22. ตัวบทที่ระบุชื่อบรรดาอิมาม 12 ท่านตามที่ฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺกล่าวอ้าง

อัส-สัยยิด มุฮัมมัด อะลี อัล-หะสะนียฺ กล่าวว่า : “หลังจากสิ่งซึ่งเราได้กล่าวมาแล้วโดยสรุปถึงทัศนะของชีอะฮฺ อิมามียะฮฺและความเชื่อของพวกเขาในเรื่องตำแหน่งคิลาฟะฮฺ อิสลามียะฮฺ ว่าแท้จริงตำแหน่งคิลาฟะฮฺนี้เป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวบทแห่งพระผู้อภิบาล ไม่มีทัศนะความเห็นของผู้ใดจากอุมมะฮฺในเรื่องของตำแหน่งคิลาฟะฮฺ (คือไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้ใดจะออกความเห็นและมีสิทธิเลือกผู้ดำรงตำแหน่งคิลาฟะฮฺ)

 

เช่นเดียวกัน ชีอะฮฺ อิมามียะฮฺเชื่อว่าแท้จริงบรรดาอิมามและเคาะลีฟะฮฺหลังจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มี 12 ท่านที่เป็นอิมามและเคาะลีฟะฮฺซึ่งท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กำหนดเป็นตัวบทถึงการเป็นอิมามของพวกเขาคนหนึ่งหลังจากอีกคนหนึ่ง และบรรดานักปราชญ์จากชาวสุนนะฮฺและชีอะฮฺก็ยอมรับถึงความถูกต้องของสิ่งดังกล่าวเช่นเดียวกับที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้รายงานบรรดา หะดีษเป็นจำนวนมาก และมีสายรายงานหลากหลายตลอดจนมีบรรดาตัวบทต่างๆ เอาไว้ (ดิรอสาต ฟี อะกออิด อัช-ชีอะฮฺ อัล-อิมามียะฮฺ ; สัยยิด มุฮัมมัด อะลี อัล-หะสะนียฺ : มุอัสสะสะฮฺ อัน-นุอฺมาน (เบรุต) 1989 หน้า 99) 

 

ข้อเขียนของสัยยิด อัล-หะสะนียฺในช่วงท้ายของข้อความข้างต้นเป็นการเจือสมเอาเอง เพราะนักปราชญ์ฝ่ายสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่ได้ยอมรับต่อบรรดาหะดีษที่ออกชื่ออิมาม 12 ท่านตามที่ฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺกล่าวอ้าง นอกเหนือจากชีอะฮฺกลุ่มอื่นๆ ซึ่งไม่ยอมรับหลักฐานที่ฝ่ายอิมามียะฮฺ อิษนาอะชะรียะฮฺนำมาอ้างเช่นกัน 

 

จริงอยู่ ที่มีอัล-หะดีษในตำราของฝ่ายสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ หลายสายรายงานระบุถึงบรรดาเคาะลีฟะฮฺจำนวน 12 คน ที่ทั้งหมดมาจากตระกูลกุรอยชฺ แต่บรรดาอัล-หะดีษดังกล่าวไม่ได้ระบุรายชื่อของเหล่าเคาะลีฟะฮฺ 12 คนนั้น และสำนวนตลอดจนสาระสำคัญของอัล-หะดีษดังกล่าวก็ขัดแย้งกับความเชื่อของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺที่มุ่งหมายเหล่าเคาะลีฟะฮฺทั้ง 12 คนว่าหมายถึงอิมาม มะอฺศูม 12 ท่านของฝ่ายอิมามียะฮฺ อิษนา อะชะรียะฮฺเป็นกรณีเฉพาะ ซึ่งประเด็นนี้ชีอะฮฺกลุ่มอื่นไม่เห็นด้วย

 

การอ้างถึงจำนวนตัวเลขของเคาะลีฟะฮฺหรืออิมาม 12 คนของฝ่ายอิมามียะฮฺว่าฝ่ายสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺก็รายงานเรื่องนี้จึงเป็นหลุมพรางที่วางเป็นกับดักเอาไว้สำหรับผู้ที่มองข้ามสาระสำคัญของอัล-หะดีษดังกล่าว และมุ่งเป้าไปยังตัวเลขของเคาะลีฟะฮฺ 12 คน โดยหารู้ไม่ว่าตนพลาดประเด็นสำคัญไป มิหนำซ้ำฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺเองก็พลาดที่หยิบยกบรรดาอัล-หะดีษดังกล่าวมาอ้าง (ดู ดิรอสาตฺ ฟี อะกออิด อัช-ชีอะฮิ อัล-อิมามียะฮฺ ; สัยยิด มุฮัมมัด อะลี อัล-หะสะนียฺ ที่ยกบรรดาอัล-หะดีษดังกล่าวมาอ้างในหน้า 100-101 , อัล-คิศอล ; อิบนุ บาบะวัยฮิ หน้า 470 , อัล-ฆอยบะฮฺ ; อัฏ-ฏูสียฺ หน้า 88 , กัชฟุลฆุมมะฮฺ ; อัล-อัรฺบิลียฺ หน้า 56-57 , อัศ-ศิรอฏ อัล-มุสตะกีม ; อัล-บะยาฎียฺ 2/100 , หักกุลยะกีน ; ชิบรฺ หน้า 338 , อัล-อิมามะฮฺ ; อัส-สะมาวียฺ 1/147) 

 

ส่วนหนึ่งจากบรรดาอัล-หะดีษที่ระบุถึงเคาะลีฟะฮฺ 12 ท่านได้แก่ 

1) จากท่านญาบิรฺ อิบนุ สะมุเราะฮฺ ว่า ; ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “จะมีผู้นำ (อะมีรฺ) จำนวน 12 คน” แล้วท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวถ้อยคำหนึ่งที่ฉันไม่ได้ยินถ้อยคำนั้น บิดาของฉันจึงกล่าวว่า : แท้จริงท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “พวกเขาทั้งหมดมาจากกุรอยชฺ” (เศาะหิหฺ อัล-บุคอรียฺ กิตาบ อัล-อะหฺกาม บาบ อัล-อิสติคลาฟ 8/127) 

 

2) จากท่านญาบิรฺกล่าวว่า : ฉันเคยได้ยินท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “อิสลามจะยังคงเกริกเกียรติจนถึงเคาะลีฟะฮฺจำนวน 12 คน” แล้วท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวถ้อยคำหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจถ้อยคำนั้น ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า : ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวอะไร? บิดาของฉันจึงกล่าวว่า “พวกเขาทั้งหมดมาจากกุรอยชฺ” (เศาะหิหฺมุสลิม กิตาบอัล-อิมาเราะฮฺ บทว่าด้วยผู้คนปฏิบัติตามกุรอยชฺ และการเป็นเคาะลีฟะฮฺอยู่ในตระกูลกุรอยชฺ 2/1453) 

 

ในอีกสำนวนหนึ่งระบุว่า : “ศาสนานี้ยังคงเกริกเกียรติเข้มแข็งจนถึงเคาะลีฟะฮ 12 คน” (อ้างแล้ว) และอีกสำนวนระบุว่า :การกิจของผู้คนยังคงดำเนินไปตราบที่มี 12 คน เป็นผู้รับผิดชอบการกิจของพวกเขา” (อ้างแล้ว หน้า 1452) 

 

3) ในสุนันอบีดาวูดระบุว่า : ศาสนานี้ยังคงดำรงมั่นอยู่จนกระทั่งมีเคาะลีฟะฮฺปกครองเหนือพวกท่าน 12 คน พวกเขาทั้งหมดนั้น เหล่าประชาคมต่างก็รวมกันบนพวกเขา (เห็นพ้องและปฏิบัติตามป (สุนันอบีดาวูด 4/471) เป็นต้น 

 

จะเห็นได้ว่า บรรดาอัล-หะดีษข้างต้นที่ถูกระบุในตำราของฝ่ายสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไม่ได้ออกชื่อเหล่าเคาะลีฟะฮฺทั้ง 12 คนว่าเป็นผู้ใด อัล-หะดีษเพียงแต่ระบุว่าพวกเขาทั้งหมดมาจากผู้สืบเชื้อสายตระกูลกุรอยชฺ ซึ่งเคาะลีฟะฮฺทั้ง 4 ท่านเป็นบุคคลในตระกูลกุรอยชฺแน่นอน และบรรดาเคาะลีฟะฮฺในราชวงศ์อัล-อุมะวียะฮฺ และอัล-อับบาสียะฮฺก็เป็นผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลกุรอยชฺเช่นกัน 

 

สาระสำคัญของอัล-หะดีษข้างต้นระบุถึงสภาพการณ์ของศาสนาอิสลามว่ายังคงมีความเข้มแข็ง สูงส่ง และการกิจของประชาคมมุสลิมในช่วงการปกครองของเคาะลีฟะฮฺทั้ง 12 คนนั้นยังคงดำรงอยู่บนความถูกต้องและดำเนินไปด้วยดี สาระสำคัญที่ถูกระบุถึงนี้ค้านกับความเชื่อของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺที่อ้างว่า เมื่อท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้สิ้นชีวิตลง บรรดาเศาะหาบะฮฺส่วนใหญ่ยกเว้นไม่เกิน 10 คนล้วนแต่ตกศาสนา ทำลายพันธสัญญาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ที่กำหนดแต่งตั้งท่าน อะลี (ร.ฎ.) ให้เป็นเคาะลีฟะฮฺท่านแรกหลังจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) โดยตรง

 

ตลอดจนข้อกล่าวหาของอัต-ตีญานียฺกับพวกที่อ้างว่าเหล่าเศาะหาบะฮฺคือต้นเหตุของความหลงผิดที่เกิดขึ้นกับประชาคมมุสลิม มีการบิดเบือนและการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนของอัล-กุรอานและสุนนะฮฺโดยเหล่าเศาะหาบะฮฺที่เป็นผู้กลับกลอก และบรรดาเศาะหาบะฮฺแผ่ขยายดินแดนอิสลามตลอดจนสู้รบกับชนต่างศาสนาเพื่อแสวงหาทรัพย์สินและความสุขทางโลกโดยไม่ได้สู้รบเพื่อศาสนา และเทอดทูนพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้สูงส่ง

 

ข้อกล่าวหาดังกล่าวของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺที่มีต่อบรรดาเคาะลีฟะฮฺ (ที่ฝ่ายอะฮิลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺให้การรับรอง) โดยส่วนใหญ่ในจำนวน 12 ท่าน (ยกเว้นท่านอะลี (ร.ฎ.) และท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) ซึ่งฝ่ายอะฮฺลุสสุนนะฮฺ และฝ่ายชีอะฮฺให้การรับรองสถานภาพการเป็นเคาะลีฟะฮฺ)  ตลอดจนข้อกล่าวหาที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺและชนรุ่นสะลัฟ ศอลิหฺ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับสาระสำคัญของอัล-หะดีษดังกล่าว

 

เพราะหากถือตามความเชื่อและข้อกล่าวหาของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ ก็ย่อมแสดงว่า อิสลามและประชาคมมุสลิมในยุคหลังท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อันเป็นยุคสมัยของเหล่าเคาะลีฟะฮฺ 12 ท่านได้ถูกบิดเบือนหลงผิด ตกต่ำและหมดศักยภาพในการสืบทอดความบริสุทธิ์และความยิ่งใหญ่ของอิสลามไปโดยสิ้นเชิงแล้วนับตั้งแต่ท่านอะลี (ร.ฎ.) ถูกกันออกจากสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านตามที่อัต-ตีญานียฺและฝ่ายชีอะฮฺกล่าวอ้าง 

 

ในบรรดาอิมาม 12 ท่านของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ ไม่มีอิมามท่านใดดำรงตำแหน่ง เคาะลีฟะฮฺที่ปกครองการกิจของประชาคมมุสลิม ยกเว้นท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) และอิมามอัล-หะสัน (ร.ฎ.) ในช่วงเวลาสั้นๆ ราว 6 เดือน และประชาคมมุสลิมก็ไม่ได้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในช่วงเวลาของอิมามทั้งสอง ตลอดจนประชาคมมุสลิมก็ไม่ได้มีสถานภาพของผู้ศรัทธาและดำรงศาสนาอิสลามเอาไว้ตลอดช่วงระยะเวลาของอิมาม 12 ท่าน – ตามคำกล่าวอ้างของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ – หากแต่ประชาคมมุสลิมได้หลงผิดและละทิ้งแนวทางของศาสนาอิสลามไปเสียแล้ว – ตามคำกล่าวอ้างของพวกเขาอีกเช่นกัน-

 

ส่วนบรรดาอิมาม 12 ท่านของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺก็ตกอยู่ในสภาพของผู้ที่ปกปิดอำพรางแนวทางของตนด้วยการตะกียะฮฺ และในสมัยของท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) ขณะดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺก็เป็นสมัยของการตะกียะฮฺ ตามที่ชัยคฺ อัล-มุฟีดของฝ่ายชีอะฮฺระบุเอาไว้อย่างชัดเจน (ดู อัลอิรฺชาด ; มุฮัมมัด อิบนุ อัน-นุอฺมาน อัล-มุฟีด : หน้า 12 สำนักพิมพ์อัล-หัยดะรียะฮฺ อัน-นะญัฟ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฮ.ศ. 1392) โดยท่าน อิมามอะลี (ร.ฎ.) ไม่สามารถแสดงอัล-กุรอานได้อย่างปรากฏชัด และแทบจะไม่สามารถใช้หลักการอิสลามมาปกครองได้อย่างครบถ้วน ตามที่ชัยคฺ อัล-ญะซาอิรียฺของฝ่ายชีอะฮฺระบุไว้เช่นนั้น (ดู อัล-อันวารฺ อัน-นุอฺมานียะฮฺ ; นิอฺมะตุลลอฮฺ อัล-ญะซาอิรียฺ 2/362)

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นศาสนาอิสลามจะมีความมั่นคง แข็งแรง และดำรงอยู่บนความถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อเคาะลีฟะฮฺอย่างท่านอะลี (ร.ฎ.) ตกอยู่ในสภาพที่ฝ่ายชีอะฮฺกล่าวอ้าง ดังนั้นอัล-หะดีษที่ระบุถึงบรรดาเคาะลีฟะฮฺ 12 ท่านจึงไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของบรรดาอิมาม 12 ท่านตามที่ชีอะฮฺ อิมามียะฮฺกล่าวอ้าง มิหนำซ้ำยังขัดแย้งกับสาระสำคัญของอัล-หะดีษอีกด้วย 

 

ส่วนหลักฐานที่ระบุชื่อของบรรดาอิมาม 12 ท่าน ตามลำดับซึ่งชีอะฮฺนำมาอ้างเพียงฝ่ายเดียวนั้น ฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ อ้างถึงรายงานจากมุญาฮิด จากท่านอิบนุอับบาส (ร.ฎ.) ใน หะดีษที่ยืดยาวจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จนถึงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า :

 

…วะศียฺ (ผู้ได้รับคำสั่งเสีย) ของฉันคือ อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ และหลังจากอะลีคือหลานชายทั้ง 2 ของฉัน อัล-หะสัน และอัล-หุสัยนฺ จะมีอิมามจำนวน 9 ท่านถัดจากอัล-หุสัยนฺที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของอัล-หุสัยนฺ เขากล่าวว่า : โอ้ มุฮัมมัด จงเอ่ยชื่อของพวกเขาแก่ฉันเถิด! ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จึงกล่าวว่า : เมื่ออัล-หุสัยนฺผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขาคือ อะลี เมื่ออะลีผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขา คือ มุฮัมมัด เมื่อมุฮัมมัดผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขาคือ ญะอฺฟัรฺ

 

เมื่อญะอฺฟัรฺผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขา คือ มูซา เมื่อมูซาผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขา คือ อะลี เมื่ออะลีผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขา คือ มุฮัมมัด เมื่อมุฮัมมัดผ่านพ้นก็คือบุตรชายของเขา คือ อัล-หะสัน เมื่ออัล-หะสันผ่านพ้นก็คือบุตรของเขา คือ อัล-หุจญะฮฺ มุฮัมมัด อัล-มะฮฺดียฺ ดังนั้นพวกเขาคือ 12 คน” (ดิรอสาต ฟี อะกออิด อัช-ชีอะฮฺ อัล-อิมามียะฮฺ ; สัยยิด มุฮัมมัด อะลี อัล-หุสัยนียฺ หน้า 102-103 อ้างจาก ยะนาบีอฺ อัล-มะวัดดะฮฺ ; ชัยคฺ อัล-กอนดูซียฺ อัล-หะนะฟียฺ หน้า 440 และมุนตะคอบ อัล-อะษัรฺ หน้า 97)

 

เพื่อความชัดเจนในเรื่องของรายชื่ออิมาม 12 ท่านตามที่ฝ่ายอิมามิยะฮฺยึดมั่น จึงขอกล่าวถึงบรรดาอิมาม 12 ท่านตามลำดับดังนี้ 

1) อิมามอบุลหะสัน อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (อัล-มุรฺตะฎอ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 40) 

2) อิมามอบูมุฮัมมัด อัล-หะสัน อิบนุ อะลี (อัซ-ซะกียฺ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 50) 

3) อิมามอบูอับดิลลาฮฺ อัล-หุสัยนฺ อิบนุ อะลี (สัยยิด อัช-ชุฮะดาอฺ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 61) 

4) อิมามอบูมุฮัมมัด อะลี อิบนุ อัล-หุสัยนฺ (ซัยนุล อาบิดีน) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 95) 

5) อิมามอบูญะอฺฟัรฺ มุฮัมมัด อิบนุ อะลี (อัล-บากิรฺ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 114) 

6) อิมามอบูอับดิลลาฮฺ ญะอฺฟัรฺ อิบนุ มุฮัมมัด (อัศ-ศอดิก) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 148) 

7)อิมามอบูอิบรอฮีม มูซา อิบนุ ญะอฺฟัรฺ (อัล-กาซิม) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 183) 

8) อิมามอบุลหะสัน อะลี อิบนุ มูซา (อัร-ริฎอ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 202 , 203) 

9) อิมามอบูญะอฺฟัรฺ มุฮัมมัด อิบนุ อะลี (อัล-เญาว๊าด) (เสียชีวิต ฮ.ศ.ที่ 220) 

10) อิมามอบุลหะสัน อะลี อิบนุ มุฮัมมัด (อัล-ฮาดียฺ) (เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 254) 

11) อิมามอบูมุฮัมมัด อัล-หะสัน อิบนุ อะลี (อัล-อัสกะรียฺ) เสียชีวิต ฮ.ศ. ที่ 260) 

12) อิมามอบุลกอสิม มุฮัมมัด อิบนุ อัล-หะสัน (อัล-มะฮฺดียฺ) หายตัวไปในช่วงฆอยบะฮฺ ศุฆรอ ปี ฮ.ศ. 260 และในช่วงฆอยบะฮฺ กุบรอ ปี ฮ.ศ. 329 และจะปรากฏออกมาในยุคสุดท้ายก่อนวันสิ้นโลกตามความเชื่อของฝ่ายชีอะฮฺ อิมามียะฮฺ 

 

และมีรายงานจากญาบิรฺ อิบนุ ยะซีด อัล-ญุอฺฟียฺว่า ฉันเคยได้ยินญาบิรฺ อิบนุ อับดิลลาฮฺ อัล-อันศอรียฺกล่าวว่า : เมื่ออัลลอฮฺได้ทรงประทานอายะฮฺที่ 59 สูเราะฮฺ อัน-นิสาอฺ (ซึ่งระบุคำว่า (وأولى الأمرمنكم) ที่หมายถึงบรรดาอิมาม 12 ท่าน ตามที่ชีอะฮฺ อิมามียะฮฺกล่าวอ้าง) ลงมาให้แก่ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ฉัน (ญาบิรฺ อัล-อันศอรียฺ) จึงกล่าวว่า : โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ แน่แท้พวกเรารู้จักอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์แล้ว ดังนั้น ผู้ใดคือ “อูลิลอัมริ” ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) นำเอาการภักดีเชื่อฟังต่อพวกเขามาคู่กับการภักดีเชื่อฟังต่อท่านเล่า? ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า : “พวกเขาคือบรรดาเคาะลีฟะฮฺของฉัน และเป็นบรรดาอิมามของชาวมุสลิมหลังจากฉัน

 

คนแรกของพวกเขาคือ อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ ต่อมาคืออัล-หะสัน ต่อมาคืออัล-หุสัยนฺ ต่อมาคืออะลี อิบนุ อัล-หุสัยนฺ ต่อมาคือมุฮัมมัด อิบนุ อะลี ผู้เป็นที่รู้จักในคัมภีร์เตารอตว่า อัล-บากิรฺ โอ้ ญาบิรฺ! เอ๋ย เจ้าจะมีชีวิตอยู่จนทันได้พบเขา เมื่อท่านได้พบเขา ก็จงอ่านสล่ามจากฉันถึงเขาด้วย ต่อมาคืออัศ- ศอดิก ญะอฺฟัรฺ  อิบนุ มุฮัมมัด ต่อมาคือมูซา อิบนุ ญะอฺฟัรฺ ต่อมาคืออะลี อิบนุ มูซา ต่อมาคือมุฮัมมัด อิบนุ อะลี ต่อมาคือ อะลี อิบนุ มุฮัมมัด ต่อมาคืออัล-หะสัน อิบนุ อะลี ต่อมาคือผู้ที่มีชื่อและกุนยะฮฺของฉัน หุจญะฮฺของอัลลอฮฺในโลกของพระองค์และเป็นผู้ที่คงอยู่ในปวงบ่าวของพระองค์ อิบนุ อัล-หะสัน อิบนิ อะลี..” (ดิรอสาต ฟี อะกออิด อัช-ชีอะฮฺ อัล-อิมามียะฮฺ , สัยยิด มุฮัมมัด อะลี อัล-หะสะนียฺ หน้า 103 – 105 อ้างจาก ยะนาบีอฺ อัล-มะวัดดะฮฺ หน้า 495 , อิกมาลุดดีน 1/365 , มุนตะคอบ อัล-อะษัรฺ 101 , 102) 

 

อัต-ตีญานียฺ เขียนว่า : “ท่านเหล่านี้คือ บรรดาอิมามของชีอะฮฺ ผู้ซึ่งมีจำนวนสิบสองท่าน ฉะนั้น เมื่อได้มีการกล่าวว่า อัช-ชีอะฮฺ อัล-อิมามียะฮฺ หรือ อัล-อิษนาอะซะรียะฮฺ หรือ อัล-ญะอฺฟะรียะฮฺ ก็ย่อมหมายถึงพวกท่าน (อิมาม) เหล่านี้แต่เพียงกลุ่มเดียวอย่างแน่นอน ทั้งนี้เนื่องแต่ไม่มีนิกายของอิสลามอื่นใดอีกที่ยอมรับการเป็นอิมามของพวกท่าน” (ดู ชีอะฮฺคือซุนนะฮฺที่แท้จริง (ฉบับแปลภาษาไทย) หน้า 216)

 

คำยืนยันของอัต-ตีญานียฺที่ว่าไม่มีนิกายของอิสลามอื่นใดอีกที่ยอมรับการเป็นอิมามของบรรดาอิมาม 12 ท่าน นอกจากกลุ่มชีอะฮฺอิมามียะฮฺ อิษนา อะชะรียะฮฺ หรืออัล-ญะอฺฟะรียฺย่อมบ่งชี้ว่า ชีอะฮฺกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่อิมามียะฮฺ อิษนา อะชะรียะฮฺไม่ยอมรับในบรรดาอิมาม 12 ท่านนอกเหนือจากฝ่ายอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺที่ไม่ยอมรับในบรรดาอิมาม 12 ท่านเช่นกัน (ยกเว้นอิมามอะลี (ร.ฎ.) และอิมามอัล-หะสัน (ร.ฎ.) และนั่นย่อมบ่งชี้อีกเช่นกันว่า ตัวบทที่ระบุรายชื่อของบรรดาอิมาม 12 ท่าน ตามที่ฝ่ายอิมามียะฮฺนำมาอ้างเป็นหลักฐานก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชีอะฮฺกลุ่มอื่นเช่นกัน

 

และนี่เป็นประเด็นที่ฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺคงต้องเคลียร์กับชีอะฮฺกลุ่มอื่นก่อนที่จะนำหลักฐานดังกล่าวมาอ้างและอภิปรายกับฝ่ายอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ เพราะหากตัวบทนั้นเป็นเรื่องที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้ระบุรายชื่อของอิมามทั้ง 12 ท่านอย่างครบถ้วนตามลำดับแล้วเหตุไฉนฝ่ายชีอะฮฺด้วยกันจึงรู้ถึงผู้เป็นอิสลามในลำดับต่อมา แต่กลับไปเชื่อในการเป็นอิมามของผู้อื่นที่ไม่ได้ออกชื่อเอาไว้ในหลักฐานดังกล่าว

 

อาทิ ชีอะฮฺกลุ่มอัล-หะสะนียะฮฺ ที่เชื่อว่าอิมามอัล-หะสัน อัล-มุจญ์ตะบา คืออิมามหลักจากบิดาของท่าน คือ อะลี อัล-มุรฺตะฎอ และอิมามหลังจากอัล-หะสัน อัล-มุจญ์ตะยา คือ อัล-หะสัน อัล-มุษันนา ถัดมาคือบุตรชายของท่าน คือ อิมามอับดุลลอฮฺ ถัดมาคือบุตรชายของท่านคือ มุฮัมมัด ผู้มีฉายาว่า อัน-นัฟสุ อัซ-ซุกียะฮฺ ถัดมาคือน้องชายของท่านคือ อิบรอฮีม อิบนุ อับดิลลาฮฺ (มุคตะศอรฺ อัต-ตุหุฟะฮฺ อัล-อิษนา อะซะรียะฮฺ ; ซาฮฺ อับดุลอะซีซ ฆุลามหะกีม อัด-ดิฮฺละวียฺ หน้า 15)

 

ชีอะฮฺ อัล-กัสนียะฮฺก็เชื่อว่าหลังการที่ท่านอิมามอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ถูกสังหาร ตำแนห่งการเป็นอิมามของมุฮัมมัด อิบนุ อัล-หะนะฟียะฮฺ ผู้เป็นบุตรของอิมามอะลี (ร.ฎ.) แทนที่จะเป็นอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (ร.ฎ.) เช่นเดียวกับกรณีของกลุ่มชีอะฮฺ อัรฺริซามียะฮฺที่เชื่อว่าการเป็นอิมามได้เปลี่ยนมายังอิมามมุฮัมมัด อิบนุ อัล-หะนะฟียะฮฺ ต่อมาก็คือบุตรชายของอิมามมุฮัมมัด ต่อมาก็เปลี่ยนมายังอิมามอะลี อิบนุ อับดิลลาอฮฺ อิบนิ อับบาส และลูกหลานของอบูมันศูรฺ , ชีอะฮฺอัซ-ซัยดียะฮฺก็เชื่อว่าอิมามชัยคฺ อิบนุ อะลี ซัยนุลอาบิดีนเป็นอิมามต่อจากอิมามอะลี ซัยนุลอะบิดีน แทนที่จะเป็นอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ (ร.ฎ.)

 

ชีอะฮฺอัล-อามาอิลียะฮฺก็กล่าวว่า อิมามภายหลังอิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (ร.ฎ.) คือ อิสมาอัล อิบนุ ญะอฺฟัรฺ ถัดมาก็คือ อิมามมุฮัมมัด อิบนุ อิสมาอัล อิบนิ ญะอฺฟัรฺ แทนที่จะเป็น อิมามมูซา อัล-กาซิม (ร.ฎ.) , ชีอะฮฺอัล-มันศูรียะฮฺก็กล่าวว่า อบูมันศูรฺ อัล-อิจญ์ลียฺเป็นอิมามต่อจากอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ (ร.ฎ.) ในขณะที่ชีอะฮฺอัล-หาฎิรียะฮฺกลับกล่าวว่า อิมามต่อจากอิมามมุฮัมมัด อัล-บากิรฺ (ร.ฎ.) คือ อิมามซะกะรียา บุตรชายของอิมามมุฮัมมัด (ร.ฎ.) แทนที่จะเป็น อิมามญะอฺฟัรฺ อัศ-ศอดิก (ร.ฎ.)

 

ชีอะฮฺอัล-มะฮฺดะวียะฮฺก็เชื่อว่าอิมามต่อจากอิสมาอีล คือ มุฮัมมัด อัล-วะศียฺ ถัดมาคือ อะหฺมัด อัล-วะฟียฺ ถัดมาคือ มุฮัมมัด อัต-ตะกียฺ ตามลำดับ , ชีอะฮฺอัล-อิสหากียะฮฺก็อ้างว่า อิมามต่อจากญะอฺฟัร อัศ-ศอดิกคือ อิสหาก บุตรชายของท่าน , ชีอะฮฺอัล-อัฟเฏาะหิยะฮฺก็ถือว่าอับดุลลอฮฺ อัล-อัฟเฏาะหฺ บุตรอิมามญะอฺฟัรเป็นอิมามต่อจากท่าน , และ ฯลฯ 

 

ที่กล่าวมาข้างต้นคือกลุ่มชีอะฮฺต่างๆ ที่มีความเชื่อขัดแย้งกันเกี่ยวกับบรรดาอิมาที่สืบต่อกัน ซึ่งมีผลทำให้ชีอะฮฺมีกลุ่มนิกายเป็นอันมาก อัล-มัสอูดียฺซึ่งเป็นชีอะฮฺและกลุ่มชีอะฮฺอิมาม 12 นับว่าอัล-มัสอูดียฺเป็นปราชญ์คนหนึ่งของพวกเขา (ดู อัล-กุนา วัลอัลก็อบ ; อับบาส อัล-กุมมียฺ 3/160 , ญามิล อัรฺรุวาต ; อัล-อัรฺดะบีลียฺ 1/537) กล่าวว่า : แท้จริง บรรดากลุ่มต่างๆ ของชีอะฮฺนั้นมีจำนวนมากถึง 73 กลุ่ม (มุรูญุซซะฮับ ; อัล-มัสอูดียฺ 3/221) และชีอะฮฺแต่ละกลุ่มก็กล่าวหาชีอะฮฺ กลุ่มอื่นเป็นกาฟิรฺ

 

เหตุนี้มีรฺกาบีร อัด-ดามาด ปราชญ์ของชีอะฮฺในสมัยราชวงศ์อัศเศาะฟะวียะฮฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 1040) อ้างว่า กลุ่มทั้งหมดที่ถูกระบุในหะดีษที่ว่าด้วยการแตกพวกของอุมมะฮฺเป็น 73 กลุ่ม คือกลุ่มต่างๆ ของพวกชีอะฮฺ กลุ่มที่รอดพ้นเพียงหนึ่งเดียวคือ ชีอะฮฺอิมามียะฮฺ และการที่ชีอะฮฺมีความเห็นขัดแย้งกันทุกครั้งที่อิมามของพวกเขาเสียชีวิตเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะเป็นอิมามสืบต่อในภายหลังย่อมเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด ตัวบทที่กำหนดออกชื่อบรรดาอิมามว่าเป็นใครต่อใครต่อจากใครเป็นเรื่องไร้สาระ ตามที่ชัยคฺ อะหฺมัด อิบนุ ยะห์ยา อัล-มุรฺตะฏอ ปราชญ์ในฝ่ายชีอะฮฺอัซ-ซัยดียะฮฺ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 840) วิจารณ์เอาไว้ (ดู อัล-มะนียะฮฺ วัล-อะมัล หน้า 21)

 

และความขัดแย้งภายหลังการเสียชีวิตของอิมามแต่ละคนจากอะฮิลุลบัยตฺจนฝ่ายชีอะฮฺมีกลุ่มนิกายมากมาย บางส่วนก็ยุติลำดับของอิมามและจำนวนเอาไว้เพียงแค่อิมามที่เสียชีวิต และบางส่วนก็แสวงหาอิมามท่านอื่นต่อไปจากอะฮฺลุลบัยตฺ นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าการกำหนดรายชื่อ และตัวบทการเป็นอิมามไม่ใช่สิ่งที่ประกันความปลอดภัย และความรอดพ้นของกลุ่มชีอะฮฺเองจากความหลงผิด เหตุนั้น พวกชีอะฮฺจึงโอดครวญถึงสิ่งดังกล่าวที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเขาเอง (ดู ริญาลุลกะซียฺ หน้า 498-499)

 

มิหนำซ้ำเราจะพบว่าในบางรายงานของฝ่ายชีอะฮฺอิมามสิบสองเองก็มีสิ่งที่เป็นความสับสนและข้อสงสัยเกี่ยวกับจำนวนของบรรดาอิมามมะอฺศูมของพวกเขาอีกด้วย ในตำราริญาลุลกะซียฺ หน้า 373 ระบุรายงานที่ว่า “อิมามท่านที่เจ็ดของเรา คือ กออิมของเรา” ซึ่งการสิ้นสุดของจำนวนอิมามในลำดับที่เจ็ดนั้นเป็นสิ่งที่ชีอะฮฺอิมามียะฮฺมีความเชื่อ แต่เมื่อจำนวนอิมามมีมากกว่าในกลุ่มชีอะฮฺอัล-มูสาวีบะฮฺ หรืออัล-กอฏอิยะฮฺ (คือ ชีอะฮฺอิมามสิบสอง) ตัวบทข้างต้นก็กลายเป็นข้อน่ากังขาในหมู่ของผู้ถือตามชีอะฮฺอิมามสิบสอง พวกเขาจึงพยายามหาทางในการหลุดพ้นจากข้อสงสัยด้วยการอ้างรายงานจากอิมามอบูญะอฺฟัรฺ เพื่ออธิบายสิ่งดังกล่าว (ดู ริญาล อัล-กะซียฺ หน้า 373-374)

 

และในตำราของสะลีม อิบนุ กอยสฺ ก็ระบุว่า จำนวนของบรรดาอิมามมี 13 ท่าน จนกระทั่งนักวิชาการของฝ่ายอิมามียะฮฺกลุ่มหนึ่งได้วิจารณ์ความน่าเชื่อถือของตำราเล่มนี้ กระนั้นในตำราอุศูลลากฟียฺ ก็ระบุรายงานที่บรรดาอิมามนั้นมีจำนวน 13 ท่าน โดยอัล-กุลัยนียฺอ้างสายรายงานจากอิมามอบูญะอฺฟัรฺ (มุฮัมมัด อัล-บากิรฺ) ว่า : ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า “แท้จริงฉันและอิมาม 12 คน จากลูกหลานของฉันและท่าน โอ้ อะลี เอ๋ย คือหมุดตรึงโลกนี้…” (อุศูลกาฟียฺ ; อัล-กุลัยนียฺ 1/534)

 

ตัวบทนี้บ่งชี้ว่า บรรดาอิมามของชีอะฮฺอิมามียะฮฺโดยไม่นับท่านอะลี (ร.ฎ.) มีจำนวน 12 ท่าน และเมื่อนับท่านอะลี (ร.ฎ.) เข้าไปด้วยก็จะกลายเป็น 13 คน เพราะในตัวบทระบุว่า “อิมาม 12 คนจากลูกหลานของฉัน” ส่วนท่านอะลี (ร.ฎ.) นั้นไม่ใช่ลูกของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) หากแต่เป็นลูกพี่ของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และเป็นบุตรเขยของท่าน เหตุนี้ ชัยคฺ อัฏ-ฏูสียฺปราชญ์ของชีอะฮฺอิมามียะฮฺจึงแก้ไขและเปลี่ยนสำนวนของตัวบทนี้ว่า “แท้จริงฉันและอิมาม 11 คนจากลูกหลานของฉัน” ในตำราอัล-ฆอยบะฮฺ หน้า 92 

 

บรรดาตำราของฝ่ายชีอะฮฺอิมามียะฮฺยังได้ระบุรายงานจากอิมามอบูญะอฺฟัรฺ (อ.ล.) จากท่านญาบิรฺ (ร.ฎ.) ว่า “ฉัน (คือญาบิร) ได้เข้าไปหาท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.ล.) โดยเบื้องหน้าพระนางมีแผ่นกระดานที่ในแผ่นกระดานนั้นมีบรรดาชื่อของเหล่าวะศียฺจากลูกหลานของพระนาง แล้วฉันก็นับได้จำนวนได้ 12 คน คนสุดท้ายของพวกเขาคือ อัล-กออิม ส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือ 3 คนที่ชื่อมุฮัมมัด และอีก 3 คนจากพวกเขามีชื่อว่า อะลี” (ดู อุศูล อัล-กาฟียฺ 1/532 , อิกมาลุดดีน ; อิบนุ บาบะวัยฮฺ หน้า 264 , อัล-อิรฺชาด ; อัล-มุฟีด หน้า 393 , อัล-ฆอยบะฮฺ ; อัฏ-ฏุสียฺ หน้า 92)

 

โปรดสังเกตว่าตัวบทนี้ระบุว่า บรรดาวะศียฺมีจำนวน 12 คน ทั้งหมดเป็นลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮฺรออฺ (ร.ฎ.) แสดงว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากบรรดาอัล-วะศียฺ 12 คนนั้นเพราะท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นสามีของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (ร.ฎ.) ไม่ใช่ลูกของพระนาง หากรวมอิมามอะลี (ร.ฎ.) เข้าไปด้วยก็ย่อมกลายเป็นว่าจำนวนของบรรดาอิมามมะอฺศูมคือ 13 ท่าน และสำนวนในตัวบทที่นะบุว่า “และ 3 คนจากพวกเขา (อิมามสิบสอง) มีชื่อว่า อะลี” แสดงว่าพวกเขาไม่นับ ท่านอิมามอะลี (ร.ฎ.) เข้าไปในทำเนียบอิมาม 12 คน เพราะผู้ที่มีชื่อว่า อะลี จากอิมาม 12 คนนั้นคือ อิมามอะลี อะมีรุลมุอฺมินีน (ร.ฎ.ป , อิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน อิบนุ อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) อิมามอะลี อัร-ริฎอ (ร.ฎ.) และอิมามอะลี อัล-ฮาดียฺ (ร.ฎ.) ซึ่งรวมได้ 4 คน มิใช่ 3 คนอย่างที่ระบุในตัวบท

 

เหตุนี้อิบนุ บาบะวัยฮฺจึงแก้ไขตัวบทนี้ด้วยการตัดคำว่า “จากลูกหลานของพระนาง” เมื่อรายงานตัวบทนี้ แต่อิบนุ บาบะวัยฮฺก็ไม่ได้ฉุกคิดว่า การคงประโยคที่ว่า “3 คนจากพวกเขามีชื่อว่า อะลี” ก็ยังขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่า อิมาม 12 ท่านที่มีชื่อว่าอะลีนั้นมี 4 คน มิใช่ 3 คน (ดู อัล-คิศ็อล ; อิบนุ บาบะวัยฮิ หน้า 477-478) แต่ในตำราอีกเล่มหนึ่งของอิลนุ บาบะวัยฮฺก็ปรากฏการแก้ไขสำนวนทั้ง 2 ที่ในตัวบทนั้นให้ตรงกับความเชื่อของตนหรือไม่ก็มีผู้อื่นทำการแก้ไข (ดู อุยูนอัคบารฺ อัรฺ-ริฏอ ; อิบนุ บาบะวัยฮฺ 2/52) และเป็นเรื่องน่าแปลกที่นักปราชญ์ชีอะฮฺอิมามียะฮฺบางคนตัดสินว่าตำราสะลีม อิบนุ ก็อยสฺ เป็นตำราที่ถูกอุปโลกน์เพราะรายงานตัวบทที่ระบุว่าอิมามี 13 คน แต่กลับไม่วิจารณ์ตัวบที่ถูกรายงานในอัล-กาฟียฺ ซึ่งระบุว่ามีอิมาม 13 คนเช่นกัน 

 

และคำกล่าวที่ว่า บรรดาอิมามมะอฺศูมนั้นมีจำนวน 12 คน เป็นสิ่งที่ชีอะฮฺกลุ่มหนึ่งยึดถือและอัฏ-ฏูสียฺก็ตอบโต้ชีอะฮฺกลุ่มที่ว่านี้ในตำราอัล-ฆอยบะฮฺของเขา (หน้า 137) และอัน-นะญาซียฺก็ระบุว่า ชัยคฺ ฮิบะตุลลอฮฺ อะหฺมัด อิบนุ มุฮัมมัด ซึ่งเป็นชีอะฮฺซัยดียฺ กล่าวว่า อิมามนั้นมี 13 ท่าน โดยนับรวมอิมามชัยคฺ อิบนุ อะลี อิบนิ อัล-หุสัยนฺเข้าไปด้วย และอ้างหลักฐานจากหะดีษที่มีระบุในตำราของสะลีม อิบนุ กอยสฺ อัล-ฮิลาลียฺว่า “แท้จริงบรรดาอิมาม 12 ท่านนั้นมาจากลูกหลานของท่านอมีรุลมุอฺมินีน” (ดู ริญาล อัล-กะซียฺ ; อัน-นะญาซียฺ หน้า 343) 

 

สิ่งที่สรุปได้ก็คือ ชีอะฮฺแต่ละกลุ่มต่างก็กล่าวอ้างว่ากลุ่มของตนเป็นฝ่ายถูก และอ้างว่าตัวบทที่ระบุถึงอิมามของฝ่ายตนเป็นมุตะวาติรฺ และโจมตีหักล้างสิ่งที่ชีอะฮฺกลุ่มอื่นกล่าวอ้าง สิ่งนี้ย่อมเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งอยู่บนสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะถ้าหากตัวบทที่ระบุตัวจนและรายชื่อของอิมามแต่ละท่านที่ชีอะฮฺแต่ละกลุ่มยึดถือเป็นตัวบทแบบมุนะว่ติรฺจริงแล้วพวกเขาก็คงไม่แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ มากมายเพียงนั้น 

 

การลุกฮือของกลุ่มชีอะฮฺเพื่อต่อต้านการปกครองของราชวงศ์อัล-อุมะวียะฮฺซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งภายใต้การนำของบุคคลที่เป็นอะฮฺลุลบัยตฺตามที่ถูกระบุในตำราประวัติศาสตร์ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่บ่งชี้ว่า กลุ่มชีอะฮฺในช่วงเวลานั้นไม่รู้ว่ามีตัวบทของพระผู้เป็นเจ้ากำหนดถึงผู้ดำรงตำแหน่ง อิมามดังตัวอย่างดังต่อไปนี้ 

 

-อิมามชัยคฺ อิบนุ อะลี (ร.ฎ.) ได้นำการลุกฮือในนครอัล-กูฟะฮฺ ปี ฮ.ศ. 122 ต่อมากลุ่มชีอะฮฺก็เข้าร่วมกับยะหฺยา อิบนุ ชัยคฺ (ร.ฎ.) ซึ่งเป็นผู้นำในการลุกฮืออีกครั้งในปี ฮ.ศ. 125 

 

-ต่อมาปี ฮ.ศ. 128 ก็เกิดการลุกฮืออีกครั้งภายใต้การนำของอับดุลลอฮฺ อิบนุ มุอาวียะฮฺ อิบนิ อับดิลลาฮฺ อิบนิ ญะอฺฟัรฺ ซึ่งคำเรียกร้องของการลุกฮือทุกครั้งคือ “สู่อัร-ริฎอจากวงศ์วานของมุฮัมมัด” (ดู วูฎูอฺ อัน-นบียฺ ; สัยยิด อะลี อัช-ชะฮฺรุสตานียฺ เล่มที่ 1 หน้า 337) 

 

-ในสมัยราชวงศ์อัล-อับบาสียะฮฺ กลุ่มชีอะฮฺก็เข้าร่วมสนับสนุนอิมามมุฮัมมัด อิบนุ อับดิลลาฮฺ อิบนิ อัล-หะสัน อิบนิ อัล-หะสัน อันนัฟสฺ อัซ-ซะกียะฮฺซึ่งปรากฏขึ้นในนครมะดีนะฮิ ปี ฮ.ศ. 145 (ดู อัต-ตุหฺฟะฮฺ อัล-ละฏีฟะฮฺ ตารีค อัล-มะดีนะฮฺ อัช-ชะรีฟะฮฺ ; อัส-สะคอวียฺ หน้า 59) 

 

ดังนั้น หากมีการสั่งเสีย (อัล-วิศอยะฮฺ) ตำแหน่งการเป็นอิมามเอาไว้เฉพราะอิมาม 12 ท่านตามที่รับรู้กันแบบมุตะวาติรฺในหมู่ของชีอะฮฺ บรรดาบุคคลที่เป็นอะฮฺลุลบัยตฺก็ย่อมไม่ก่อการลุกฮือ และกลุ่มชีอะฮฺที่ไม่รู้แน่ชัดถึงตัวบทและคำสั่งเสียนั้นก็คงไม่เข้าร่วมสมทบกับบรรดาบุคคลดังกล่าวซึ่งทั้งหมดเป็นลูกหลานของอิมามอัล-หะสัน (ร.ฎ.) ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบรรดาอิมามสิบสองที่ถูกระบุไว้ตามตัวบทที่ถูกกล่าวอ้างนั้น

 

และฝ่ายชีอะฮฺด้วยกันเองก็ยังคงตั้งคำถามที่ว่าอะไรคือความเร้นลับในการจำกัดตำแหน่งผู้สืบทอดอิมามเอาไว้เฉพาะลูกหลานของอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ทั้งๆ ที่อิมามอัล-หะสัน (ร.ฎ.) ก็มีลูกหลาน และพวกเขาก็เป็นผู้นำกลุ่มชีอะฮฺขึ้นต่อสู้กับผู้ปกครองจริงๆ หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ในขณะที่บรรดาอิมามที่เป็นลูกหลานของอิมาม อัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) ไม่ได้นำกลุ่มชีอะฮฺลุกขึ้นต่อสู้กับฝ่ายปกครองแต่อย่างใด?

 

และอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัล-หะสัน อิบนิ อัล-หะสัน (ร.ฎ.) ก็ไม่ยอมรับการจำกัดความเป็นอิมามเอาไว้เฉพาะลูกหลานของ อิมามอัล-หุสัยนฺ (ร.ฎ.) โดยกล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยว่า “อย่างไรเล่า! ที่ตำแหน่งอิมามะฮฺกลายเป็นของลูกหลานอัล-หะสัยนฺโดยที่ลูกหลานของอัล-หะสันไม่มีสิทธิทั้งๆ ที่อิมามทั้งสองต่างก็เป็นนายของคนหนุ่มในสวรรค์ด้วยกันทั้งคู่! บุคคลทั้งสองมีความประเสริฐเท่ากัน เว้นเสียแต่ว่าสำหรับอัล-หะสันนั้นมีความประเสริฐเหนือกว่าอัล-หุสัยนฺด้วยความเป็นบุตรชายคนโต ดังนั้น ย่อมเป็นความจำเป็นที่ตำแหน่งอิมามจะต้องอยู่ในบุคคลที่ประเสริฐกว่า (อิลัล อัช-ชะรีอะฮฺ ; อัศ-เศาะดู๊ก หน้า 209)