สัจจพยากรณ์ระบุถึงท่านอัลหะซัน อิบนุ อะลี (ร.ฎ.)

ท่านอิหม่ามอัลบุคอรียฺได้รายงานจากอบีบักเราะห์ (ร.ฎ.) ว่าท่านเคยได้ยินท่านศาสนฑูตกล่าวขณะท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) ซึ่งยังเล็กเยาว์วัยอยู่ข้างๆ ท่านมิมบัรว่า

إِنَّ ابنِىْ هَذا سَيَّدٌ وَلعَلَّ الله أَنْ يُصْلِحَ به بَيْنَ فِئَتَيْنِ عَظِيْمَتَيْنِ مِنَ الْمُسْلِمِيْنَ

“บุตรชายของฉันคนนี้เป็นนาย และหวังว่าพระองค์อัลลอฮฺจะทรงให้เขาเป็นผู้ประนีประนอมระหว่างกลุ่มชน 2 กลุ่มที่ยิ่งใหญ่จากชนมุสลิม”

ท่านอิบนุ กะซีร ได้กล่าวว่า เมื่ออิบนุมุลญัม ได้แทงท่านอะลี (ร.ฎ.) ประชาชนก็ได้กล่าวกับท่าน  อะลี (ร.ฎ.) ว่า โอ้ท่านผู้นำปวงชนมุสลิม ขอให้ท่านแต่งตั้งผู้สืบทอดด้วยเถิด ท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้ปฏิเสธว่า ไม่ หากแต่ฉันจะปล่อยเป็นภาระของพวกท่านเหมือนดังที่ท่านศาสนทูตได้ละทิ้งพวกท่านไว้ โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้สืบทอด และถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ดีต่อพวกท่าน พระองค์จักบันดาลให้พวกท่านร่วมกันปฏิบัติตามผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน ดังเช่นที่พระองค์เคยให้พวกท่านร่วมกันปฏิบัติตามผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านภายหลังท่านศานทูต (อัสบิดายะหฺ วันนิฮายะหฺ 7/324)

ครั้นเมื่อท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้เสียชีวิตลงท่านอัลฮะซัน (ร.ฎ.) บุตรชายคนโตของท่านได้เป็นผู้นำละหมาดญะนาซะฮฺ และศพของท่านอะลี (ร.ฎ.) ได้ถูกฝัง ณ ที่ทำการของข้าหลวงในนครกูฟะหฺ ตามทัศนะที่ถูกต้องเนื่องจากเกรงว่าพวกค่อวาริจ (กบฏ) จะลอบขุดศพของท่าน

(ส่วนที่ชีอะหฺจำนวนมากมีความเชื่อว่าหลุมศพท่านอะลี (ร.ฎ.) อยู่ ณ มัชฮัด เมืองน่าญัฟในอิรักนั้นไม่มีหลักฐานยืนยัน หากแต่กล่าวกันว่าสุสาน ณ เมืองน่าญัฟนั้นเป็นสุสานของท่านอัลมุฆีเราะหฺ อิบนุ ชุอฺบะหฺ ดังที่ท่านอัลเคาะฏีบ อัลบัฆดาดียฺ ได้เล่าจากอบี นุอัยมฺ อัลฮาฟิซ จากท่านอบีบักร อัลฏอลฺฮีย์ จากท่านมุฮำหมัด อิบนุ อับดิลลาฮฺ อัลฮัฎร่อมียฺ อัลฮาฟิซ จากมุ่ฏ๊อร ได้กล่าวว่า หากพวกชีอะหฺทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุสานแห่งนี้ซึ่งพวกชีอะหฺให้ความสำคัญเป็นอันมาก ณ เมืองน่าญัฟ แน่นอนพวกนี้คงต้องเอาหินขว้างสุสานแห่งนี้ ซึ่งเป็นสุสานของอัลมุฆีเราะห์ อิบนุ ชุอฺบะหฺ)

เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจดังกล่าว บุคคลแรกที่ให้สัตยาบันแก่ท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) ก็คือท่านกอยซฺ อิบนุ สะอฺด อิบนิ อุบาดะหฺ ต่อมาประชาชนในอิรักก็ได้ให้สัตยาบันแก่ท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ท่านอะลี (ร.ฎ.) เสียชีวิต

แต่เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นวิกฤติจนถึงขั้นอาจจะมีสงครามกลางเมืองอีกครั้งกับฝ่ายมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) และพลเมืองชาม ท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) จึงได้มีสาส์นไปถึงท่านมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) เมื่อทราบว่าทั้งสองฝ่ายมิอาจได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด และย่อมเป็นผลร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองมุสลิมหากเกิดสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) จึงได้แจ้งให้ท่านมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านจะสละอำนาจให้แก่ท่านมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) โดยมีเงื่อนไขเป็นข้อเสนอต่อรอง ท่านมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) จึงได้รับข้อเสนอของท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.)

จากเหตุการณ์นี้เอง ท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) ได้รอมชอมและประนีประนอมระหว่างผู้สนับสนุนของท่านกับฝ่ายมุอาวียะหฺ (ร.ฎ.) และพลพรรคของท่าน ซึ่งเป็นพลเมืองมุสลิมด้วยกันทั้งสองฝ่าย และด้วยการประนีประนอมอย่างผู้เสียสละของท่านอัลหะซัน (ร.ฎ.) นี้เอง ประชาชาติมุสลิมก็กลับมามีผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวอีกครั้ง พร้อมด้วยการสามารถรักษาชีวิตและทรัพย์สินของทุกฝ่ายจากความเสียหายอันใหญ่หลวงที่จะตามมาอย่างไม่มีที่สิ้น

สุด