ชาวนครม่าดีนะฮฺจะพากันย้ายครอบครัวสู่ดินแดนที่ถูกพิชิตใหม่
สัจจพยากรณ์ระบุว่า ชาวนครม่าดีนะฮฺจะพากันย้ายครอบครัวสู่ดินแดนที่ถูกพิชิตใหม่
จากท่านสุฟยาน อิบนุ อบี ซุฮัยร์ อันนุมัยรีย์ กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านศาสนทูตแห่ง อัลลอฮฺได้มีวจนะว่า
تُفْتَحُ الْيَمَنُ , فَيَأْتِىْ قَوْمٌ يُبِسُّوْنَ , فَيَتَحَمَّلُوْنَ بِأَهْلِيْهِمْ وَمَنْ أَ طَا عَهُمْ , وَالْمَدِيْنَةُ خَيْرٌ لَهُمْ لَوْكَانُوْايَعْلَمُوْنَ , ثُمَّ تُفْتَحُ الشَّامُ , فَيَأ تِىْ قَوْمٌ فَيُبِسُّوْنَ فَيَتَحَمَّلُوْنَ بِأَهْلِيْهِمْ وَمَنْ أَطَا عَهُمْ , وَالْمَدِ يْنَةُ خَيْرٌلَهُمْ لَوْ كَانُوْايَعْلَمُوْنً , ثُمَّ تُفْتَحُ الْعِرَاقُ , فَيَأْ تِىْ قَوْمٌ فَيُبِسُّوْنَ فَيَتَحَمَّلُوْنَ بِأَهْلِيْهِمْ وَمَنْ أَطَاعَهُمْ , والمدينةُ خيرٌ لَهُمْ لَوْكَا نُوْايَعْلَمُوْنَ
“เมืองยะมันจะถูกพิชิตและจะมีกลุ่มชนหนึ่งมายัง (ยะมัน) โดยไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์ แล้วพวกเขาจะนำพาครอบครัวและผู้จงรักภักดีพวกเขา (ไปยังยะมัน) และมาดีนะฮฺย่อมดีกว่าสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้ ต่อมาแคว้นชาม (ซีเรีย) จะถูกพิชิต และแล้วจะมีกลุ่มชนหนึ่งมายัง (แคว้นชาม) โดยไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์
และพวกเขาจะนำพาครอบครัวและผู้จงรักภักดีพวกเขา (ไปยังแคว้นชาม) และมาดีนะฮฺนั้นย่อมดีกว่าสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้ ครั้นต่อมา อิรักก็จะถูกพิชิตและจะมีกลุ่มชนหนึ่ง (จากชาวมาดีนะฮฺ) มายังอิรักโดยไล่ต้อนปศุสัตว์ และพวกเขาจะนำพาครอบครัวและผู้เชื่อฟังพวกเขา (ไปยังอิรัก) และมาดีนะฮฺย่อมดีกว่าสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้ (บันทึกโดย อัลบุคอรียฺ และมุสลิม)
ท่านอิบรอฮีม อัลหัรฺบียฺ กล่าวว่า หลังจากพิชิตเมืองต่างๆ ที่ระบุไว้ในวจนะแล้ว ก็จะมีการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้ย้ายจากนครมาดีนะฮฺสู่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ในหัวเมืองที่ถูกพิชิต
ท่านอิบนุ วะฮฺบ์ กล่าวว่า : วจนะนี้ระบุว่า ผู้คนจะออกจากนครมาดีนะฮฺโดยนำพาครอบครัวของตนมุ่งสู่ความสุขสบายในหัวเมืองต่างๆ ที่ท่านศาสนทูตได้ระบุถึงการพิชิตเมืองเหล่านี้ ซึ่งได้แก่ ยะมัน , ชาม และอิรัก ตามลำดับ (สิยัรฺ อะอฺลาม อันนุบะลาอฺ 1/267-268)
เมืองยะมัน (เยเมน) ได้ถูกพิชิตในปลายสมัยของท่านศาสนทูต โดยมีท่านคอลิด อิบนุ อัลวะลีด (ร.ฎ.) เป็นแม่ทัพในราวปีฮ.ศ. ที่ 10 และถูกพิชิตอย่างสมบูรณ์ด้วยน้ำมือของท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) ในท้ายที่สุด
แคว้นชาม (ซีเรีย) ซึ่งตกเป็นดินแดนใต้อาณัติของจักรวรรดิโรมันไบเซนไทน์มาก่อนหน้ายุคอิสลาม ได้ถูกปลดแอกและถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอิสลามในยุคค่อลีฟะฮฺ การพิชิตแคว้นชามได้เริ่มขึ้นในสมัยท่านคอลีฟะฮฺ อบูบักร อัศ-ศิดดิ๊ก (ร.ฎ.) โดยท่านค่อลีฟะฮฺได้แต่งตั้งกองทัพเพื่อพิชิตดินแดนแห่งนี้ถึง 4 กองทัพด้วยกัน
ทัพที่หนึ่ง มีท่านยะซีด อิบนุ อบีสุฟยาน เป็นแม่ทัพ บ่ายหน้าสู่กรุงดามัสกัส ใช้เส้นทางเดินทัพผ่านเมืองตะบูก
ทัพที่สอง มีท่านชุเราะหฺบีล อิบนุ หัสนะหฺ เป็นแม่ทัพ มุ่งหน้าสู่จอร์แดน (อุรดุน) ใช้เมืองตะบู๊กเป็นเส้นทางเดินทัพเช่นกัน
ทัพที่สาม นำทัพโดย อบู อุบัยดะหฺ อิบนุ อัลญัรรอหฺ เดินทัพสู่เมืองหิมฺศฺ ให้ตั้งค่ายที่เมืองอัลญาบิยะหฺ
ทัพที่สี่ นำทัพโดย อัมร์ อิบนุ อัลอ๊าศ บ่ายหน้าไปสู่ปาเลสไตน์ (ฟิลัสตีน) ใช้เส้นทางเดินทัพผ่านเมืองอัยละหฺ จำนวนกำลังพลในแต่ละกองทัพมี 3,500 นาย และเพิ่มกำลังสนับสนุนให้อีกจนมีกำลังพลในแต่ละกองทัพ 7,500 นาย ยกเว้นทัพของท่านอัมรฺ อิบนุ อัลอ๊าศ ยังคงมีจำนวนทหาร 3,000 นาย ในภายหลังท่านคอลิด อิบนุ อัลวะลีด (ร.ฎ.) ได้เคลื่อนกำลังพลจากเมืองอัลฮีเราะหฺ (อิรัก) เข้ามาสมทบกับกองทัพทั้งสี่ในวันที่ 8 เดือนเศาะฟัร ฮ.ศ. ที่ 13 จนมีกำลังพลทั้งหมด 33,000 นาย
ในการพิชิตแคว้นชามได้เกิดสมรภูมิสำคัญๆ หลายครั้ง อาทิ สมรภูมิ อัจนาดีน (27 ญุมาดา อัลอูลา ฮ.ศ. 13) นครดามัสกัสยอมแพ้ (ร่อญับ ฮ.ศ. 14) พิชิตเมืองหิมฺศฺ (21 เราะบีอุษษานี ฮ.ศ. 15) สมรภูมิอัลยัรมูก (5ร่อญับ ฮ.ศ. 15) กรุงเยรูซาเล็ม (อัลกุดสฺ) ถูกพิชิต (เราะบิอุษษานี ฮ.ศ. 16) โดยท่านค่อลีฟะฮฺอุมัร อิบนุ อัลคอฏฏอบ (ร.ฎ.) เดินทางไปรับมอบกุญแจเมืองด้วยตัวท่านเอง
ส่วนการพิชิตอิรักนั้น ได้เริ่มตั้งแต่ฮ.ศ.ที่ 12 และสิ้นสุดลงในปี ฮ.ศ.ที่ 19 ในสมรภูมินะฮาวันดฺ การพิชิตอิรักนั้นถึงแม้ว่าจะกินเวลาเพียง 7 ปี แต่ก็นับว่าเป็นการพิชิตดินแดนที่ยากเย็นที่สุดก็ว่าได้ เพราะมีความยากลำบากในการเดินทัพอันเป็นผลมาจากลักษณะภูมิประเทศและแม่น้ำที่ไหลผ่าน ในการพิชิตอิรักนั้น ได้เริ่มขึ้นในสมัยท่านค่อลีฟะฮฺอบูบักร (ร.ฎ.) โดยมีท่านอัลมุษันนา อิบนุ หารีษะห์ เป็นแม่ทัพใหญ่ และติดตามด้วยการพิชิตของแม่ทัพคอลิด อิบนุ อัลวะลีด (ร.ฎ.)
และต่อเนื่องจนถึงสมัยท่านคอลีฟะฮฺ อุมัร (ร.ฎ.) ซึ่งได้ปลดท่าน คอลิด อิบนุ อัลวะลีด (ร.ฎ.) และแต่งตั้งให้ท่านสะอฺด์ อิบนุ อบีวักกอศ (ร.ฎ.) เป็นแม่ทัพใหญ่ และท่านได้สร้างความปราชัยแก่เปอร์เซียในสมรภูมิอัลกอดีสียะฮฺ (ชะอฺบาน ฮ.ศ. ที่ 15) และกองทัพมุสลิมก็ยาตราทัพเข้าสู่นครอัลม่าดาอิน (เอสซิโฟน Etesiphon) ในเดือนเศาะฟัร ฮ.ศ. ที่ 16 และการพิชิตอิรักก็จบลงด้วยชัยชนะของกองทัพมุสลิมในสมรภูมินะฮาวันดฺ (ปีฮ.ศ. ที่ 19 ต้น ฮ.ศ. ที่ 20) ด้วยประการฉะนี้ คำพยากรณ์อันเป็นสัจจะของท่านศาสนทูตก็เกิดขึ้นสมจริงทุกประการ
ในส่วนของสัจพยากรณ์ที่ระบุถึงกรณีผู้คนซึ่งเป็นชาวเมืองมาดีนะฮฺแต่เดิม หรือเคยอาศัยอยู่ในนครมาดีนะฮฺจะออกจากนครมาดีนะฮฺ และพากันยกครอบครัวสู่หัวเมืองหรือดินแดนใหม่ที่ถูกพิชิตนั้นก็เป็นจริงดังวจนะ แต่จะเป็นเพราะเหตุปัจจัยของการแสวงหาความสุขสบายในดินแดนใหม่หรือไม่นั้นก็คงมิใช่สาระสำคัญเพราะการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนจากถิ่นมาตุภูมิสู่ดินแดนใหม่เป็นเรื่องปกติทางวิวัฒนาการทางสังคม เราจะพบว่ามีชาวเมืองมาดีนะฮฺได้ตั้งรกรากอยู่ในหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น ฟุสฏ็อฏในอียิปต์ ดามัสกัสในซีเรีย หรือกูฟะห์ บัสเราะหฺในอิรัก ตลอดจนดินแดนในยะมัน เป็นต้น
ข้อสำคัญที่มิอาจลืมได้ก็คือ นครมาดีนะฮฺเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองของรัฐอิสลามในสมัยท่านศาสนทูต และสมัยค่อลีฟะฮฺทั้งสี่ เมื่อเป็นเช่นนี้ขุมกำลังทางการทหารก็ต้องมาจากกำลังพลของชาวมาดีนะฮฺเป็นหลัก บ่อยครั้งที่กองทหารเหล่านี้ออกจากมาดีนะฮฺเพื่อพิชิตดินแดนใหม่ และแผ่ขยายรัฐอิสลาม และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย เพราะพวกเขาได้พลีชีพในสงครามเหล่านั้น ในสมรภูมิอัลกอดีสียะหฺนั้น มีลูกหลานของเหล่าสาวกที่เป็นชาวเมืองมาดีนะฮฺเสียชีวิตถึง 700 คน และในช่วงเวลาที่เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมืองในนครมาดีนะฮฺ ปลายสมัยท่านคอลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) (อัยยามุ้ลฟิตัน) ก็มีคลื่นของผู้อพยพออกจากนครมาดีนะฮฺเป็นจำนวนมาก และเกิดขึ้นหลายระลอกด้วยกัน
ครั้นเมื่อถึงสมัยท่านคอลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ชาวเมือง มาดีนะฮฺจำนวนมิใช่น้อยก็ได้ร่วมออกเดินทางไปกับกองทัพของท่านสู่นครกูฟะหฺในอิรัก และชาวมาดีนะฮฺที่นิยมและสนับสนุน มุอาวียะหฺ อิบนุ อบีสุฟยาน ก็ออกเดินทางสู่แคว้นชาม จนกระทั่งบ้านเรือนในนครมาดีนะฮฺเกือบร้างผู้คนเลยทีเดียว ทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามคำพยากรณ์อันเป็นสัจจะของท่านศาสนทูตทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหากบุคคลเหล่านั้นทราบว่า การอดทนอยู่ในนครมาดีนะฮฺจนชีวิตจะหาไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเขาจะไม่ยอมจากนครแห่งนี้ไปเลย
ลาเหาละวาลากุวะต้าอิลลาบิลลาฮฺ