วงศ์วาน (อะฮฺลุ้ลบัยตฺ) ของท่านศาสนทูตจะประสบกับการทดสอบ

สัจจพยากรณ์ระบุว่า วงศ์วาน (อะฮฺลุ้ลบัยตฺ) ของท่านศาสนทูตจะประสบกับการทดสอบ

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ (ร.ฎ.) ว่า ท่านศาสนทูต ได้กล่าวว่า

إِنَّا أَهْلُ بَيْتٍ اخْتَارَاللهُ لَنَا الآ خِرَةَ عَلَى الدُّنْيَا  وَإنَّ بَيْتِىْ (أَهْلَ بَيْتِىْ) يَلْقَوْنَ بَعْدِيْ بَلَاءً  وَتَشْرِيْدًا وَتَطْرِيْدًا….الحديث

“แท้จริงพวกเราคือ ครอบครัวซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงเลือกโลกอาคิเราะฮฺแทนโลกดุนยาแก่พวกเรา และแท้จริงบ้านของฉัน (หมายถึงครอบครัวและวงศ์วาน) นั้น พวกเขาจะได้พบกับการทดสอบ การขับไล่และเสือกไสจนแตกกระซ่านกระเซ็นหลังจากฉัน” อัลหะดีษ รายงานโดย อิบนุ มาญะห์ 2-1368 เลขที่ 4088

 

วจนะบทนี้ ได้พยากรณ์ถึงความทุกข์ยากต่างๆ นานา อันเป็นการทดสอบซึ่งวงศ์วานของท่านศาสนทูต จะต้องพานพบภายหลังจากการไปของท่าน การทดสอบดังกล่าวเป็นการเพิ่มพูนเกียรติและความสูงส่งตลอดจนผลานิสงค์อันมากมายสำหรับผู้ที่อดทน โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายของท่านศาสนทูต ซึ่งพวกท่านเหล่านั้นต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ นานา ตลอดจนการเข่นฆ่าจากเหล่าผู้จงเกลียดจงชังซึ่งเรียกกันว่า พวกนะวาศิบ (اَلنَّوَاصِبُ)

 

ตลอดจนผู้มีอำนาจอยู่ในมือที่วิตกจริตจากการห้อมล้อมของผู้คนที่นิยมและให้ความยอมรับต่อวงศ์วานของท่านศาสนทูต และกลัวจะเป็นภัยต่ออำนาจของตนบุคคลหลายท่านจากลูกหลานของท่านศาสนทูต ถูกจำกัดบทบาท ถูกจองจำ และแม้กระทั่งถูกสังหาร ดังเช่น เรื่องราวของท่านอัลหุสัยฺน์ (ร.ฎ.) ดังที่ทราบกันในหน้าประวัติศาสตร์ จริงๆ แล้วท่านเหล่านั้นหาได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีอำนาจก็หาไม่ แต่ด้วยการสนับสนุนและการยุยงของบุคคลรอบข้างก็ได้นำสู่การลุกฮือ และถูกปราบปรามจากผู้มีอำนาจ นี่คือโศกนาฏกรรมที่เหล่าวงศ์วานของท่านศาสนทูตได้ถูกกระทำจากผู้มีอคติและอธรรม (ฮันนิฮายะห์ 1/54)

 

สำหรับบุคคลที่มีความเป็นลูกหลานของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้น พวกเขามีความประเสริฐและเกียรติยศอันสูงส่ง สถานภาพของพวกเขาจึงกลายเป็นเป้าหมายในหลายมิติสำหรับผู้คนที่อยู่ร่วมสมัยกับพวกเขา คนบางกลุ่มอาศัยสถานภาพของบุคคลที่เป็นลูกหลานของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพื่อเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจทางการเมืองการปกครอง ผลที่ตามมาก็คือ ลูกหลานของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) หลายต่อหลายท่านตกเป็นเป้าในการถูกกระทำด้วยความอธรรมจากผู้มีอำนาจโดยเฉพาะกลุ่ม อัน-นะวาศิบฺ ที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอะฮฺลุลบัยตฺ

 

ในขณะที่คนบางกลุ่มเลยเถิดในการยกสถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺบางท่านจนพ้นสภาพของความเป็นมนุษย์ พวกเขาใช้สถานภาพและความประเสริฐของอะฮฺลุลบัยตฺเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อและอุดมคติที่มีต่อสถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺจนเกิดความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ซึ่งอะฮฺลุลบัยตฺบริสุทธิ์จากความเชื่อและสิ่งที่ผิดเพี้ยนดังกล่าว คนกลุ่มเดียวกันนี้สร้างมายาคติที่ว่า เมื่อรักอะฮฺลุลบัยตฺก็จำต้องชิงชังอัครสาวกคนสำคัญของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เช่น เมื่อรักท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับท่านอบูบักร อัศ-ศิดดิ๊ก (ร.ฎ.) และท่านอุมัร (ร.ฎ.) รวมถึงภรรยาของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) และท่านหญิงหัฟเศาะฮฺ (ร.ฎ.) เป็นต้น

 

ราวกับว่าระหว่างบุคคลเหล่านั้นมีความชิงชังและความเคืองแค้นที่เป็นเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ ทั้งๆ ที่ผู้ซึ่งรายงานอัล-หะดีษเกี่ยวกับความประเสริฐของอะฮฺลุลบัยตฺก็คือบุคคลเหล่านั้น โดยเฉพาะท่านอบูบักร (ร.ฎ.) และท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) และกลุ่มชนเดียวกันนี้ที่อ้างว่าพวกตนเทิดทูนและปฏิบัติตามแนวทางของอะฮฺลุลบัยตฺ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงที่แฝงเร้นอยู่ในคำกล่าวอ้างของพวกเขา คืออะฮฺลุลบัยตฺบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อะฮฺลุลบัยตฺส่วนใหญ่ถูกกันออกไปจากกรอบความเชื่อของพวกเขา

 

มิหนำซ้ำผลจากหลักความเชื่อที่ว่าด้วยเรื่อง อิมามะฮฺ ซึ่งพวกเขาตั้งขึ้นได้นำไปสู่การตัดสินอะฮฺลุลบัยตฺบางส่วนให้กลายเป็นผู้ปฏิเสธไปในที่สุด สถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺที่อยู่ระหว่างความสุดโต่งสองด้าน คือ รักจนเลยเถิด กับ ชังเป็นที่สุด กลายเป็นข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้เพื่อบ่อนทำลายผู้ที่ดำเนินตามแนวทางสายกลาง ทั้งๆ ที่การมีความรักต่ออะฮฺลุลบัยตฺเป็นเครื่องหมายแห่งศรัทธา และเป็นคำสอนที่มีบัญญัติเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งในคัมภีร์อัล-กุรอาน และสุนนะฮฺของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

 

เหตุนี้สำหรับชาวอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ พวกเขามีความเชื่อต่อสถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺที่อยู่ระหว่างสองขั้วของความสุดโต่งนั้น เพราะท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) กล่าวว่า “จะมีชายสองคนวิบัติในฉัน คือ (หนึ่ง) ผู้ที่จงเกลียดจงชังอีกทั้งกล่าวใส่ร้ายโดยมุสา (สอง) ผู้ที่รักอีกทั้งเลยเถิด” (นะฮฺญุล-บะลาเฆาะฮฺ บิชัรหิ อบีล หะดีด 1/372)

 

อย่างไรก็ตามมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในกรณีที่อะฮฺลุลบัยตฺโดยเฉพาะลูกหลานของท่านอะลี (ร.ฎ.) ทั้งที่สืบเชื้อสายจากท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) และท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ถูกทดสอบจากบรรดาผู้ปกครองทั้งในราชวงศ์ อัล-อุมะวียะฮฺ และราชวงศ์อัล-อับบาสียะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามด้วยกำลังทหาร การควบคุมหรือกักขังตลอดจนการถูกกล่าวหาว่าเคลื่อนไหวในการเรียกร้องสิทธิของความเป็นผู้นำประชาคมมุสลิมซึ่งฝ่ายปกครองถือว่าเป็นภัยต่อเสถียรภาพแห่งอำนาจของพวกเขา  แล้วก็สรุปว่านั่นเป็นการกระทำของอะฮฺลุลสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺก็คือผู้ที่ให้การสนับสนุนพวกวงศ์ อุมัยยะฮฺในการสู้รบและประกาศตนเป็นศัตรูกับท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) และลูกหลานของท่าน

 

พวกเขายังได้แบ่งประชาคมมุสลิมออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้ที่รับศาสนาอิสลามจากวงศ์อุมัยยะฮฺและอีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ที่รับศาสนาอิสลามจากท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) และเหล่าอะฮฺลุลบัยตฺ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือประชาคมมุสลิมที่ยอมรับและสืบสานศาสนาอิสลามจากท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เหล่าเศาะหาบะฮฺและอะฮฺลุลบัยตฺเช่นเดียวกัน

 

และถึงแม้ว่าบุคคลเช่นท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ.) จะเป็นเศาะหาบะฮฺและรายงานหะดีษเพียงไม่กี่บทจากท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั่นก็มิได้หมายความว่าแนวทางของอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺมาจากท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) เพราะเศาะหาบะฮฺที่รายงานบัญญัติทางศาสนาจากท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นมีมากมาย และมีเป็นจำนวนมิใช่น้อยที่อยู่ในฝ่ายของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) และร่วมรบกับท่าน เศาะหาบะฮฺอีกจำนวนมากที่ยอมรับถึงสถานภาพของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) และอะฮฺลุลบัยตฺแต่ไม่เข้าร่วมด้วยในการทำสงครามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) หรือฝ่ายของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็ตาม

 

และไม่มีผู้ใดในหมู่ของเศาะหาบะฮฺที่เป็นกลางเหล่านี้ตลอดจนนักปราชญ์ของอะลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺยกท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) เหนือกว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) หรือแม้กระทั่งลูกหลานของอิมามอะลี (ร.ฎ.) ก็ตามทีโดยเฉพาะท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) และท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ความประเสริฐของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) และท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) และท่านอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) มีปรากฏอย่างชัดเจน และถูกต้องทั้งตัวบทและสายรายงานในบรรดาตำรับตำราอัล-หะดีษที่ปราชญ์ฝ่ายอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ บันทึกและรวบรวมเอาไว้ ดังนั้นการยอมรับในความเป็นผู้นำทางการเมืองการปกครองที่มีต่อบรรดาเคาะลีฟะฮฺในราชวงศ์ทั้งสองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

 

และนั่นก็มิได้หมายความว่า อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ต้องชิงชังอะฮฺลุลบัยตฺและเห็นดีเห็นงามกับความด่างพร้อมในประวัติศาสตร์ของบรรดาผู้ปกครองที่กระทำต่ออะฮฺลุลบัยตฺด้วยความอธรรม และใช่ว่าเคาะลีฟะฮฺในวงศ์อุมัยยะฮฺจะกระทำสิ่งเหล่านั้นกับบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺทุกเคาะลีฟะฮฺไปก็หาไม่ อย่างน้อยเคาะลีฟะฮฺ อุมัร อิบนุ อับดิลอะซีซ (ร.ฎ.) ก็ท่านหนึ่งที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้มีความรักและการให้เกียรติกับอะฮฺลุลบัยตฺที่อยู่ร่วมสมัยกับท่าน

 

การเหมารวมว่าพวกวงศ์อุมัยยะฮฺและเคาะลีฟะฮฺทุกคนในวงศ์นี้ต่างก็อธรรมกับอะฮฺลุลบัยตฺจึงเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ท่านเคาะลีฟะฮฺ อุมัร อิบนุ อับดุลอะซีซ (ร.ฎ.) และในทำนองเดียวกัน เคาะลีฟะฮฺในราชวงศ์อัล-อับบาสียะฮฺก็เช่นกัน ดังนั้นเรื่องความอธรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเคาะลีฟะฮฺในราชวงศ์ทั้งสองที่มีต่อบุคคลที่เป็นอะฮฺลุลบัยตฺจึงเป็นเรื่องในทำนองเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับปราชญ์ในฝ่ายของอะฮิลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺที่ถูกเฆี่ยนและจองจำตลอดจนการเสียชีวิตโดยถูกอธรรม ดังกรณีของอิมามอบูหะนีฟะฮฺ (ร.ฎ.) และอิมามอะหฺมัด (ร.ฎ.) เป็นต้น

 

โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ที่พวกมัวะอฺตะซิละฮฺมีอิทธิพลครอบงำทางความคิดในราชสำนักของวงศ์อัล-อับบาสียะฮฺ มีนักปราชญ์อะฮฺลุลสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺเป็นจำนวนมากที่ถูกอธรรมและต้องเสียชีวิตไปในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดเป็นการทดสอบความมั่นคงในศรัทธาและแนวทางที่ถูกต้องทั้งในส่วนของอะฮฺลุลบัยตฺและบรรดานักปราชญ์เหล่านั้นในฐานะของผู้สืบสานหลักคำสอนของศาสนาจากท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

 

กล่าวคือทั้งนักปราชญ์ในสายอะฮฺลุลบัยตฺ และนักปราชญ์ของอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือผู้สืบทอดมรดกของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัม) ซึ่งท่านได้ทิ้งกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺของท่านเอาไว้พร้อมกับการกำชับให้รำลึกถึงความประเสริฐและเกียรติอันสูงส่งของอะฮฺลุลบัยตฺแก่ประชาคมของท่านนับแต่ชั้นของเหล่าเศาะหาบะฮฺและผู้คนที่ปฏิบัติตามแนวทางสายกลางนั้น จวบจนวันสุดท้ายของโลกนี้

 

ขอพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประสาทพรและความศานติแก่ท่านศาสนทูต วงศ์วานของท่านและเหล่าสาวกของท่านด้วยเทอญ