10.ตำราชีอะฮฺอิมามียะฮฺและการกล่าวหาเศาะหาบะฮฺของอัต-ตีญานียฺ
อัต-ตีญานียฺเขียนไว้ใน “ษุมมะฮฺตะดัยตุ้” หลังจากที่เขาได้รับหนังสือของกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ที่ส่งมาถึงตูนิเซียว่า : “และข้าพเจ้าก็เริ่มอ่านตำราหลายเล่ม ข้าพเจ้าเริ่มอ่านตำราว่าด้วยหลักความเชื่อของอิมามียะฮฺ ตำราที่มาของชีอะฮฺ และหลักมูลฐานของชีอะฮฺ ข้าพเจ้ามีความผ่อนคลายอยู่ในใจสำหรับหลักความเชื่อเหล่านั้น และบรรดาความคิดที่ฝ่ายชีอะฮฺแสดงความคิดเห็นเหล่านั้นเอาไว้
ต่อมาข้าพเจ้าได้อ่านตำรา “อัล-มุรอญิอาต” ของสัยยิด ชะเราะฟุดดีน อัล-มูสาวียฺ ข้าพเจ้าอ่านได้เพียงไม่กี่หน้าจากตำราเล่มนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าหลงใหลเสียแล้ว..ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะของผู้ที่ฉงนขณะที่ผู้เขียนกล่าวถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ของเหล่าเศาะหาบะฮฺ และผู้เขียนได้ยกตัวอย่างสำหรับสิ่งดังกล่าว เช่น เหตุการณ์ วันพฤหัสฯ อับโชค….” (ดู ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 87)
ข้อเขียนที่อัต-ตีญานียฺเล่าเป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาผู้นี้จะได้ซื้อหาตำรับตำราอัล-หะดีษเพื่อนำมาอ่านและศึกษาประกอบการเจาะลึกเรื่องราวของเหล่าเศาะหาบะฮฺ ซึ่งอัต-ตีญานียฺได้แรงบันดาลใจจากตำราอัล-มุรอญิอาตของชะเราะฟุดดีน อัล-มูสาวียฺ อัต-ตีญานียฺตั้งปณิฐานในการค้นหคว้าของตนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าจะยึดถือบรรดาหะดีษเศาะหิหฺ ที่ทั้งฝ่ายสุนนะฮฺและชีอะฮฺเห็นตรงกัน และจะทิ้งบรรดาหะดีษที่ฝ่ายหนึ่งอ้างเพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายมิได้อ้างหรือยอมรับ อัต-ตีญานียฺเชื่อว่านี่คือวิธีการที่เป็นกลาง ยุติธรรม และตนจะห่างไกลจากอิทธิพลของความรู้สึกและความนิยมคลั่งไคล้ในสำนักคิดและสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้ขาดความเป็นกลาง (ดู ษุมมะฮฺตะดัยตุ้ หน้า 88)
แต่ทว่า ยังไม่ทันที่จะเข้าสู่เนื้อหาในเรื่องนี้ และเขียนผ่านไปไม่กี่ย่อหน้า อัต-ตีญานียฺก็ลืมสิ่งที่ตนสัญญาและตั้งเป็นปณิธานสำหรับตัวเองเอาไว้โดยระบุว่า บรรดานักปราชญ์รุ่นแรกๆ ของฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺเขียนตำราส่วนใหญ่โดยสอดคล้องกับแนวคิดของบรรดาผู้ปกครองในราชวงศ์อัล-อุมมะวียะฮฺ และอัล-อับบาสียะฮฺซึ่งเป็นศัตรูของอุฮฺลุลบัยตฺ และอ้างว่าการไปยึดถือคำกล่าวของนักปราชญ์ฝ่ายนี้เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ยึดถือคำกล่าวของนักปราชญ์มุสลิมที่ถูกกดขี่ด้วยน้ำมือของรัฐบาลดังกล่าวด้วยเหตุที่พวกเขาปฏิบัติตามอะฮฺลุลบัยตฺ ย่อมถือว่าขาดความเป็นกลาง (ดู ษุมมะฮิตะดัยตุ้ หน้า 89)
เพียงแค่บทเกริ่น อัต-ตีญานียฺก็ตัดสินและพิพากษานักปราชญ์ฝ่ายสุนนะฮฺไปเสียก่อนแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงในเนื้อหาของการสืบค้นเลยด้วยซ้ำไป และผ่านไปเพียงแค่ย่อหน้าเดียว อัต-ตีญานียฺก็พิพากษาเหล่าเศาะหาบะฮฺว่าเป็นต้นเหตุและปัญหาสำคัญที่ทำให้ประชาคมมุสลิมตกอยู่ในสภาพที่หลงผิด แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และโยนความผิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่เหล่าเศาะหาบะฮฺ อัต-ตีญานียฺเขียนว่า “บรรดามุสลิมจะไม่แบ่งฝ่าย จะไม่แตกแยกในเรื่องใดเลย หากไม่มีเศาะหาบะฮฺ (เป็นเหตุ) และทุกการขัดแย้งทั้งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และกำลังเกิดขึ้น อันที่จริงมันหวนกลับไปสู่การขัดแย้งของพวกเขาในประเด็นของเศาะหาบะฮฺ” (อ้างแล้ว หน้า 90)
จริงๆ แล้ว ความเป็นกลางของอัต-ตีญานียฺในเรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อนด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือความไม่รู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเหล่าเศาะหาบะฮฺ หากจะมีก็เป็นเพียงความรู้ที่ฉาบฉวยไม่ต่างอะไรกับสภาพของคนมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าตนเป็นชาวสุนนะฮฺแต่ไม่รู้จักสุนนะฮฺอย่างแท้จริง และความเป็นกลางที่อัต-ตีญานียฺกล่าวอ้างว่าตนมีและพยายามจะรักษามันไว้ก็สูญสิ้นลงนับตั้งแต่ที่ตนได้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวชีอะฮฺทั้งก่อนไปอีรักและขณะอยู่ที่อีรักซึ่งยังคงสร้างความประทับใจแก่อัต-ตีญานียฺเป็นอันมาก
มิหนำซ้ำก่อนที่อัต-ตีญานียฺจะนำตนเองเข้าสู่การวิเคราะห์เจาะลึกเกี่ยวกับเศาะหาบะฮฺ อัต-ตีญานียฺมีใจโน้มเอียงไปยังตำราของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ คล้อยตามและเกิดความสบายใจเมื่อได้อ่านแนวความคิดของชีอะฮฺในตำราเหล่านั้น และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อได้อ่านตำราของชะเราะฟุดดีน อัล-มูสาวียฺซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเขาในเรื่องนี้ อาจกล่าวได้ว่า อัต-ตีญานียฺได้เชื่ออย่างสนิทใจต่อข้อเขียนของชะเราะฟุดดีน อัล-มุสาวียฺ และตัดสินพิพากษาเหล่าเศาะหาบะฮฺเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเป็นกลางจึงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกนำมาอ้างเพื่อทำให้ดูดี น่าเชื่อถือ และตบตาผู้อ่าน การวิเคราะห์ของอัต-ตีญานียฺเกี่ยวกับเรื่องเศาะหาบะฮฺและเรื่องอื่นๆ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การเขียนเพื่อสนับสนุนคำพิพากษาที่ตั้งธงเอาไว้แล้วให้ดูสมจริงเท่านั้น