แผนยึดครองประเทศของชนมุสลิม ฉบับพระสงฆ์ตามที่ปรากฏในไฟล์เสียง

ไขความและแก้ต่าง

ความจริงเรื่องโควตาพิเศษให้ชาวมุสลิมได้เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐนั้น มีมาก่อนหน้าการปฏิวัติทำรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อ 2549 หลายปีมาแล้ว อาจจะมีเวลาย้อนกลับไปตั้งแต่ 40 ปีที่แล้วโน้นด้วยซ้ำ

เพราะพระคุณเจ้าบอกว่าแผนคิดการใหญ่นั้นเริ่มมาตั้ง 40 ปีมาแล้วมิใช่หรือ! สงสัยท่านจับเรื่องผูกโยงกันจนสับสนเสียเอง รัฐบาลในอดีตก่อนหน้ารัฐบาลคมช. เคยมีนโยบายส่งเสริมการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐมาก่อนแล้ว ไม่ใช่พอปฏิวัติเสร็จก็มีคำสั่งเรื่องโควตานี้อย่างที่พระท่านว่า รัฐบาลทักษิณฯ เองก็มีนโยบายเช่นนี้นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เมื่อปี พ.ศ. 2547  เหมือนกัน

และที่สำคัญการกำหนดโควตาพิเศษในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องสอบนั้นไม่ได้ทำต่อเนื่อง บางช่วงเหตุการณ์สงบดีก็ยกเลิกสิทธิโควตาพิเศษนี้ พอมีเหตุการณ์รุนแรงปะทุขึ้นก็รื้อฟื้นนโยบายนี้กลับมาใหม่ เป็นเช่นนี้มาก่อนหน้าการปฏิวัติปี 2549 หลายสิบปีเลยทีเดียว นักศึกษาที่ได้สิทธินี้ก็เฉพาะนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น มุสลิมนอกพื้นที่ไม่มีสิทธิ หากอยากจะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยก็ต้องสอบแข่งขันเหมือนกับชาวพุทธทั่วไปเช่นกัน

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่โควตาพิเศษ หากแต่อยู่ที่สภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มากกว่า บุคลากรครูขาดแคลนอย่างหนัก มาตรฐานการศึกษาต่ำกว่ามาตรฐาน ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิม บุคลากรผู้ชำนาญการเฉพาะสาขา เช่น หมอ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ที่เคยอยู่ก็ขอย้ายออกจากพื้นที่ ที่กำลังศึกษาอยู่ก็ป้อนไม่ทันเพราะโควต้าพิเศษที่ว่าก็ไม่ได้มากมายอะไร รุ่นละ 20-30 คน แล้วถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรพระคุณเจ้าช่วยบอกทีเถอะ

และมาช่วงหลังๆ นี้ก็จะเปิดโควตารับเฉพาะสาขาที่ขาดแคลนบุคลากรจริงเท่านั้น เช่น นักศึกษาพยาบาล 3,000 คนที่เป็นโควตาของกระทรวงสาธารณสุข นักศึกษาพยาบาลที่ได้รับโควตาพิเศษให้เข้าเรียนต่อในวิทยาลัยการพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขและแพทย์พยาบาลให้การรับรองนั้นก็มีทั้งมุสลิมและพุทธ ไม่ใช่มุสลิมทั้ง 3,000 คน แต่เน้นว่าต้องเป็นคนในพื้นที่เป็นหลัก มุสลิมนอกพื้นที่จะเป็นที่กรุงเทพฯ เองก็ไม่มีสิทธิ

พระคุณเจ้าคงไม่ลืมน่ะว่า ผนการยึดครองประเทศไทยนี้มีมุสลิมโดยรวมคือมุสลิมทั่วประเทศเป็นตัวการ ไม่ใช่เฉพาะมุสลิมใน 3 จังหวัด และเรื่องโควตาพิเศษที่ว่านี้มหาวิทยาลัยมีสัดส่วนเกือบทุกมหาวิทยาลัยกำหนดเอาไว้ทั้งสิ้น ตอนหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันก็มีโควตาพิเศษให้กับนักศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ซึ่งมีทั้งพุทธและมุสลิม  

ความจริงเรื่องโควตาพิเศษนี้ บางทีนักศึกษาจบม.ปลายที่เรียนไม่เก่ง เกรดไม่ถึงเขาก็รับ ขอเป็นเพียงนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียนก็แล้วกันจะได้มาสร้างชื่อเสียงด้านกีฬาให้กับมหาวิทยาลัยต่อไป เขามองกันว่าอย่างนี้ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่แต่อย่างใด มิหนำซ้ำโควตาพิเศษ “ช้างเผือก” ที่ให้กับนักกีฬานี่น่ะมากกว่าโควตาที่ให้กับมุสลิมเสียอีก

ส่วนโควตาพิเศษที่ให้เข้าเรียนแพทย์เนื่องจากในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ขาดแคลนหมอนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ได้โควตาเข้าเรียนคณะแพทย์โดยไม่ต้องสอบแข่งขัน จะเป็นการการันตีว่าทุกคนที่ได้สิทธิโควตาจะเรียนจบกันทุกคน ไม่ใช่ว่า 100 คน ก็จะจบทั้ง 100 คน เพราะบางคนเรียนไม่ไหว เนื่องจากพื้นไม่ดีซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงเรียนในชนบทที่ห่างไกลและมีปัญหาอย่างที่รู้กัน เด็กเหล่านี้มิใช่หัวกะทิเหมือนเด็กโรงเรียนเตรียมอุดม, สวนกุหลาบ, สาธิตจุฬา เหมือนอย่างในกรุง

เมื่อรัฐเปิดโอกาสให้ก็ได้เรียน ส่วนถ้าจะไปสอบแข่งขันนะหรือคงย๊ากส์ส์ส์  เด็กนักเรียนในโรงเรียนชื่อดังเอาไปกินหมดและเกินครึ่งหนึ่งก็จะมีผิวขาว ตาชั้นเดียว คือเป็นอาหมวย อาตี๋ ประเภทลูกคนมีกะตังค์ทั้งสิ้น เมื่อมาตรฐานและโอกาสทางการศึกษามันต่างกันลิบลับอย่างนี้ เด็กบ้านนอกจะมีโอกาสเรียนแพทย์ได้อย่างไร ถ้าไม่มีโควตาพิเศษ

ครั้นเมื่อได้เรียนแล้ว เรียนไม่ไหวด้วยเหตุที่ว่ามา ก็ต้องถูกรีไทร์อยู่ดี ที่จบแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นหมอได้เลย ต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ ที่แพทย์สภากำหนดเอาไว้อีกเช่นกัน สอบใบประกาศฯ ไม่ได้ก็เป็นแค่หมอเถื่อน! และการเรียนแพทย์ตลอดจนวิชาชีพพยาบาลนี้นั้น ก็ต้องใช้เวลายาวนานพอสมควร ไม่ใช่เรียนเป็นหมอนวดแผนโบราณเสียหน่อยพระคุณเจ้า!

โควตาพิเศษนักเรียนเตรียมทหารก็เข้าอีหรอบเดียวกัน หากไม่มีโควตาที่ว่านี้ก็อย่าหวังว่าจะได้เรียน เพราะต้องมีเส้นสาย ต้องเป็นเด็กฝากถึงจะมีโอกาส และถ้าจะวางแผนยึดครองกองทัพและเปลี่ยนให้เป็นกองทัพมุสลิมดังท่านว่าแล้ว ไฉนจึงกำหนดเพียงแค่โควตาพิเศษเตรียมทหารเล่า! ทำไมไม่กำหนดโควตาพิเศษนักเรียนนายร้อย จปร. นักเรียนนายร้อยทหารบกไปเสียเลย เพราะจะได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ไม่ใช่แค่นายสิบหรือเป็นทหารตำรวจแค่ชั้นประทวน แล้วเมื่อไหร่จะได้คุมกองทัพเล่า

อย่าว่าแต่ 10 ปีเลย อีก 30 ปีข้างหน้าจะมีเสธฯ ที่เป็นมุสลิมหรือเป็นระดับนายพลกี่คนก็ยังจะสุดคะเน พระคุณเจ้าพูดเหมือนไม่รู้ว่า ในวงการสีนั้น ทั้งทหารและตำรวจต้องอาศัยเส้นสาย ต้องเอาใจนาย ต้องมีผู้ใหญ่ท่านส่งเสริม บางคนเป็นนายดาบจนเกษียณก็เพราะเส้นไม่ใหญ่พอ เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลยว่าแค่ได้เข้าเรียนในสถาบันทหารตำรวจแล้วจะสามารถไต่เต้าขึ้นไปคุมกำลังพลแบบสะดวกโยธิน

ทหารตำรวจเขามีรุ่น มีธรรมเนียมในเรื่องปรับเลื่อนชั้นของเขา ซึ่งไม่มีใครไปคอนโทรลได้ จะมีอยู่ก็พวกเดียวคือ นักการเมืองที่คุมผ่านกลาโหม หรือนั่งอยู่ใน กตร.  โน่นแหล่ะที่ทำได้ หากจะว่าไปแล้ว กองทัพไทยทุกวันนี้ก็มีกำลังพลที่เป็นมุสลิมจำนวนไม่ใช่น้อยที่มาจากทหารเกณฑ์ แต่เมื่อรับราชการทหารครบตามที่กำหนดแล้ว ก็ไม่มีสักกี่คนหรอกที่เอาดีในวิชาชีพนี้ คือทั้งทหารตำรวจจะบอกตามตรงเลยว่าชาวมุสลิมไม่ได้นิยมเป็นทหารและตำรวจ

ยิ่งตำรวจด้วยแล้ว เดินกันคนละทางไปเลยเสียดีกว่า เพราะเมื่อเข้าวงการสีกากีนี้เมื่อใด ความเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดต่อศาสนาก็เสื่อมและเบาบางลงเมื่อนั้น จะมีข้าราชการทหารตำรวจมุสลิมเพียงไม่กี่คนหรอกที่สามารถครองตนรักษาศาสนาของตัวให้มั่นคงและมีความเจริญในหน้าที่ไปพร้อมๆ กัน เรียกกันว่ามีคนประเภทนี้น้อยมาก เมื่อความเป็นจริงเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่พระคุณเจ้าว่ามาจะเกิดขึ้นได้อย่างไรภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี กองทัพไทยจะกลายเป็นกองทัพมุสลิม ทั้งๆ ที่มุสลิมเป็นเพียงแค่กำลังพลทหารเกณฑ์กับนายทหารและนายตำรวจเพียงไม่กี่สิบคนทั้ง 4 เหล่าทัพ

และถ้าหากโยงว่าการเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิมย้อนกลับไปตั้งแต่ที่วางแผนกันไว้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว อันนี้ก็น่าขันน่าหัวเราะหนักเข้าไปอีก คนรุ่น 40 ปีที่แล้วเนี่ยนะที่วางแผนระยะยาวอันลึกล้ำในการเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม ทั้งๆ ที่คนรุ่นนั้นหนีทหารกันเป็นว่าเล่น ทั้งเปลี่ยนสัญชาติ เปลี่ยนนามสกุลก็มี

ไอ้เรื่อง “เดินทหาร” โดยได้รับใบดำมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเกณฑ์อย่างที่นายกอภิสิทธิ์โดนเล่นงานเนี่ยะ ขอโทษ! พระคุณเจ้า! มุสลิมทำกันมานักต่อนักแล้ว ฉะนั้น ถ้าหากมุสลิมอยากจะยึดกองทัพก็ต้องเป็นทหารสิ! จะหนีทหาร จะทำเรื่อง “เดินทหาร” กันให้เปลืองสตุ้งสตางค์ไปทำไม!

และที่พระคุณเจ้าว่า “มุสลิมวางตัวไว้หมดแล้วทั้งฝ่ายทหารและตำรวจเนี่ย วางเวรยามทหารเกณฑ์หรือว่าวางนายทหารนายตำรวจมุสลิมระดับกำลังพลเอาไว้ ถ้าหมายถึงอย่างหลังนี้ก็ขอดูรายชื่อหน่อยเถอะ จะได้เป็นบุญตา ดูสิว่ากองทัพบกมีกี่คน ทัพเรือมีกี่คน ทัพอากาศมีกี่คน ตำรวจมีกี่คน รวมแล้วได้กี่คน ถ้ามีเพียงแค่คนสองคนในแต่ละเหล่าทัพแล้วจะยึดครองจะเปลี่ยนเป็นกองทัพมุสลิมได้อย่างไร? ถ้าให้ไปรื้อตลาด ทะเลาะกับพ่อค้าแม่ขายก็พอไหว หรือจะให้ไปยึดวินรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็พอได้ แต่ถ้าจะยึดกองทัพทั้ง 4 เหล่าและมีคนอยู่เพียงแค่นี้ ไปยึดวัดที่พระคุณเจ้าจำวัดอยู่คงจะดีกว่ากระมัง! (ขออภัยพระคุณท่าน สัพยอกเล็กๆ น้อยๆ  ขอพระคุณท่านอย่าถือสาหาความนะขอรับ!)