เหตุการณ์สำคัญในเดือนเชาว๊าล
วันเสาร์ที่ 7 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 3 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
เกิดสมรภูมิ “อุฮุด” ซึ่งมีสาเหตุมาจากบรรดาพวกผู้นำของฝ่ายกุเรซที่รอดพ้นจากการถูกสังหารเมื่อครั้งสมรภูมิ “บัดร์” ได้ร่วมชุมนุมหารือภายใต้การนำของอบูซุฟยาน ช๊อคร์ อิบนุ ฮัรบ์และได้มีมติให้ทำสงครามล้างแค้นแก่บรรดาชาวมักกะฮฺที่สูญเสียชีวิตในสมรภูมิ “บัดร์” และสู้รบกับท่านศาสดา (ซ.ล.) และมวลมุสลิมในนครม่าดีนะห์
ส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้นำของฝ่ายมักกะฮฺที่เข้าร่วมประชุมกับอบูซุฟยานนั้นได้แก่ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อบี ร่อบีอะห์ , อิกริมะห์ อิบนุ อบีญะฮฺล์ , ซ็อฟวาน อิบนุ อุมัยยะฮฺ พร้อมด้วยเหล่าชาวอาหรับมักกะฮฺทั้งหลายที่ต้องสูญเสียบรรดาพ่อ ลูก ๆ และพี่น้องวงศ์ญาติเมื่อครั้งสมรภูมิ “บัดร์” และทุนทรัพย์ในการทำสงครามล้างแค้นครั้งนี้ของชาวมักกะห์ก็คือผลกำไรที่ได้รับจากกองคาราวานที่อบูซุฟยานได้นำพารอดพ้นมาจากเงื้อมมือของฝ่ายมุสลิมจากการค้าขายที่แคว้นชาม
นอกจากนี้ยังได้พวกอะฮาบีช (พวกเอธิโอเปีย) และชาวอาหรับจากเผ่ากินานะฮฺตลอดจนชาวแคว้นติฮามะฮฺ (แถบชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับ) ชาวอาหรับมักกะฮฺยังได้นำบรรดาสตรีเป็นจำนวนมากเข้าร่วมในกองทัพอีกด้วยทั้งนี้เพื่อว่าพวกนางจักได้คอยทัดทานมิให้บรรดาผู้ชายนั้นหนีทัพในเมื่อฝ่ายมุสลิมได้โจมตีอย่างหนักและในที่สุดพวกกุเรซมักกะฮฺและไพร่พลจำนวน 3,000 คนก็เคลื่อนทัพออกจากนครมักกะฮฺ ฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.)
เมื่อได้รับทราบข่าวการเคลื่อนทัพของพวกกุเรซมักกะห์ พระองค์ก็ได้ทรงทำการร่วมปรึกษากับเหล่าอัครสาวกทั้งหลายและได้ทรงเสนอให้เหล่าอัครสาวกเลือกเอาระหว่างการออกไปตั้งทัพนอกเมืองนครม่าดีนะห์และสู้รบทำศึกที่เขตนอกเมืองนั่นกับการที่จะตั้งรับการรุกรานภายในเขตตัวเมืองม่าดีนะห์และเมื่อพวกกุเรซรุกเข้ามาก็ค่อยส่งกำลังพลออกไปขัดตาทัพ ปรากฏว่าบรรดาอัครสาวกชั้นผู้ใหญ่บางท่านได้มีความเห็นว่าให้ตั้งรับอยู่เขตตัวเมืองไม่ต้องออกไปตั้งทัพนอกเมือง
ซึ่งส่วนหนึ่งจากผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อทัศนะนี้ก็คือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยย์ หัวหน้าของกลุ่มชนที่สับปลับ แต่ทว่าบรรดาอัครสาวกเป็นจำนวนมากที่พลาดโอกาสในการเข้าร่วมสู้รบเมื่อครั้งสมรภูมิ “บัดร์” ต่างก็มีความปรารถนาในการให้เคลื่อนทัพออกไปตั้งรับนอกเมืองโดยได้กล่าวแก่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ว่า “โอ้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ขอพระองค์ท่านได้โปรดนำพวกเราออกไปยังเหล่าศัตรูของพวกเราด้วยเถิด พวกเหล่านั้นจักได้ไม่เห็นว่าพวกเรานั้นขลาดเขลาและอ่อนแอ” บรรดาเหล่าอัครสาวกได้พยายามรบเร้าต่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ให้ยอมรับต่อความเห็นของพวกท่านเหล่านั้นจนในที่สุดท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ได้ทรงเห็นด้วยต่อทัศนะดังกล่าว พระองค์ท่านจึงได้เข้าไปในบ้านของท่านและสวมเกราะอ่อนพร้อมทั้งหยิบอาวุธออกมา
บรรดาเหล่าอัครสาวกกลุ่มดังกล่าวที่รบเร้าต่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ให้เคลื่อนทัพออกไปทำศึกนอกเมืองนั้นก็พากันเข้าใจกันว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงกระทำเช่นนั้นไปเพราะทนรบเร้าไม่ไหวซึ่งเท่ากับท่านสาวกเหล่านั้นได้บังคับท่านศาสดา (ซ.ล.) ให้ยอมรับในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนา อัครสาวกจึงมีความเสียใจต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไป แต่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ทรงกล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า “ย่อมไม่เป็นการสมควรสำหรับผู้เป็นศาสดาเมื่อเขาได้สวมใส่เกราะแล้วจะทำการถอดเกราะนั้นออกจนกว่าเขาจะได้ทำการสู้รบเสียก่อน”
ในที่สุดท่านศาสดา (ซ.ล.) พร้อมด้วยเหล่าอัครสาวกประมาณ 1,000 คนอันประกอบด้วยทหารม้า 50 นายถือหอกเป็นอาวุธหลักและทหาราบเดินเท้าอีก 750 นายทหารเดินเท้าส่วนหนึ่งถือธนูและอีกส่วนหนึ่งถือโล่ห์และดาบ ในบรรดาทหารทั้งหมดนี้มีประมาณ 100 นาย ที่สวมเสื้อเกราะ กองทัพฝ่ายมุสลิมได้ตั้งค่ายทางทุ่งราบอุฮุด ตอนเหนือของตาน้ำแฝด (อัยนัยน์) ไปเล็กน้อย โดยได้จัดยามเฝ้าระวังป้องกันการถูกลอบโจมตีในช่วงเวลากลางคืนไว้ด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นทางฝ่ายมุสลิมได้รับข่าวว่าพวกกุเรซเตรียมพร้อมที่จะทำการเข้าโจมตีแล้ว ดังนั้นฝ่ายมุสลิมจึงได้จัดเตรียมกำลังวางแนวรบไว้รับมือข้าศึกทันที กองทหารของมุสลิมได้จัดตั้งแนวรบเป็นแถวยาว 600 หลาระหว่างทิวเขาอุฮุดที่ยื่นออกมากับตีนเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่งที่มีชื่อว่า ภูผาของ พลธนู (ญะบั้ลรุมาต) พลแม่นธนูภายใต้การนำของท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญุบัยร์ จำนวน 50 นาย ได้ถูกส่งขึ้นไปประจำอยู่บนภูเขารุมาตเพื่อคุ้มกันมุสลิมทางปีกซ้าย และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเพื่อคอยป้องกันทหารม้าของฝ่ายข้าศึกที่จะเข้ามาในที่ราบอุฮุดทางช่องเขารุมาตอีกด้วย
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงมีคำสั่งกำชับเหล่าพลแม่นธนูว่า”พวกท่านทั้งหลายจงยืนอยู่ในแถวของพวกท่านนี้และคุ้มกันพวกเราจากทางด้านหลัง และถ้าหากว่าพวกท่านเห็นว่าพวกเราได้รับชัยชนะ พวกท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องเข้ามาร่วม และถ้าหากว่าพวกท่านเห็นว่าพวกเราถูกสังหารก็ไม่ต้องช่วยเหลือพวกเรา”หมายความว่าห้ามละทิ้งที่มั่นไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม อนึ่งในช่วงก่อนการตั้งค่ายของฝ่ายมุสลิมนั้น อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยย์และพรรคพวกของตนจำนวน 300 คนซึ่งเท่ากับหนึ่งในสามของกำลังพลฝ่ายมุสลิมได้ปลีกตัวออกจากกองทัพไปจึงทำให้กำลังพลของฝ่ายมุสลิมมีเหลืออยู่ไม่เกิน 700 นาย
กองกำลังของพวกมักกะฮฺประกอบด้วยกำลังพลทหารเดินเท้า 2,800 นาย (รวมถึงทหารที่สวมเสื้อเกราะจำนวน 700 นาย) และทหารม้าอีก 200 นาย พวกมักกะฮฺจัดแถวรบเรียงหน้ากระดานขนานเป็นระยะทางยาวเท่ากับแถวรบของมุสลิม โดยแบ่งทหารม้าออกเป็นสองส่วน ส่วนทางปีกขวาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคอลิด อิบนุ อัลวะลีด ตั้งอยู่หลังแถวพลเดินเท้าทางปีกขวา และทหารม้าอีกส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ อิคริมะฮฺ อิบนุ อบีญะฮฺลินตั้งคุมเชิงอยู่หลังพลเดินเท้าทางด้านซ้าย
ทหารของฝ่ายมักกะฮฺที่ยกมาในครั้งนี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ อบูซุฟยาน อิบนุ ฮัรบ์ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงมอบธงรบให้แก่ท่านมุซอับ อิบนุ อุมัยร์ และสงครามก็ได้เริ่มขึ้นด้วยการส่งตัวแทนของแต่ละฝ่ายออกมาสู้รบดวลดาบกันตัวต่อตัวก่อนที่จะรบพุ่งกันแบบตะลุมบอน ทางฝ่ายมุสลิมได้ส่งท่าน ฮัมซะฮฺ อิบนุ อับดิลมุตตอลิบ,ท่านอะลี อิบนุ อบีตอลิบ, ท่านอบูดัจญานะห์ และท่าน มุซอับ อิบนุ อุมัยร์
หลังจากนั้นการรบพุ่งก็ได้เริ่มดุเดือดขึ้น ท่านมุซอับ อิบนุ อุมัยร์ ก็ถูกสังหารใกล้ ๆ กับท่านศาสดา (ซ.ล.) ท่านอะลี อิบนุ อบีตอลิบ ก็ได้รับธงรบต่อมา ชัยชนะของฝ่ายมุสลิมก็เริ่มปรากฏ ฝ่ายพวกมักกะฮฺเริ่มแตกทัพไม่เป็นกระบวนฝ่ายมุสลิมได้รุกคืบหน้ามากขึ้น ฝ่ายมักกะฮฺก็เริ่มหนีทัพ หากแต่ว่าบรรดาพลแม่นธนูกลับหลงลืมคำสั่งของท่านศาสดา (ซ.ล.) ที่ทรงกำชับไม่ให้ละทิ้งที่มั่น พลแม่นธนูส่วนใหญ่ได้ละทิ้งที่มั่นและพากันผละลงมาเก็บทรัพย์สงครามโดยเข้าใจว่าสงครามได้ยุติแล้ว ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ญุบัยร์กับพลแม่นธนูบางส่วนยังคงรักษาที่มั่นอยู่
แต่ทว่าไร้ผลเมื่อคอลิด อิบนุ อัลวะลีด และกองทหารม้าของฝ่ายมักกะห์ได้เห็นช่องว่างเมื่อทางด้านตะวันออกของภูผาอัรรุมาตขาดการคุ้มกันจากพลแม่นธนูที่เพียงพอ เมื่อคอลิดซึ่งถอนกำลังทหารม้าออกมาหลังจากที่ลองเข้าตีทางช่องว่าง รุมาตแล้วเห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสทองของตนให้หลุดลอยไป คอลิดจึงได้นำทหารม้าของตนเข้าตีอีกครั้งหนึ่ง พลแม่นธนูที่เหลืออยู่เพียงบางส่วนจึงวิ่งกรูกันเข้ายิงธนูใส่เพื่อต้านการโจมตีของคอลิด แต่ก็ไร้ผล กองทหารม้าที่บอบบางของฝ่ายมุสลิมจึงถูกตีแตกกระเจิง
เมื่อเห็นว่าศัตรูโผล่มาทางด้านหลังของตน มุสลิมที่กำลังรุกคืบหน้าก็พยายามที่จะกลับมาช่วยแนวหลังแต่ก็มีกำลังน้อยเกินไปจึงไม่สามารถปรับขบวนรบได้ ดังนั้นแนวรบของมุสลิมจึงถูกตีแตก กองทหารม้าของอิคริมะฮฺ จึงได้เข้าตีกระหน่ำซ้ำสอง กองทหารเดินเท้าของฝ่ายมักกะฮฺจึงหวนกลับสู่สมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้มุสลิมจึงต้องเผชิญกับการบดขยี้อย่างหนักหน่วง ท่าน ฮัมซะฮฺ ก็ถูก วะฮฺชีย์ จอมพุ่งแหลนมือฉมังสังหารตายในสนามรบ
ข่าวลือว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงเสียชีวิตก็กระจายไปทั่วในสมรภูมิ มุสลิมจึงขวัญเสียแต่ทว่าไม่นานนักความจริงก็ได้ปรากฏว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) ยังคงมีชีวิตอยู่ ในที่สุดฝ่ายมุสลิมจึงได้ถอยทัพและหนีขึ้นไปรวมสมทบกับท่านศาสดา (ซ.ล.) บนเขา ในสมรภูมิอุฮุดฝายมุสลิมได้เสียชีวิตเป็นจำนวนถึง 70 คนในจำนวนนี้มีท่านฮัมซะฮฺ อิบนุ อัลดิลมุตตอลิบ,ท่านอะนัส อิบนุ อันนัฎร์,ท่านมุซอับ อิบนุ อุมัยร์ สงคราม “บัดร์” เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายมุสลิม แต่ทว่าในสงครามอุฮุดก็เป็นความปราชัยอันยิ่งใหญ่พอ ๆ กัน
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงใช้ความสามารถของท่านในการรณรงค์ศึกครั้งนี้อย่างถึงที่สุดแล้ว ถ้าหากว่าทหารทุกคนรักษาคำสั่งของผู้นำอย่างเคร่งครัด ชัยชนะก็คงเป็นของฝ่ายมุสลิมอย่างเด็ดขาดแต่ทว่าเพราะการขาดวินัยของบรรดาพลแม่นธนูที่เห็นแก่ได้และละเลยคำสั่งตลอดจนละทิ้งที่มั่นสำคัญจึงนำไปสู่การสูญเสียและชัยชนะที่เห็นอยู่ร่ำไรของฝ่ายมุสลิมต้องถูกฉกฉวยไป ประวัติศาสตร์ของสมรภูมิในครั้งนี้นั้นจึงเป็นบทเรียนในเรื่องของวินัยและการปฏิบัติตามคำสั่งของมุสลิมได้อย่างบอบช้ำที่สุด
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
เกิดสมรภูมิอัลฮุนัยน์ ในสมรภูมิครั้งนี้เผ่าฮะวาซินและซะกีฟ,เผ่านัซร์ อิบนุ มุอาวียะห์, เผ่าญัซม์,เผ่าสะอฺด์ อิบนุ บักร์และเผ่าฮิล้าล อิบนุ อามิร ได้ผนึกกำลังกันเข้าทำสงครามกับท่านศาสดา (ซ.ล.) ภายหลังการพิชิตนครมักกะห์ของฝ่ายมุสลิม ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงนำทัพอันมีกำลังพลมากถึง 10,000 นายซึ่งเป็นกำลังพลที่เคยเข้าร่วมในการพิชิตนครมักกะห์ตลอดจนมีชาวมักกะห์ที่ได้รับการนิรโทษกรรมเข้าร่วมรบอีกจำนวน 2,000 นาย เพื่อทำการปราบปรามกองทัพแนวร่วมของบรรดาเผ่าอาหรับดังกล่าว
ในการศึกครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมเห็นว่ามีกำลังทหารเป็นจำนวนมากก็ได้เกิดความประมาทและย่ามใจจนสถานการณ์ในสนามรบเกือบกลับตะละปัดเพราะบรรดาเผ่าอาหรับได้ต่อสู้อย่างดุเดือดและเป็นสามารถ กองทัพฝ่ายมุสลิมเกือบได้รับความปราชัย ถ้าหากว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) และบรรดาอัครสาวกที่ใกล้ชิดไม่ยืนหยัดปักหลักสู้อย่างมั่นคงและกล้าหาญ
สมรภูมิอัลฮุนัยน์ ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่ฝ่ายมุสลิมว่า ในเมื่อจำนวนกำลังพลที่มีเพียงน้อยนิดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับชัยชนะและมุสลิมในสมรภูมิบัดร์ การมีกำลังพลเป็นจำนวนมากก็มิใช่ปัจจัยสำคัญในการการันตีชัยชนะเช่นกันสำหรับฝ่ายมุสลิมเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิ อัลฮุนัยน์จำนวนกำลังพลที่เข้าสู่สนามรบของฝ่ายมุสลิมนั้นถือได้ว่ามากที่สุดกว่าสมรภูมิครั้งใด ชัยชนะจึงมิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนทหารแต่ประการใดหากแต่ขึ้นอยู่กับความศรัทธาอันมั่นคงและการไม่ประมาท
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 12 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านค่อลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก (ร.ฎ.) ได้มีสาส์นถึงท่านอบูอุบัยดะห์ อามิร อิบนุ อัลญัรรอฮฺ เสนาธิการท่านหนึ่งที่ท่านค่อลีฟะห์ได้มีคำสั่งให้เดินทัพเพื่อพิชิตแคว้นชาม (ซีเรีย) สาส์นฉบับนี้เป็นสาส์นตอบกลับถึงท่านอิบนุ อัลญัรรอฮฺที่เคยมีสาส์นถึงท่านค่อลีฟะห์ในช่วงเดือนร่อมาดอนเพื่อแจ้งข่าวการเคลื่อนไหวทางทหารของจักรพรรดิเฮราคลีอุส (ฮิรอกล์) แห่งจักรวรรดิโรมันไบแซนไทน์ในแคว้นชามตลอดจนการตั้งทัพและการระดมไพร่พลของโรมันในเมืองเอ็นตอเกีย (เอ็นทอช) เพื่อเตรียมทำการศึกกับฝ่ายมุสลิมที่ยกทัพมาประชิด สาส์นของท่านค่อลีฟะห์ มีใจความดังนี้
“ด้วยพระนามแห่งพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ สาส์นของท่านนั้นได้มาถึงข้าพเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และข้าพเจ้าก็เข้าใจถึงสิ่งที่ท่านได้แจ้งให้ทราบถึงเรื่องราวของ เฮราคลีอุส จักรพรรดิโรมันอนึ่งการตั้งทัพของเฮราคลีอุสที่เมืองเอ็นตอเกียนั้นคือความปราชัยของเฮราคลีอุส และกองทัพโรมัน และการพิชิตจากเอกองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเกิดแก่ท่านและเหล่ามุสลิม ส่วนการที่ท่านได้แจ้งถึงการระดมไพร่พลจากบรรดาผู้สวามิภักดิ์ของเฮราคลีอุสเพื่อสู้รบกับท่านนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์อยู่แล้วและพวกท่านเองก็ทราบดีว่าสถานการณ์ต้องเป็นเช่นนั้น และย่อมไม่มีกลุ่มชนใดที่จะยอมละทิ้งอำนาจของตนและละทิ้งอาณาจักรของตนโดยไม่มีการสู้รบ
และข้าพเจ้าก็ทราบดี (อัลฮัมดุลิลลาฮฺ) แท้จริงมุสลิมเป็นจำนวนมากรักความตายพอ ๆ กับที่ศัตรูของพวกเขารักที่จะมีชีวิตอยู่ได้ทำการญิฮาดต่อสู้กับพวกนั้นและพวกเขาก็มุ่งหวังผลานิสงค์อันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าและพวกเขารักที่จะต่อสู้ในวิถีทางของพระองค์มากยิ่งกว่าที่พวกเขามีความรักสาวพรหมจารีย์และทรัพย์สินของพวกเขาบุรุษเพียงคนหนึ่งจากมุสลิมเหล่านี้ในขณะพิชิตย่อมมีความประเสริฐยิ่งกว่าเหล่าผู้ตั้งภาคีถึง 1,000 คน
ฉนั้นท่านจงสู้รบประจันบาญกับกองทัพโรมันพร้อมกับเหล่าทหารหาญของท่านและท่านจงอย่าได้ใส่ใจกับมุสลิมบางคนที่หนีทัพ แท้จริงพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับท่าน และข้าพเจ้าเองก็จะสนับสนุนกำลังพลให้แก่ท่านอย่างเต็มอัตราศึกจนกระทั่งท่านมิปรารถนาจะขอเพิ่มกำลังสนับสนุนอีก อินชาอัลลอฮฺ ศานติจงมีแด่ท่านทั้งหลาย”
ท่านค่อลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก (ร.ฎ.) ได้ส่งสาส์นฉบับนี้ไปกับท่านดาริม อัลอะบะซีย์
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 12 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านค่อลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก (ร.ฎ.) ได้มีสาส์นถึงท่านยะซีด อิบนุ อบีซุฟยาน หนึ่งในเสนาธิการทหารแห่งกองกำลังพิชิตแคว้นชาม (ซีเรีย) เป็นสาส์นตอบรับเรื่องที่ท่านยะซีดได้แจ้งให้ท่านค่อลีฟะห์ได้รับทราบถึงการเตรียมทัพของพวกโรมันเพื่อทำศึกรับมือกับฝ่ายมุสลิม ในสาส์นมีใจความดังนี้
“ด้วยพระนามแห่งพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ
อนึ่ง สาส์นของท่านที่ได้ระบุถึงการเปลี่ยนแผนการรบของเฮราคลีอุสมาตั้งทัพที่เมืองเอ็นตอเกียได้มาถึงข้าพเจ้าแล้ว และขอพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงบันดาลให้เฮราคลีอุสมีความพรั่นพรึงต่อกองทัพของมุสลิม แท้จริงพระองค์ (มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์) ได้ทรงดลบันดาลให้พวกเรามีชัยเมื่อคราที่พวกเราอยู่พร้อมกับท่านศาสดา (ซ.ล.) ด้วยความครั่นคร้ามและการส่งบรรดาม่าลาอิกะห์มาเป็นทัพหนุน แท้จริงศาสนาซึ่งพระองค์ได้ทรงช่วยให้พวกรามีชัยด้วยความครั่นคร้ามก็คือศาสนาเดียวกับที่พวกเราได้เรียกร้องผู้คนมาสู่ศาสนานั้นในวันนี้
ขอสาบานต่อเอกองค์พระผู้อภิบาลว่าพระองค์จักมิทรงทำให้บรรดามุสลิมเป็นเยี่ยงเหล่าผู้ก่ออาชญากรรมและพระองค์ย่อมจักมิทรงทำให้ผู้ที่กล่าวปฏิญานยืนยันในเอกภาพของพระองค์เยี่ยงบรรดาผู้เคารพสักการะเทพเจ้าอื่นเคียงคู่พระองค์และพร้อมกันนี้ข้าพเจ้าก็จักส่งกำลังบำรุงสนับสนุนแก่ท่านเป็นระลอกจนพวกท่านเพียงพอและไม่มีความต้องการทัพหนุนอีกเลย หากพระองค์อัลลอฮฺทรงมีพระประสงค์ ศานติจงมีแด่พวกท่าน”
ท่านยะซีดได้อ่านสาส์นของท่านค่อลีฟะห์แก่เหล่าทหารมุสลิมได้รับทราบ ยังขวัญกำลังใจเป็นอันมากแก่พวกเขา
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 12 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านค่อลีฟะห์อบูบักร อัซซิดดิ๊ก (ร.ฎ.) ได้ส่งกำลังบำรุงเพื่อสมทบกับกองทัพของท่าน อบูอุบัยดะห์ อิบนุ อัลญัรรอฮฺ ณ แคว้นชาม (ซีเรีย) เพื่อรณรงค์ศึกกับทัพโรมันเป็นจำนวนไพร่พลถึง 1,000 คนภายใต้การนำทัพของท่านฮาชิม อิบนุ อบีวักกอซ
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 13 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านอัลมุซันนา อิบนุ ฮาริษะห์ อัชชัยบานีย์ (เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในช่วงของการพิชิตแผ่นดินอิรัก) ได้บุกจู่โจมตลาดอัลค่อนาฟิซและตลาดบัฆดาดซึ่งเป็นตลาดทางการค้าที่สำคัญของอาณาจักรเปอร์เซียในแผ่นดินอิรัก การบุกจู่โจมครั้งนี้เป็นหนึ่งจากภารกิจภายใต้การบังคับบัญชาของท่านอัลมุซันนา อิบนุ ฮาริษะห์ในการพิชิตแคว้นอิรักทั้งหมด หลังจากที่กองทัพมุสลิมได้รับชัยชนะต่อกองทัพเปอร์เซียในสมรภูมิอัลบุวัยบ์ ในเดือนร่อมาดอน ปีฮ.ศ.ที่ 13 ท่านอัลมุซันนาได้ปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารหาญของท่านให้ทำการสู้รบอย่างต่อเนื่องโดยประกาศแก่เหล่าทหารว่า
“แท้ที่จริง การโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างต่อเนื่องย่อมสร้างความครั่นคร้ามและทำให้ความพรั่นพรึงปกคลุมทั้งยามกลางวันจรดพลบค่ำ ดังนั้นพวกท่านจงเชื่อมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าและจงตั้งเจตนาดีต่อพระองค์”
“วันที่ 28 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 13 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ซิฟริโอนิอุส สังฆนายกแห่งกรุงเยรูซาเล็ม (บัยตุ้ลมักดิส) ได้เทศนาเนื่องในพิธีเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ภายหลังการได้รับชัยชนะของกองทัพมุสลิมในสมรภูมิอัจนาดีน เมื่อวันที่ 27 เดือนญุมาดิ้ลอูลา ปีฮ.ศ.ที่ 13 ซึ่งผลของสมรภูมิครั้งนั้นทำให้ดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดตกอยู่ในอำนาจของมุสลิม ส่วนหนึ่งจากคำเทศนาของสังฆนายกแห่งเยรูซาเล็มคือ “แท้จริงชาวคริสเตียนย่อมไม่อาจจาริกแสวงบุญสู่นครเบธเลเฮม (บัยตุละฮฺมิน) ได้อีกแล้ว ทั้งนี้เพราะแผ่นดินปาเลสไตน์ได้ตกอยู่ในกำมือของชาวอาหรับแล้ว” แต่ทว่าคำเทศนาของ ซิฟริโอนนิอุส นั้นกลับเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาด
เนื่องจากปรากฏว่า ฝ่ายปกครองของมุสลิมที่พิชิตดินแดนปาเลสไตน์นั้นได้อนุญาตให้ชาวคริสเตียนสามารถเดินทางจาริกแสวงบุญสู่สถาน ที่สำคัญทางศาสนาคริสต์ได้ตลอดจนมีอิสระและเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้อย่างปกติสุข ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายมุสลิมยังได้ให้ความคุ้มครอง ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินและเคหะสถานแก่ชาวคริสต์อีกด้วย
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 15 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านสะอฺด์ อิบนุ อบีวักกอซได้เคลื่อนกำลังพลออกจากอัลกอดีซียะห์ หลังจากที่ได้ตั้งมั่นอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 2 เดือนภายหลังการได้รับชัยชนะอย่างงดงามต่อพวกเปอร์เซียในเดือนชะอฺบาน ปีฮ.ศ.ที่ 15 ท่านสะอฺด์ ได้นำกำลังพลเคลื่อนสู่นครอัลม่าดาอิน ซึ่งขณะนั้นย่อมต้องเสียเมืองเป็นแน่หลังจากการปราชัยอย่างย่อยยับของเปอร์เซียในเมืองกอดีซียะห์
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 37 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กลุ่มอัลค่อวาริจ อันเป็นกลุ่มชนที่ก่อการกบถต่อท่านค่อลีฟะห์อะลี อิบนุ อบีตอลิบ (ร.ฎ.) (เนื่องจากเหตุที่ท่านค่อลีฟะห์ยอมรับให้มีการไต่สวนชี้ขาด ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกนี้เป็นผู้กดดันให้ท่านกระทำเช่นนั้น) พวกอัลค่อวาริจได้รวมตัวชุมนุมกันในบ้านของอับดุลลอฮฺ อิบนุ วะฮฺบ์ อัรรอซีบีย์ ซึ่งได้กล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องให้พวกค่อวาริจออกจากนครกูฟะห์อันเป็นที่มั่นของท่านค่อลีฟะห์อะลี (ร.ฎ.) ว่า “พวกท่านจงนำพี่น้องของพวกเราออกจากชุมชนนี้ที่ชาวชุมชนเป็นผู้ละเมิดให้มุ่งสู่ดินแดนแห่งสิงขรเถิด” กลุ่มค่อวาริจได้ตอบรับคำเรียกร้องของอับดุลลอฮฺ อัรรอซินีย์ และยังได้ให้สัตยาบันในการเป็นผู้นำของอับดุลลอฮฺและพร้อมใจกันปลดท่านค่อลีฟะห์อะลี (ร.ฎ.) ออกจากตำแหน่ง (อับดุลลอฮฺ อิบนุ วะฮฺบ์ (ตายปีฮ.ศ.38/คศ.658) มาจากเผ่าอัลอัซฺดีย์และได้ถูกสังหารในสมรภูมิอันนะฮฺร่อวาน)
วันที่ 6 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 92 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพมุสลิมภายใต้การบัญชาการรบของท่านตอริก อิบนุ ซิยาดได้รับชัยชนะ ต่อกองทัพของพวกโกธิกที่มีลาซริก (โรเดอริโก) เป็นแม่ทัพในสมรภูมิวาดีย์ ลักกะฮฺ สมรภูมิครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นในวันที่ 28 เดือนร่อมาดอน กำลังพลของฝ่ายมุสลิมในการศึกครั้งนั้นมีจำนวนไม่เกิน 12,000 นายในขณะที่พวกโกธิกมีกำลังพลราว 70,000 ถึง 100,000 นาย ชัยชนะของมุสลิมในสมรภูมิวาดีย์ ลักกะฮฺ ได้ปูทางสู่การพิชิตสเปนทั้งหมดในเวลาต่อมา
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 361 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
อับดุรเราะห์มาน อิบนุ รอมอาซ แม่ทัพเรือของค่อลีฟะห์อัลฮะกัม อัลมุสตันซิร แห่งเอ็นดาลูเซียสามารถนำกองทัพเรือเข้าประชิดเมืองตอนญะฮฺและยกพลขึ้นบกเข้าตีเมืองตอนญะฮฺ ได้สำเร็จ อนึ่งบรรดาเจ้าชายแห่งราชวงศ์อิดรีซียะห์ ซึ่งมีอัลหะซัน อิบนุ ญุนูนเป็นผู้นำได้ก่อการแข็งเมืองต่อค่อลีฟะห์แห่งเอ็นดาลูเซียและได้นำทัพเข้าตีเมืองตอนญะฮฺ,ติตวาน และเมืองอะซีละห์จากค่อลีฟะห์แห่งเอ็นดาลูเซีย ฝ่ายค่อลีฟะห์จึงได้ส่งกองทัพเรือของพระองค์ภายใต้การนำของแม่ทัพเรือ อิบนุ รอมอาซซึ่งประสบความสำเร็จในการตีชิงเอาเมืองตอนญะฮฺกลับคืนมา จึงทำให้อิบนุ ญุนูนต้องหลบหนีเอาตัวรอด แต่ทว่าไม่นานนัก อิบนุ ญุนูนก็สามารถกลับมาสร้างความปราชัยแก่อิบนุ รอมอาซได้อีกคราหนึ่ง
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 562 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
อามูรีย์ที่ 1 กษัตริย์ครูเสดแห่งกรุงเยรูซาเล็มมีความจำเป็นต้องล่าถอยและถอนทหารครูเสดออกจากดินแดนของอียิปต์ ซึ่งพวกครูเสดได้ยกกำลังทหารเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์ด้วยการช่วยเหลือของเสนาบดีชาวุ๊รแห่งราชวงศ์ฟาติมียะห์ นอกเสียจากว่ากษัตริย์นูรุดดีน มะฮฺมูด เจ้าครองแคว้นชาม (ซีเรีย) ได้เข้ามาแทรกแซงและขัดขวางการยึดครองอียิปต์ของพวกครูเสด โดยอะสะดุดดีน ซีรอกโก้ หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของนูรุดดีน พร้อมด้วยซ่อลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ผู้เป็นหลานชายของอะสะดุดดีนสามารถตั้งมั่นรับมือกับพวกครูเสดที่ได้ปิดล้อมนครอเล็กซานเดรียไว้ถึง 75 วัน ซึ่งในเวลาเดียวกันกษัตริย์นูรุดดีนก็ทำการบุกโจมตีอาณาเขตของพวกครูเสดในปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง ยังผลให้กษัตริย์อามูรีย์จำต้องถอนทหารออกจากอียิปต์
วันที่ 23 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 633 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
นครโคโดบาฮฺ (กุรตุบะฮฺ) ในเอ็นดาลูเซียได้ตกอยู่ในน้ำมือของกษัตริย์เฟอร์ดินานที่ 3 แห่งคาสติลล่า (กอซตาละห์) และลีออง (อาณาจักรคาสติลลาได้ผนวกรวมดินแดนกับอาณาจักรลีอองในปีคศ.1230) ภายหลังจากการต่อสู้ป้องกันเมืองอย่างห้าวหาญของชาวเมืองโคโดบาฮฺตลอดระยะเวลา 4 เดือนเศษซึ่งเป็นช่วงเวลาในการปิดล้อมเมืองของพวกคริสเตียนแห่งคาสติลลา การสูญเสียนครโคโดบาฮฺในครั้งนั้นได้สร้างความเศร้าโศกแก่ชาวมุสลิมเป็นอันมากและยังเป็นการส่อเค้าถึงการที่ชาวมุสลิมจะหมดสิ้นอำนาจจากสเปนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกคริสเตียน แห่งคาสติลลาได้ยกไม้กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์เหนือยอดโดมมัสยิดหลวงแห่งโคโดบาฮฺ หลังจากตีเมืองได้จากชาวมุสลิมอันเป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนมัสยิดสถานแห่งนี้เป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์
นอกจากนี้พวกคริสเตียนยังได้ชักธงแห่งอาณาจักรคาสติลลาขึ้นเหนือพระราชวังของค่อลีฟะห์อีกด้วยและด้วยการยาตราทัพเข้าสู่เมืองโคโดบาฮฺของพวกคาสติลลาได้ทำให้มีชาวเมืองจำนวนมหาศาลจำต้องอพยพละทิ้งเมืองแห่งนี้ กษัตริย์เฟอร์ดินาน จึงได้นำเอาประชาชนจากคาสติลลา, ลีอองและกอตาลูเนียตลอดจนหัวเมืองสเปนอื่น ๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่งแทนชาวเมืองเดิม
(อนึ่งจากประวัติศาสตร์ในการยึดครองของพวกคริสเตียนเหนือดินแดนมุสลิมในเอ็นดาลูเซียและการยึดครองมัสยิดหลวงตลอดจนการเปลี่ยนมัสยิดเป็นวิหารทางศาสนาคริสต์ ดังเช่นการกระทำของเฟอร์ดินานที่ 3 ย่อมเป็นการยืนยันอย่างดีว่า ชาวคริสเตียนเองได้กระทำการเช่นนี้ (เปลี่ยนมัสยิดเป็นโบสถ์) ก่อนหน้าที่ ซุลตอนมุฮัมมัด อัลฟาติฮฺแห่งจักรวรรดิอุษมานียะห์ (ออตโตมาน) จะทรงกระทำการเปลี่ยนมหาวิหารอายาโซเฟียเป็นมัสยิดหลวงแห่งนครอิสตันบูลหลายร้อยปีทีเดียว ฉะนั้นการกล่าวหาว่าชาวมุสลิมได้เปลี่ยนโบสถ์หรือวิหารทางคริสต์ศาสนามาเป็นมัสยิดแต่เพียงฝ่ายเดียวจึงดูไม่เป็นธรรมมากนัก)
วันที่ 17 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 926 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ซุลตอนสุลัยมาน อัลกอนูนีย์แห่งจักรวรรดิอุษมานียะห์ (ออตโตมาน) ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของซุลตอน ส่าลีมข่านที่ 1 ผู้เป็นพระราชบิดา และในรัชสมัยของซุลตอนสุลัยมาน จักรวรรดิ อุษมานียะห์ (ออตโตมาน) ได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทั้งในด้านแสนยานุภาพทางทหาร การเมืองการปกครอง การตรากฎหมาย การเศรษฐกิจ สังคมและวิทยาการ
วันที่ 29 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1039 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพแห่งซุลตอนมุรอดข่านที่ 4 แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ภายใต้การบัญชาการรบของคุสโร ปาชาได้เข้ายึดครองหัวเมืองฮัมซาน ของอิหร่าน การยึดครองครั้งนี้เป็นผลพวงของการพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างจักรวรรดิอุษมานียะห์และอิหร่านในราชวงศ์ซอฟาวียะห์ หลังจากที่ ชาฮฺ อับบาสได้ทำการยึดครองนครแบกแดดและพวกอุษมานียะห์ได้อาศัยช่วงเวลาที่ชาฮฺ อับบาสทรงสิ้นพระชนม์และการขึ้นครองราชย์ของชาฮฺ มิรซ่า ผู้เป็นโอรสที่ยังทรงพระเยาว์ทำการยึดครองหัวเมืองฮัมซานและรุกคืบจากเมืองฮัมซาน มุ่งสู่นครแบกแดดเพื่อตีคืนจากอิหร่าน อย่างไรก็ตามพวกอุษมานียะห์ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการตีนครแบกแดด
(ซุลตอนมุรอต ข่านที่ 4 (คศ.1609/1640) ทรงขึ้นครองราชย์ในปีคศ.1623/1640 และในปีคศ.1638 พระองค์สามารถตีชิงนครแบกแดดคืนจากอิหร่าน) (ชาฮฺ อับบาสที่ 1 มหาราช (คศ.1571/1629) ขึ้นครองราชย์ในปีคศ.1587 ต่อจากพระราชบิดามุฮัมมัด คุดาบันดาฮฺ ในรัชสมัยของพระองค์ได้ผนวกรวมเอานครแบกแดด, กัรบาลาฮฺ,น่าญัฟ, เมาซิ้ลและดิยารบักร์เข้าไว้ในพระราชอำนาจ ในปีคศ.1593 พระองค์ได้ทรงย้ายราชธานีจากเมืองกอซวัยน์ สู่ อิสฟาฮาน) (เมืองฮัมซาน, ฮามาดาน เป็นเมืองหนึ่งในอิหร่านทางตะวันตกเฉียงใต้จากกรุงเตฮะราน)
วันที่ 13 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1097 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
กองทัพของออสเตรียภายใต้การนำของดุก เดอร์ เลอร์รีนได้ยึดครองนครบูดาเปสต์ของฮังการีซึ่งอยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิอุษมานียะห์ ผู้ปกครองเมืองบูดาเปสต์นามว่าอับดีย์ ปาชา พร้อมด้วยเหล่าทหารตุรกีจำนวน 4,000 นายได้พลีชีพในการต่อสู้ป้องกันเมือง นครบูดาเปสต์ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอุษมานียะห์ตั้งแต่วันที่ 3 เดือนซุลฮิจญะห์ ปีฮ.ศ.932 รวมระยะเวลา 165 ปี
วันที่ 3 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1098 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
จักรวรรดิอุษมานียะห์ได้สูญเสียแคว้นทรานซิลฟาเนีย ในดินแดนโรมาเนียหลังจากความพยายามของจักรวรรดิในการยึดครองนครบูดาเปสต์จากพวกออสเตรียกลับคืนมาแคว้นทราซิลฟาเนีย (วาเนีย) ซึ่งในอดีตยังเป็นส่วนหนึ่งของฮังการีได้เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของอุษมานียะห์ (ออตโตมาน) มากกว่า 130 ปี
วันที่ 23 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1214 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
นายพลกิลแบร์ แม่ทัพฝรั่งเศสที่เข้ายึดครองอียิปต์ได้รับชัยชนะต่อกองทัพของอุษมานียะห์ซึ่งมียูซุฟ ปาชาเป็นแม่ทัพ ก่อนหน้านี้มีข้อตกลงร่วมกันว่า กองทัพฝรั่งเศสจะต้องถอนทัพออกจากอียิปต์ทั้งหมดโดยยอมวางอาวุธแก่อุษมานียะห์หลังจากนั้นก็ให้อาศัยเรือของอังกฤษในการเดินทางกลับสู่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันระหว่างนายพลกิลแบร์ แม่ทัพฝรั่งเศส,นายพลซิดนีย์ สมิธ แม่ทัพเรืออังกฤษและแม่ทัพฝ่ายอุษมานียะห์ แต่พอเอาเข้าจริงรัฐบาลอังกฤษกลับปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าวและยืนกรานที่จะให้ทหารฝรั่งเศสยอมวางอาวุธและมอบให้แก่ตน
ด้วยเหตุนี้นายพลกิลแบร์จึงไม่ยอมทำตามความต้องการของอังกฤษและยังได้นำกองทัพของตนทำการรบกับกองทัพของอุษมานียะห์ซึ่งขณะนั้นได้เคลื่อนทัพถึงเขตอัลมาตอรียะห์และกดดันให้อุษมานียะห์ถอนทัพที่เหลือออกจากอียิปต์ นายพลกิลแบร์ได้เดินทัพกลับสู่กรุงไคโรและระดมยิงปืนใหญ่เข้าใส่เป็นระยะเวลา 10 วันและยังได้ทำการสู้รบกับพวกม่ามาลีกซึ่งมี อิบรอฮีม เบย์เป็นผู้นำเพื่อขับไล่พวกม่ามาลีกให้ออกไปจากกรุงไคโร
วันที่ 2 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1256 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการทำสนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับมุฮัมมัด อะลี ปาชาผู้ปกครองอียิปต์ อันเป็นความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่ายที่จะกดดันต่อราชสำนักของอุษมานียะห์ให้ยอมสละดินแดนอียิปต์แก่มุฮัมมัด อะลี ปาชาและลูกหลานในตระกูลของตนโดยแลกกับดินแดนในซีเรีย ซึ่งถูกมุฮัมมัด อะลี ยึดครองแก่ราชสำนักอิสตันบูลในที่สุดอุษมานียะห์ก็ได้เห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าวในวันที่ 21 ซุ้ลเกาะอ์ดะห์ ปีฮ.ศ.1256
วันที่ 19 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1333 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
เซอร์ อาเธอร์ แมกมาฮอน ผู้สำเร็จราชการอียิปต์ของอังกฤษได้มีสาส์นถึงชะรีฟฮุซัยน์ เจ้าครองนครมักกะห์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อให้คำมั่นแก่ชะรีฟฮุซัยน์ถึงความปรารถนาของรัฐบาลอังกฤษในการได้รับเอกราชของกลุ่มชาติอาหรับและแสดงท่าทีเห็นด้วยถึงการนำเอาระบอบการปกครองแบบค่อลีฟะหกลับมาใช้อีกครั้ง ในสาส์นฉบับดังกล่าวมีใจความระบุว่า”อังกฤษมีความปลาบปลื้มที่ได้รับทราบว่าพระองค์ท่านและเหล่าข้าราชบริพารได้มีความเห็นพ้องกันว่า ผลประโยชน์ของชาติอาหรับนั้นคือผลประโยชน์ของอังกฤษและเราขอยืนยันถึงความปรารถนาของรัฐบาลอังกฤษในการได้รับเอกราชของชาติอาหรับ
อีกทั้งยังได้เห็นด้วยต่อการที่ชาติอาหรับจะประกาศการเป็นค่อลีฟะห์ในฐานะผู้นำสูงสุด และเราขอเรียนให้ทราบว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งเครือจักรภพอังกฤษทรงมีความยินดีในการนำเอาระบอบการปกครองแบบค่อลีฟะห์กลับคืนสู่ชาติอาหรับแท้ ๆ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระศาสดาผู้ทรงสิริมงคลพระองค์นั้น …”
เป็นที่ทราบกันดีว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงอังกฤษมิได้กระทำตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ชะรีฟฮุซัยน์เลยแม้แต่น้อย จุดมุ่งหมายของอังกฤษในการส่งสาส์นโต้ตอบระหว่างชะรีฟฮุซัยน์กับเซอร์เฮนรี่ แมกมาฮอนจริงแล้วเป็นเพียงแค่นโยบายในการสร้างแนวร่วมจากผู้นำชาติอาหรับในการเป็นพันธมิตรกับอังกฤษเพื่อร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เท่านั้นโดยมิได้มีความจริงใจแต่ประการใด
วันที่ 29 เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1333 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ชะรีฟฮุซัยน์ เจ้าผู้ครองนครมักกะฮฺได้มีสาส์นถึงเซอร์เฮนรี่ แมกมาฮอนเพื่อย้ำถึงความจำเป็นในการถอนกำลังทหารของฝรั่งเศสออกจากกรุงเบรุต ในเลบานอนและเขตชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนหนึ่งจากถ้อยความในสาส์นฉบับดังกล่าวคือ “… ประชาชนชาวเบรุตหาได้พึงใจต่อสิ่งนี้ไม่ ฉนั้นมิอาจที่จะยอมให้ฝรั่งเศสทำการยึดครองแม้เพียงดินแดนอันเล็กน้อยจากเขตดังกล่าว …”
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1383 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
การประชุมนัดแรกขององค์กรวิจัยอิสลามได้เริ่มขึ้นและมีการแถลงการณ์ร่วมกันว่า “พวกไซออนิสต์สากลซึ่งมีความพยายามในการล่าอาณานิคมภายใต้ฉากของการล่าอาณานิคมยุคใหม่ …ฉนั้นการรณรงค์เพื่อต่อสู้กับพวกไซออนิสต์นั้นถือได้ว่าเป็นภารกิจสำคัญเหนือชนมุสลิมทุกคนไม่ว่าเขาผู้นั้นจะอยู่ ณ ที่ใดและการหลีกเลี่ยงจากการต่อสู้ดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นมหันตโทษ…” การประชุมครั้งนี้ยังได้มีมติให้ความสนับสนุนแก่พลเมืองปาเลสไตน์ในการได้รับสิทธิอันชอบธรรมเหนือดินแดนอันเป็นมาตุภูมิของตนอีกด้วย
เดือนเชาว๊าล ปีที่ 1417 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
รัฐบาลอิสราเอลได้ประกาศจัดตั้งนิคมชาวยิว”ฮาซฺ ฮูม่า” ในเขตภูเขาอบู ฆุนัยน์ ทางตอนใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม (อัลกุดซ์) การประกาศจัดตั้งนิคมดังกล่าวได้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมเจรจาสันติภาพ ณ กรุงแมดดริดที่จัดให้มีขึ้นในปี คศ.1991 และรัฐบาลอิสราเอลได้อาศัยมติดังกล่าวเพื่อทำให้ชาวยิวเป็นส่วนหนึ่งจากพลเมืองในกรุงเยรูซาเล็มด้วยการตั้งนิคมชาวยิวขึ้นและจะเป็นการปูทางไปสู่แผนการที่จะทำให้ชาวยิวเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในเขตเมืองเก่าของกรุงเยรูซาเล็ม