จะมีผู้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺ 12 คน จากตระกูลกุรอยฺช์ ปกครองประชาชาติอิสลาม

 

สัจจพยากรณ์บ่งชี้ว่าจะมีผู้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺ 12 คน จากตระกูลกุรอยฺช์ ปกครองประชาชาติอิสลามด้วยความเที่ยงธรรมและเกียรติภูมิอันสูงส่ง

ท่านอับดุลม่าลิก อิบนุ อุมัยร์ ได้รายงานจากท่านญาบิร อิบนุ สะมุเราะห์ จากท่านศาสนทูต ว่า

يَكُونُ اثْنْا عَشَرَخَلِيْفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

“จะมีผู้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺ 12 คน ทั้งหมดล้วนแล้วมาจากตระกูลกุรอยฺช์” รายงานโดยอัลบุคอรียฺ, มุสลิม, อบู ดาวูด, อัตติรมีซียฺ และอะหฺหมัด

 

ท่านอบูดาวูดได้รายงานจากอีกสายรายงานหนึ่งจากท่านญาบิร อิบนุสะมุเราะหฺเช่นกันว่า ท่านญาบิร เคยได้ยินท่านศาสนทูต กล่าวว่า :

لا يَزَالُ هَزَاالدِّيْنُ قَائمًا حَتّى يَكُوْنَ اثْنَاعَشَرَخَلِيْفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

“ศาสนานี้จะยังคงดำรงอยู่จวบจนกระทั่งมีผู้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺ 12 คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากตระกูลกุรอยฺช์” ในอีกสายรายงานหนึ่ง ใช้สำนวนว่า “ประชาชาตินี้จะยังคงอยู่ในกิจการที่มั่นคงเที่ยงตรง มีอำนาจเด่นชัดเหนือเหล่าศัตรู จวบจนกระทั่งมีผู้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะหฺผ่านไป 12 คน ทั้งหมดล้วนมาจากตระกูลกุรอยฺช์ทั้งสิ้น”

 

บรรดาค่อลีฟะหฺทั้ง 12 คน ในวจนะนี้ มิได้หมายถึง อิหม่าม 12 ท่านที่ฝ่ายชีอะหฺกล่าวอ้างว่าเป็นอิหม่ามมะอฺศูม (ไร้มลทิน) ทั้งนี้ อิหม่ามจำนวน 12 ท่านที่ชีอะหฺฝ่ายอิหม่าม 12 หรือชีอะหฺ กลุ่มอิมามียะหฺมีความเชื่อนั้น ปรากฏว่านอกเหนืจากท่านอะลี (รฎ.) และท่านอัลหะซัน (รฎ.) แล้วไม่มีผู้ใดเลยที่ดำรงตำแหน่ง ค่อลีฟะหฺปกครองประชาชาติอิสลาม และบุคคลทั้ง 12 ท่าน ที่ถูกกล่าวในวจนะนี้ก็มิได้หมายถึงบรรดาผู้ทรงอำนาจในฐานะผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามที่เรียงลำดับรัชสมัยกันแบบต่อเนื่อง

 

หากแต่จะพบได้ว่า ในจำนวน 12 ท่านนั้น มีบรรดาค่อลีฟะหฺทั้ง 4 ท่านรวมอยู่ด้วย ตลอดจนท่านอัลหะซัน อิบนุ  อะลี (รฎ.) นอกจากนี้ยังรวมถึงท่านค่อลีฟะหฺอุมัร อิบนุ อับดิลอะซีซแห่งราชวงศ์อุมาวียะหฺ ผนวกเข้ามาในทำเนียบอีกด้วย ตามทัศนะปวงปราชญ์ส่วนใหญ่ และในราชวงศ์อับบาสียะหฺ ก็มีบุคคลที่อยู่ในคุณสมบัติของความเป็นค่อลีฟะหฺปรากฏอยู่อีกหลายท่าน และในกาลข้างหน้าเรื่อยไปจนถึงยุคของอิหม่ามอัลมะฮฺดียฺ

 

อนึ่งในช่วงหลังๆ มานี้ ฝ่ายชีอะหฺอิหม่ามสิบสองได้แต่งตำราเป็นอันมาก เพื่อสนับสนุนและเผยแพร่แนวทางของตน โดยได้พยายามนำหลักฐานดังที่ปรากฏอยู่ในตำราอ้างอิงของฝ่ายซุนนะหฺที่มีนัยยะสนับสนุนความเชื่อของชีอะหฺออกมาตีแผ่อยู่เนืองๆ ส่วนหนึ่งก็คือวจนะที่เกี่ยวกับค่อลีฟะหฺ 12 ท่าน ที่กำลังกล่าวถึงนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่า วจนะข้างต้นมิได้มีนัยยะบ่งชี้ถึงอิหม่ามสิบสองอย่างที่ฝ่ายชีอะหฺนำมาเจือสม และอ้างสนับสนุนความเชื่อของตน

 

ทั้งนี้เป็นเพราะว่าในวจนะได้ระบุว่าบรรดาค่อลีฟะหฺทั้ง 12 ท่านนั้น จะมีคุณสมบัติสำคัญในฐานะผู้นำสูงสุดในรัฐอิสลามคือ เป็นค่อลีฟะหฺที่ได้รับการสัตยาบันจากปวงชน และมีอำนาจในการบริหารกิจการของศาสนาและศรัทธาชน และศาสนาอิสลามในยุคของท่านเหล่านี้ มีความสมบูรณ์มั่นคงพร้อมด้วยเกียรติภูมิความยิ่งใหญ่ และมีแสนยานุภาพเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าศัตรู ผู้คนพลเมืองที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเหล่าค่อลีฟะหฺก็มีความเป็นเอกภาพในการน้อมนำปฏิบัติตามกิจการต่าง ๆ ของผู้คนก็ดำเนินไปอย่างปกติสุขในรัชสมัยของบรรดาค่อลีฟะหฺเหล่านี้

 

คุณสมบัติและสภาพการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้น มิได้เกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับสถานภาพของบรรดาอิหม่ามสิบสองที่ชีอะหฺมีความเชื่อ จะมีก็เพียงท่านค่อลีฟะหฺอะลี (รฎ.) และท่านอัลหะซัน (รฎ.) เท่านั้น ส่วนสภาพการณ์ของประชาชาติอิสลามที่อยู่ร่วมสมัยกับอิหม่ามสิบสองท่านนั้น ก็หาใช่เป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมไม่

 

เพราะว่าฝ่ายชีอะหฺเองกล่าวหาว่า ประชาชาตินี้นับหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านศาสนทูต ต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่เสื่อมเสีย เป็นประชาชาติที่อธรรมและตกจากศาสนา (วัลอิยาซุบิลลาฮ์) และเป็นประชาชาติที่มีผู้นำที่อธรรมแย่งชิงความชอบธรรมไปจากอิหม่ามท่านแรกเป็นต้นมา ฝ่ายบรรดาอิหม่ามสิบสองท่านนั้น ก็ตกอยู่ในสภาพที่จะต้องใช้หลักการอำพราง (ตะกียะหฺ) นับตั้งแต่สมัยของท่านอิหม่ามอะลี (รฎ.) ที่กล่าวนี้ ฝ่ายชีอะหฺเป็นผู้กล่าวเอาเองทั้งสิ้น (เช่น เชคมุฟีดของฝ่ายชีอะหฺ)

 

ท่านอิหม่าม อะลี (รฎ.) ไม่สามารถนำอัลกุรอ่านมาทำให้ประจักษ์ชัด และมิอาจชี้ขาดตามหลักการของศาสนาได้อย่างเต็มที่ (เชค อัลญะซาอิรียฺของฝ่ายชีอะหฺว่าอย่างนั้น) ท่านตกอยู่ในภาวะจำยอมที่จะต้องเออออห่อหมกไปตามความเห็นของบรรดาสาวกร่วมสมัย (ข้อนี้ว่าตามที่เชคอัลมุรตะฎอของชีอะหฺว่า)

 

นอกจากนี้ ความเชื่อในการจำกัดจำนวนอิหม่ามมีเพียง 12 ท่าน ของชีอะหฺแต่ละกลุ่มนั้น ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกันเสียทุกกลุ่มนอกเหนือจากตัวอิหม่ามรายบุคคลที่มีความขัดแย้งกันเองในฝ่ายของชีอะหฺ ถ้อยคำในวจนะที่ระบุว่า ค่อลีฟะหฺทั้ง 12 ท่านนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากตระกูลกุรอยฺช์ทั้งสิ้น ก็ยังบ่งถึงอีกด้วยว่า มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในส่วนของท่านอะลี (รฎ.) และลูกหลานของท่านเท่านั้น หากแต่เป็นการบ่งไว้อย่างกว้าง ๆ เพราะถ้าเป็นการจำกัดแล้วจะต้องมีสิ่งบ่งชี้ที่มาแยกแยะว่าเป็นตระกูลกุรอยฺช์ ก๊กใด ลูกหลานใคร

 

ส่วนการกำหนดว่ามีจำนวน 12 ท่านนั้น ก็มิใช่สาระสำคัญ เพราะจำนวนตัวเลขดังกล่าว นอกจากมีระบุถึงบรรดาค่อลีฟะหฺผู้ทรงธรรมแล้ว ก็ยังใช้ระบุถึงกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามอีกด้วย ดังเช่นมีปรากฏในเศาะเฮียะหฺมุสลิม ว่า “ในประชาชาติของฉันนี้มีผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) 12 คนด้วยกัน” การระบุจำนวนจึงไม่ใช่สาระสำคัญไปเสียทุกกรณีดังเช่นในวจนะหลังสุดนี้ เพราะว่าจริง ๆ แล้วจำนวนของกลุ่มชนที่กลับกลอกนั้นย่อมมีมากกว่า 12 คนเป็นแน่ วัลลอฮุอะอ์ลัม