แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

ข้อเท็จจริง

จริงๆ เขาระบุว่า “มีการจัดสวัสดิการให้สมาชิกตั้งแต่เกิดถึงตาย รวมถึงการจัดสวัสดิการภายในชุมชนด้านการศึกษา สาธารณกุศล สาธารณประโยชน์และสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นเป้าหมายสำคัญของสถาบันการเงินชุมชน” ดังนั้นถ้าเป็นสมาชิกก็ย่อมได้สวัสดิการตามนโยบายของสถาบันการเงินชุมชนได้กำหนดเอาไว้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการจะเป็นมุสลิมหรือพุทธก็ตาม แต่ถ้าเป็นสมาชิกก็ย่อมมีสิทธิได้รับสวัสดิการ จะเป็นมุสลิมหรือพุทธก็ตามเช่นกัน นี่ว่าตามนโยบาย ส่วนในขั้นปฏิบัติจริงก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง

ที่พูดว่า “เป็นไงพวกเราได้อะไรบ้าง” ก็ได้จากกองทุนอื่นที่รัฐกำหนดเอาไว้ในเรื่องสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์งัยล่ะ มีอีกตั้งหลายหน่วยงานที่รัฐจัดงบประมาณเอาไว้ จะว่าไม่ได้เลยได้อย่างไร? และถ้าชาวพุทธที่นั่งฟังคำบรรยายของพระคุณเจ้าไม่ได้อะไรเลยจากสวัสดิการของสถาบันการเงินชุมชนในระบบอิสลาม เพราะอยู่นอกพื้นที่การจัดตั้ง มุสลิมที่อยู่นอกพื้นที่ก็ไม่ได้เช่นกัน!

และสวัสดิการที่กำหนดว่าสมาชิกจะได้ตั้งแต่เกิดจนตายเนี๊ยะ มันก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดเงินที่มีอยู่ในแต่ละแห่งซึ่งมีมากน้อยไม่เท่ากันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว คนที่เข้าเป็นสมาชิกตอนนี้มีอายุ 50 ปีก็คงได้สวัสดิการแค่ช่วงอายุขัยที่เหลือ เพราะเมื่อตอนเกิด (50 ปีที่แล้ว) เขาคงไม่คิดย้อนหลังไปจ่ายให้หรอกกระมัง! กระผมว่า คนที่เขาไม่เคยได้รับสวัสดิการมาก่อนเลยครึ่งค่อนชีวิตทั้งๆ ที่เสียภาษีให้แก่รัฐบาลมาโดยตลอด พอเขามีโอกาสจะได้รับสวัสดิการเช่นนี้บ้าง ก็อย่าไปอิจฉาริษยาเขาเลย เมื่อเขามีสิทธิที่จะได้รับและมีความชอบธรรมเราจะไปคัดค้านทัดทานและปิดโอกาสของเขาทำไมกัน!

และที่สำคัญสวัสดิการที่เขาได้รับก็เป็นผลมาจากเงินออมของเขาที่ส่งเข้าสถาบันการเงินไม่ใช่เป็นเงินมาจากรัฐทั้งหมด รัฐเพียงแต่มีงบประมาณสนับสนุนในเรื่องการให้ความรู้ การหาบุคลากรผู้ชำนาญการโครงสร้างหลักของสถาบันมันอยู่ที่เงินออมของสมาชิกเป็นหลัก เมื่อเขาฝากเงินเอาไว้ลงทุนหรือออมทรัพย์และเงินที่ส่งเข้าร่วมกองทุนก็เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเขา เขาก็ควรได้รับสิทธิประโยชน์กลับคืนมาเป็นสวัสดิการมิใช่หรือ?