หมวดการยกให้และการอุทิศ : การยกให้
การยกให้ เรียกในภาษาอาหรับว่า อัล-ฮิบะฮฺ (اَلْهِبَة) ตามหลักภาษา หมายถึง ของขวัญที่มีผู้ยกให้ โดยผู้รับไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในสิ่งนั้นมาก่อน การยกให้เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ โดยความหมายตามหลักภาษาการยกให้จึงครอบคลุมถึงสิ่งของที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน ตามหลักศาสนา การยกให้ (อัล-ฮิบะฮฺ) หมายถึงข้อตกลงที่บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าครอบครองสิ่งของเป็นกรรมสิทธิ์โดยไม่มีค่าตอบแทน ในขณะที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ โดยสมัครใจ
การยกให้ตามความหมายนี้จะครอบคลุมถึงการให้ของกำนัล (ฮะดียะฮฺ) และการทำทาน (ซอดะเกาะฮฺ) เพราะทั้งสองประการนี้ถึงเป็นเป็นการเข้าครอบครองสิ่งของเป็นกรรมสิทธิ์โดยไม่มีสิ่งตอบแทนในขณะที่ผู้ยกให้ยังมีชีวิตอยู่โดยสมัครใจด้วยเช่นกัน แม้ว่าสามประการนี้จะมีสิ่งแตกต่างกันอยู่บ้างในแง่ของความหมายและข้อกำหนดก็ตาม
บัญญัติเรื่องการยกให้ :
การให้ตามความหมายของหลักศาสนา เป็นสิ่งที่ควรกระทำ (มุสตะหับ) โดยมีหลักฐานจากอัลกุรอาน อัลหะดีษ และอิจญ์มาอฺ
อัลกุรอาน ได้แก่พระดำรัสที่ว่า :
(وَآتُواْ النِّسَاءَ صَدُقَاتِهِنَّ نِحْلَةً فَإِنْ طِبْنَ لَكُمْ عَنْ شَيْءٍ مِنْهُ نَفْسًا فَكُلُوهُ هَنِيئًا مََرِيئًا)
และพวกท่านจงนำมาให้แก่บรรดาสตรีซึ่งค่าสมรส ฉะนั้นหากพวกนางมีความพึงพอใจ (ในการมอบ) สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากค่าสมรสให้แก่พวกท่านแล้ว พวกท่านก็จงรับประทานมันอย่างเปรมปรีดาเถิด” (สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ อายะฮฺที่ 4)
ในอายะฮฺนี้ระบุว่า สิ่งที่พวกนางยกให้ (จากค่าสมรสของพวกนาง) นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ฝ่ายชายได้มาโดยชอบธรรม
และพระดำรัสที่ว่า :
(وَآتَى الْمَالَ عَلَى حُبِّهِ ذَوِالْقُرْبَى وَالْيَتَامَى وَالْمَسَاكِيْنَ وَابْنَ السَّبِيْلِ وَالسَّائِلِيْنَ وَفِي الرِّقَابِ)
“และเขาได้นำทรัพย์สินทั้งๆ ที่เขายังรักในทรัพย์สินนั้นมาให้แก่ญาติใกล้ชิด, บรรดาเด็กกำพร้า, บรรดาคนยากไร้, คนเดินทาง, บรรดาผู้ที่ขอ และในการปลดปล่อยทาส” (สูเราะฮฺ อัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 177)
อายะฮฺนี้ได้ระบุครอบคลุมถึงการให้แก่ผู้ที่มีความต้องการและบุคคลประเภทอื่นๆ ซึ่งการให้แก่ผู้ที่มีความต้องการนั้นถือเป็นการทำทาน (ซอดะเกาะฮฺ) และการให้แก่ผู้อื่นถือเป็นของกำนัล (ฮะดียะฮฺ)
หลักฐานจากอัล-หะดีษ อาทิเช่น
หะดีษที่มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า :
(قَدْ كَانَ لِرَسُوْلِ اللهِ صلى الله عليه وسلم جِيْرَانٌ مِنَ الْأَنْصَارِ كَانَتْ لَهُمْ مَنَائِحُ ، وَكَانُوْا يَمْنَحُوْنَ رَسُوْلَ اللهِ صلى الله عليه وسلم مِنْ أَلْبَاِنهَا ، فَيَسْقِيْنَا)
“แท้จริงปรากฎว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ () มีเพื่อนบ้านจากชาวอันศ็อร พวกเขามีสัตว์ที่ให้น้ำนม (เช่น อูฐ แพะ แกะ) อยู่หลายตัว ปรากฎว่าพวกเขามักจะนำน้ำนมของมันมามอบให้แก่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) แล้วท่านก็นำมาให้พวกเราดื่มกัน” (รายงานโดย บุคอรี – 2428 / มุสลิม – 2972)
และนักนิติศาสตร์มุสลิมในยุคต่าง ๆ ก็มีมติเห็นพ้องกันว่า การยกให้ทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรกระทำ (มุสตะหับ) เนื่องจากอยูในข่ายของการช่วยเหลือกันตามที่พระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงมีพระดำรัสว่า
(وَتَعَاوَنُواْ عَلَى الْبِرِّ وَالتَّقْوَى)
“และพวกท่านจงช่วยเหลือกันบนสิ่งที่เป็นความดีและการยำเกรง” (สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 2)
องค์ประกอบสำคัญและเงื่อนไขการยกให้
การยกให้มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
1. ผู้ทำข้อตกลงสองฝ่าย คือ ผู้ยกให้ และผู้รับ
เงื่อนไขของผู้ยกให้
ผู้ยกให้ต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
– ต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในสิ่งของที่ยกให้นั้น
– ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการทำบุญกุศลได้ กล่าวคือ ต้องบรรลุศาสนภาวะและมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
– มีความสามารถในการใช้จ่ายทรัพย์สินของตนเองได้โดยอิสระ กล่าวคือ ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกอายัดทรัพย์เนื่องด้วยเหตุความสุรุ่ยสุร่ายหรือเป็นบุคคลล้มละลาย
เงื่อนไขของผู้รับ
ผู้รับต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้คือ
– ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติในการครอบครองสิ่งที่รับมาได้ ดังนั้นการยกให้แก่ทารกในครรภ์จึงถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะทารกในครรภ์ไม่สามารถครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ได้ด้วยความสมัครใจ ส่วนผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะหรือมีสติปัญญาไม่สมประกอบ ผู้ปกครองของเขารับแทนไว้ให้แก่เขาได้ และถือว่ามีผลใช้ได้
– ถ้อยคำที่ใช้ในการยกให้และการรับ คือ คำเสนอ (อีญาบ) และคำสนอง (กอบูล)
ถ้อยคำที่เป็นคำเสนอ เช่น ฉันยกให้ท่าน, ผมมอบให้คุณ หรือ ผมให้คุณครอบครองของสิ่งนี้โดยไม่คิดราคา เป็นต้น ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำเสนอที่ชัดเจนในการยกให้จึงไม่จำเป็นต้องมีการตั้งเจตนา (เนียต) ดังนั้นหากผู้กล่าวคำเสนอด้วยถ้อยคำเหล่านี้อ้างว่าตนไม่ได้มีเจตนายกให้ คำเล่าวอ้างของเขาย่อมไม่ถูกรับฟัง
ส่วนถ้อยคำเสนอที่ไม่บ่งชัดเจนว่าเป็นการยกให้ เช่น กล่าวว่า : ฉันให้ท่านสวมใส่ผ้าผืนนี้ หรือฉันให้ท่านขี่สัตว์ตัวนี้ เป็นต้น ถ้อยคำเช่นนี้จำต้องอาศัยการตั้งเจตนา (เนียต) หากผู้กล่าวมีเจตนายกให้ก็ถือเป็นการยกให้ และถ้าหากเขาอ้างว่า ฉันไม่ได้เจตายกให้ ก็ให้เชื่อคำกล่างอ้างของเขา
ส่วนคำสนอง (กอบูล) ได้แก่คำพูดที่ว่า ฉันรับ หรือ ผมยินดี หรือฉันรับการยกให้ เป็นต้น
เงื่อนไขในการใช้ถ้อยคำในการยกให้ มีดังนี้
– คำเสนอ (อีญาบ) และคำสนอง (กอบูล) ต้องติดต่อกันโดยไม่มีถ้อยคำอื่นมาคั้นระหว่างคำเสนอและคำสนอง
– ต้องไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ เช่น กล่าวว่า : ถ้าหากนาย ก. มา ฉันจะยกผ้าผืนนี้ให้แก่ท่าน เป็นต้น ทั้งนี้เพราะจะต้องไม่ผูกพันเป็นเงือนไขอยู่กับสิ่งที่จะมีหรือไม่มีคำเสนอในทำนองนี้จึงใช้ไม่ได้
– ต้องไม่มีการตั้งเงื่อนไขในเวลา เช่น ฉันยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่ท่านหนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี เป็นต้น ทั้งนี้เพราะการมีกำหนดเวลาถือเป็นเงื่อนไขที่ขัดกับเจตนารมณ์ของข้อตกลงยกให้ที่เป็นเป็นการเข้าครอบครองโดยอิสระทันที
อนึ่ง มีกรณียกเว้นการใช้ถ้อยคำในการยกให้แก่มีเงื่อนไขเวลาระบุอยู่ใน 2 รูปแบบ คือ
การยกให้แบบ อัลอุมรอ (العُمْرَى) คือการที่ผู้ให้กล่าวแก่ผู้รับว่า “ฉันยกบ้านหลังนี้ให้ท่านชั่วอายุของฉันหรือชั่วอายุของท่าน” ถ้อยคำข้างต้นเป็นถ้อยคำของการยกให้ แต่มีเงื่อนไขเวลาระบุอยู่ คืออายุของผู้ให้หรืออายุของผู้รับ ซึ่งโดยเงื่อนไขของถ้อยคำที่จะใช้ในการยกให้นั้นจะต้องปราศจากเงื่อนไขเวลา กระนั้นการยกให้ก็ถือว่าใช้ได้ ส่วนเงื่อนไขเวลาที่ระบุถึงว่าใช้ไม่ได้และตกเป็นโมฆะ ทั้งนี้เพราะมีหะดีษระบุไว้จากท่านนบีฯ ว่า :
(اَلْعُمْرَى جَائِزَةٌ) “การยกให้แบบ อัล-อุมรอ นั้นเป็นสิ่งอนุญาต” (รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)
และหะดีษที่ว่า :
(قَضَى َالنَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بِالْعُمْرَى أَنَّهَاِلمَنْ وُهِبَتْ لَهُ)
“ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ได้ตัดสินเรื่องการยกให้แบบ อัล-อุมรอ ว่ามันตกเป็นของผู้รับ” (รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)
2. การยกให้แบบอัร-รุกบา (اَلرُّقْبٰى) คือการที่ผู้ให้กล่าวว่า : “บ้านของฉันตกเป็นของท่านตลอดไป หากว่าฉันเสียชีวิตก่อนท่าน และถ้าหากท่านเสียชีวิตก่อนฉัน บ้านหลังนี้ก็กลับมาเป็นของฉัน” คำว่า “อัร-รุกบา” มีความหมายว่า การรอคอย เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับจะรอคอยการเสียชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่ง
ถ้อยคำที่ใช้นี้ ถือเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการยกให้ แต่มีการตั้งเงื่อนไขคือการเสียชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ ซึ่งถือว่าขัดกับหลักการใช้ถ้อยคำในการยกให้ตามเงื่อนไขที่ว่า ต้องปราศจากการตั้งเงื่อนไขใด ๆ กระนั้นการยกให้แบบอัร-รุกบานี้ก็ถือว่าใช้ได้ ส่วนเงื่อนไขที่ผูกพันเอาไว้นั้นถือเป็นโมฆะ ทั้งนี้เพราะมีหะดีษระบุเอาไว้ว่า :
اَلْعُمْرٰى جَاﺋﺰةٌ لأَهْلِهَا ، والرُّقْبٰى جَاﺋﺰةٌ لأَهْلِهَا
“การยกให้แบบอัล-อุมรอ เป็นสิ่งอนุญาตตกเป็นของผู้รับ และการยกให้แบบอัร-รุกบาเป็นสิ่งอนุญาต ตกเป็นของผู้รับ” (รายงานโดยติรมีซี-1351- / อบูดาวูด -3558-)
3. สิ่งของที่ยกให้
นักวิชาการได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติของสิ่งของที่ยกให้ว่า “สิ่งที่อนุญาตให้ทำการซื้อขายได้ ก็อนุญาตในการยกให้ได้เหมือนกัน” และจากหลักเกณฑ์ข้อนี้ ได้มีการกำหนดเงื่อนไขของสิ่งที่ยกให้ ดังต่อไปนี้
– ต้องเป็นสิ่งของที่มีอยู่ขณะทำการยกให้
– ต้องเป็นทรัพย์สินที่มีค่าและเป็นที่อนุญาตตามหลักการของศาสนา
– สิ่งของที่จะยกให้ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ยกให้
การยกให้ถือว่ามีผลบังคับด้วยการรับ
การกล่าวคำเสนอและคำสนอง จะยังไม่ทำให้ข้อตกลงการยกให้สมบูรณ์และยังไม่มีผลบังคับ ดังนั้นผู้ยกให้จึงยังมีสิทธิกลับคำในเรื่องการยกให้ และมีสิทธิใช้สอยสิ่งของที่จะยกให้ ตราบที่สิ่งของนั้นยังอยู่ในมือของตน และกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ถูกยกให้จะยังไม่ตกเป็นของผู้รับ จนกว่าเขาจะได้รับไป
เมื่อผู้รับได้รับสิ่งของที่ถูกยกให้ไปแล้วตามเงื่อนไขในการรับ ก็ถือว่าข้อตกลงการยกให้เป็นอันสมบูรณ์และมีผลบังคับ และผู้รับก็ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ถูกยกให้ตามข้อตกลง
เงื่อนไขในการรับ
การรับจะมีผลใช้ได้ และการยกให้จะมีผลบังคับตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
– ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้ด้วยคำพูดที่ชัดเจนหรือด้วยการส่งสิ่งที่ยกให้แก่ผู้รับด้วยมือของตน
– สิ่งที่ถูกยกให้จะต้องไม่ถูกนำไปใช้ร่วมกับสิ่งที่ไม่ได้ถูกยกให้
– ผู้รับต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติในการรับ กล่าวคือ ต้องบรรลุศาสนภาวะ และมีสติสัมปัชชัญญะสมบูรณ์
เมื่อข้อตกลงการยกให้สมบูรณ์และครบเงื่อนไขดังที่กล่าวมาข้างต้น การยกให้ก็จะมีผลบังคับ คือ กรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ถูกยกให้ย่อมตกเป็นของผู้รับโดยไม่มีสิ่งตอบแทนและผู้ยกให้ย่อมไม่มีสิทธิในการเอาสิ่งที่ถูกยกให้คืน แต่มีข้อยกเว้นในกรณีการยกให้ของบิดามารดาแก่บุตรของตน บิดามารดามีสิทธิเอาสิ่งที่ถูกยกให้แก่บุตรคืนได้ แม้ภายหลังข้อตกลงการยกให้สมบูรณ์แล้วก็ตาม
โดยมีหลักฐานจากอัลหะดีษระบุว่า
اَلْعَاﺋﺪ فِى هِبته كَالْعَاﺋﺪ فِىْ ﻗﻴﺌﻪ
“ผู้ที่เอาสิ่งที่ยกให้กลับคืน ย่อมเหมือนกับผู้ที่กลืนสิ่งที่ตนได้อาเจียนออกมากลับคืน” (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)
และอัลหะดีษที่ระบุว่า
لاَيَحَلُّ لِرَجُلٍ أن يُعْطِيَ عَطِيَّةً ، أَوْيَهَبَ هِبَةً ، فَيُرْ جِعَ فِيْهَا إِلاَّ الْوَالِدُ فِيْمَا يُعْطِىْ وَلَدَه
“ไม่อนุญาตให้ผู้ใดในการที่เขามอบของขวัญหรือยกให้ แล้วเขาจะเอาสิ่งนั้นคืน ยกเว้นผู้เป็นบิดาในสิ่งที่เขาได้ยกให้แก่บุตรของตน” (รายงานโดยติรมีซี-2133- / อบูดาวูด -3539-)
ทั้งนี้ให้นำเอาปู่ย่าตายายและผู้ที่มีศักดิ์สูงขึ้นไปไปเทียบเคียงกับบิดามารดา และให้นำเอาหลานเหลนและผู้ที่มีศักดิ์ต่ำลงไปมาเทียบเคียงกับบุตร ในเรื่องการเอาสิ่งที่ยกให้ไปแล้วกลับคืน
และบิดามารดาย่อมไม่มีสิทธิในการเรียกเอาสิ่งที่ได้ยกให้บุตรของตนไปแล้วกลับคืน ในกรณีที่สิ่งที่ถูกยกให้นั้นได้หลุดพ้นจากอำนาจการปกครองของบุตรและไม่มีกรรมสิทธิ์ในสิ่งนั้นแล้ว อาทิเช่น การขายที่ลุล่วง หรือการนำไปอุทิศเป็นถาวรวัตถุ (อัล-วักฟ์) เป็นต้น