถูกอคติว่าเข้าข้างด้วยฝ่ายหนึ่งที่ตนเคยบวชเรียน กรณีเช่นนี้เองจึงเป็นเหตุให้ในรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งระยาเมธาธิบดี ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสังฆการีธรรมการเพื่อความเป็นกลางและตัดปัญหาว่าด้วยอคตินั้นพระคุณเจ้าทราบหรือไม่! พระยาเมธาธิบดีนั้นเป็นผู้ถือในศาสนาใด? ศาสนาคริสต์ ขอรับ! พระคุณเจ้า!

กระผมว่าเรื่องอธิบดีกกรมสังฆการีเป็นชาวคริสต์นี่แปลกยิ่งกว่าเรื่องแปลกของพระคุณเจ้าแบบหนังคนละม้วนเลยละขอรับ เพราะหนังม้วนนี้มีบันทึกในประวัติศาสตร์วงการสงฆ์ของประเทศไทยโดยตรงและเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง กระผมว่า พุทธศาสนิกชนที่นั่งพนมมือสดับรับฟังเรื่องแปลกของพระคุณเจ้าก็คงรู้เรื่องในประวัติศาสตร์ตอนนี้ไม่สักกี่คนหรอกขอรับ หรืออาจจะไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ

ส่วนหนังม้วนที่พระคุณเจ้าเขียนบทและกำกับเองเนี่ย บางฉากก็ยังต้องรอการพิสูจน์ว่าจะจบอย่างไร ในขณะที่บางฉากบางตอนยังเดินเรื่องไม่เนียนนัก คือฟังแล้วยังขัดๆ กันอยู่ เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่ได้ขึ้นต่อพระมหาเถรสมาคม (ข้อนี้ใช่) ขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย (ข้อนี้พลาดแล้วพระคุณเจ้า) เป็นต้น

การที่พระคุณเจ้าอ้างว่า นายอารีย์ วงศ์อารยะเข้ามาเป็นเจ้ากระทรวงมหาดไทยหลังการปฏิวัติของ คมช. 2549 แล้วมีคำสั่งให้ส่งคนที่เป็นมุสลิมซึ่งเข้ามาเยอะแยะไปประจำอยู่หรือแฝงตัวอยู่ทุกจุดของประเทศไทย โดยเฉพาะในองค์กรพุทธศาสนาจะมีพวกอิสลามเข้าไปทำงานในสำนักพุทธฯ ฟังดูก็อาจจะเออออห่อหมกและเคลิ้มตามไปด้วย แต่ถ้าหากกลับมามีสติรู้ตัว มีปัญญารู้คิดสักนิดนึงก็จะรู้ว่าขัดกัน และพลาดไปแล้ว เพราะการเรียกร้องของพี่น้องพุทธศาสนิกชนให้ตราในรัฐธรรมนูญ 2540 ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้นมีมาก่อนการปฏิวัติ 2549 ซึ่งหมายความว่ามีมาก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับปัจจุบันด้วยเช่นกัน

การเรียกร้องนี้มีมาหลายระลอก แต่เรื่องไปยุติตรงการแบ่งส่วนราชการ กรมการศาสนาเดิมออกเป็น 2 หน่วยงาน คือ กรมการศาสนาให้สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม (ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทย) และให้ตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นและสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี คือขึ้นกับนายกรัฐมนตรีโดยตรง ไม่ใช่ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย และการแบ่งหน่วยราชการที่ว่านี้เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2545 ก่อนหน้าการปฏิวัติของคมช. อย่างน้อยก็ราว 3 ปี นายอารีย์ วงศ์อารยะเข้ามานั่งกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ หรือรัฐบาลของคมช. แล้วจะส่งคนเข้าไปในหน่วยงานขององค์กรพระพุทธศานาได้อย่างไร

เพราะกรมการศาสนาขึ้นกับกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักพุทธฯ ก็ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีตราบจนทุกวันนี้ แล้วนายอารีย์ วงศ์อารยะซึ่งเป็นมุสลิมที่นั่งกระทรวงมหาดไทยจะถืออภิสิทธิ์ใดในการวางคนของตนเข้าไปในกระทรวงและหน่วยงานอื่น พระคุณเจ้ากล่าวว่า “ตอนที่เขาปฏิวัติเสร็จ เขาได้มีการย้ายผู้ว่าเป็นมุสลิมไปหลายคน ย้ายนายอำเภอเป็นร้อย…” กล่าวอย่างนี้ยังพอจะเป็นไปได้ เพราะผู้ว่าและนายอำเภอสังกัดกระทรวงมหาดไทยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ว่านายใหม่มาก็โล๊ะข้าราชการในสังกัดของตนที่เคยภักดีกับนายเก่า แล้วก็เอาคนของตนเข้ามาแทน นี่คือระบบราชการไทยที่ผูกพันหรือฝากอนาคตเอาไว้กับนายที่เป็นนักการเมือง ทำอย่างนี้กันมานมนานกาเลแล้วตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหา และทำกันเป็นประเพณีทุกกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงาน

ประเด็นอยู่ที่ว่าพอนายอารีย์ เข้ามานั่งก็สั่งย้ายผู้ว่ามุสลิมไปหลายคน ย้ายนายอำเภอไปเป็นร้อย หมายความว่าอย่างไร ย้ายที่ว่ามาหมายถึงย้ายเข้ากรุหรือว่าย้ายเอาไปกินตำแหน่ง ถ้าหมายถึงอันหลังนี้ก็ขอทราบหน่อยเถอะว่า ผู้ว่าราชการที่เป็นมุสลิมมีอยู่กี่คน อดีตผู้ว่ายะลานั่นคนนึงล่ะ แล้วคนอื่นเล่า ส่วนนายอำเภอที่เป็นมุสลิมจำนวนนับร้อยเนี่ย ขอรายชื่อหน่อยได้ไหมขอรับ กระผมเพิ่งจะรู้จากพระคุณเจ้านี่เองว่ามุสลิมไต่เต้าขึ้นเป็นนายอำเภอได้นับร้อยคน เพราะที่รู้มาไม่น่าจะมีถึง 5 คน 10 คน ด้วยซ้ำทั่วประเทศ

และคำที่ว่า ตอนที่เขาปฏิวัติปุ๊บเนี่ย อารีย์ วงศ์อารยะก็เข้ามา ถูกมั้ย มีการสั่งส่งคนของเขาที่เข้ามาเยอะแยะนี่แหล่ะ ไปทั่วทุกจุดของประไทย อะไร? คือคำจำกัดความของประโยคที่ว่า “ที่เข้ามาเยอะแยะนี่แหล่ะ” ถ้าผู้ฟังประติดประต่อเรื่องโดยไม่สัปหงกในช่วงฟังบทบรรยายของพระคุณเจ้าก็จะเข้าใจคำจำกัดความประโยคนี้ได้เลยว่า พระคุณเจ้าหมายถึง คนที่ไม่ใช่มุสลิมเดิมที่เป็นพลเมืองไทยอยู่แล้ว แต่เป็นพวกมุสลิมต่างด้าวที่เข้ามาเมื่อตอนปฏิวัตินี่เอง โดยพระคุณเจ้าเอ่ยสัญชาติไว้เสร็จสรรพว่ามี เขมร มาเลย์ อินโด ติมอร์ และโรฮิงยา

กระผมฟังแล้วก็ยังเบลอๆ อยู่ว่า มันจะเป็นไปได้ขนาดนั้นเชียวหรือ? พวกมุสลิมต่างด้าวที่เพิ่งจะหลบหนีเข้าเมืองมาหลังการปฏิวัติ 2549 เนี๊ยะน่ะ! ทำไมพวกนี้ได้สัญชาติไทยเร็วจัง เรียนภาษาไทยก็เร็วจัง พูดยังไม่ชัดนั้นพอทำเนา แต่ไม่มีวุฒิการศึกษารับรองแล้วพวกนี้จะเข้าไปทำงานในหน่วยงานของรัฐทุกจุดทั่วประเทศได้อย่างไรกัน ถ้าพระคุณเจ้าไม่เป็นอัลไซเมอร์หรือมีความจำสั้นก็คงจะไม่ลืมน่ะ ว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ท่านผูกเรื่องเอาไว้ว่า : “ตามสถิติเมืองไทยเราเนี๊ยะ มีคนของเขาอยู่ประมาณสามล้านเก้าแสนหกหมื่นกว่าคน แต่มีผู้สำรวจคร่าวๆ ปัจจุบันนี้น่าจะมีเกือบสิบล้าน มาจากไหน?

ตอนที่เขาปฏิวัติสำเร็จ เขาได้มีการย้ายผู้ว่าเป็นมุสลิมไปหลายสิบคน ย้ายนายอำเภอเป็นร้อย เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้ามาได้สะดวก และพื้นที่ที่เขากว้านซื้อก็คือตามตะเข็บชายแดนเข้ามา เมื่อช่วงต้นปีนี้ เราเห็นมั้ยที่อพยพมาจากติมอร์ ชาวโรฮิงย่า พวกนี้ แล้วก็เข้ามาจากพวกเขมรเอย มาเลย์เอย อินโดฯ เยอะแยะเต็มไปหมด ที่ท่านเจ้าคุณธรรมบอกว่าอยู่แถวศิริราช แถวทุ่งครุ อะไรนี่ พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่บุคคลเหล่านี้มีบัตรประชาชนถูกต้องได้อย่างไร? นี่ก็คือเหตุ”

พูดผ่านมาไม่กี่นาทีพระคุณเจ้าก็วกกลับมาหลังจากพูดถึงสงครามโลกและเรื่องข้าวว่า : “ตอนที่เขาปฏิวัติปุ๊บเนี๊ยะ อารีย์ วงศ์อารยะก็เข้ามา ถูกมั้ย ก็มีการสั่ง ส่งคนของเขาที่เข้ามาเยอะแยะเนี่ยะแหละ ไปทั่วทุกจุดของประเทศไทย” เรื่องแปลกๆ จึงไม่ได้อยู่ที่มีพวกต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่แปลกที่ว่าพวกนี้เข้ามาก่อนการปฏิวัติหรือเมื่อต้นปีนี้หรือเมื่อปฏิวัติเสร็จปุ๊บ ก็เข้ามาปั๊บ! แบบกดรีโมทคอนโทรล

ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าได้บัตรประชาชนมาอย่างถูกต้องได้อย่างไร มันก็มี 2 อย่างแหล่ะพระคุณเจ้า

1. ก็คือเขาเข้ามานานแล้ว และอยู่จนได้สัญชาติถึงจะมีสิทธิทำบัตรประชาชน ส่วนแขกทุ่งครุกับศิริราชนั้นผมตอบไปแล้วในบทความก่อนของพระเดชพระคุณท่านที่ได้รับข้อมูลจากคุณหมอศิริราชคนเก่ง คนมุสลิมในสองย่านนั้นเขาต้องมีบัตรประชาชนถูกต้องอยู่แล้วเพราะมุสลิมบางกอกน้อยเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโน้น แล้วก็ล่องแพหนีพม่าเมือคราวกรุงแตกลงมาเป็นแขกแพอยู่ตรงนั้น ส่วนย่านทุ่งครุก็เข้ามาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งสงครามกับหัวเมืองปักษ์ใต้ บัตรประชาชนของพวกเขาก็ถูกต้องแน่นอนเพราะพวกเขาเป็นคนไทยอย่างน้อยก็ 200 ปีมาแล้ว

2 ก็คือบัตรปลอม คือทำปลอมขึ้นมาหรือไม่ก็สวมสิทธิ และไอ้บัตรปลอมนี้เวลาจ่ายเงินใต้โต๊ะแล้วมันก็แปรสภาพเป็นบัตรจริงได้ไม่ยาก ประเด็นจึงไม่ได้อยู่เพียงแค่พวกนี้มีบัตรประจำตัวประชาชนแต่อยู่ตรงวุฒิการศึกษาที่ใช้สมัครงานตามหน่วยงานราชการที่มีแผนจะวางคนพวกนี้เอาไว้ทุกจุดทั่วประเทศ มันฟังดูแล้วก็ทะแม่งๆ อยู่ดีว่า พอปฏิวัติปุ๊บพวกนี้เข้ามาได้สะดวกโยธินเพราะกระทรวงมหาดไทยเจ้าของบัตรประชาชนอยู่ภายใต้การกำกับของนายอารีย์ พอได้บัตรปุ๊บก็ส่งคนพวกนี้ไปอยู่ตามจุดต่างๆ ทันที

ไอ้จุดต่างๆ ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ป้ายรถเมล์ หรือโคนต้นมะขามที่ท้องสนามหลวง แต่เป็นหน่วยงานราชการทั่วประเทศ แล้วเจ้าหน้าที่หน่วยงานเหล่านั้นรับคนพวกนี้เข้ามาทำงานได้อย่างไร ไม่ได้คัดกรองคุณสมบัติเลยหรือที่ปล่อยให้ต่างด้าวที่เพิ่งเข้ามาเหยียบเมืองได้ไม่ถึง 3 ปี เข้ามาทำงานในสังกัดของตน คนไทยแท้ๆ ยังสอบยังสมัครกันไม่ติด แล้วคนพวกนี้จะสอบได้และเข้าบรรจุในหน่วยงานทั่วประเทศได้อย่างไร? ยิ่งถ้าเป็นนายอำเภอและผู้ว่าด้วยไปกันใหญ่ ดูมันจะเป็นเรื่องที่คิดเป็นตุเป็นตะไปหน่อยกระมัง! ใครเชื่อว่าจริงก็เขลาแล้วล่ะท่าน!

และการอ้างว่า เลขาธิการองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ชื่อ นายพัลลภ ไทยอารีย์ ว่าเป็นมุสลิม ข้อนี้กระผมคงไม่แจกแจงและไขความกับพระคุณเจ้าหรอกขอรับ! ข้อนี้ต้องถามไปยังองค์การ พ.ส.ล. เขาเอาเองว่าเลขาธิการของท่านเป็นมุสลิมที่แฝงตัวเข้ามาใช่หรือไม่? ถ้าใช่ก็ลงมติปลดซะก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าบุคคลผู้นี้เขายืนยันว่าตนเป็นชาวพุทธไม่ใช่มุสลิมก็เป็นเรื่องระหว่างชาวพุทธด้วยกันเองว่าสะสางกันอย่างไร?

เพราะมีพระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวหาว่าเลขาธิการองค์การพุทธระดับโลกเป็นมุสลิมไม่ใช่พุทธ และเข้ามาในฐานะสายลับของมุสลิมที่หวังจะครอบครององค์กรของชาวพุทธ กระผมเรียนตามตรงกับพระคุณเจ้าและพี่น้องชาวพุทธว่า ไม่มีมุสลิมคนใดเขายินดีกับการที่มุสลิมคนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถาบันและองค์กรของศาสนาอื่นหรอกขอรับ เพราะมันเสี่ยงแบบสุดๆ สำหรับการสิ้นสภาพจากความเป็นมุสลิม!