การพิชิตอัลอันดะลุส (เอนดาลูเซีย)
หลังจากที่มูซา อิบนุ นุซัยฺร์และพรรคพวกของตนได้สร้างความมั่นคงแก่ศาสนาอิสลามในเขตแอฟริกาเหนือแล้ว เขาก็เริ่มสนใจดินแดนเบื้องหลังทะเลคอคอด (ช่องแคบญิบรอลต้า) และส่งสาส์นถึงค่อลีฟะฮฺอัลวะลีด อิบนุ อับดิลมะลิก ณ นครดามัสกัสเพื่อขออนุญาตในการจู่โจมฝั่งอัลอันดะลุส ค่อลีฟะฮฺอัลวะลีดจึงมีสาส์นตอบมายังมูซาว่าให้ส่งกองทหารลาดตระเวนเข้าไปสืบดูความเป็นไปได้เสียก่อน และไม่ควรที่จะนำพาชาวมุสลิมเข้าสู่ท้องทะเลที่น่าสะพรึงกลัวเพราะมุสลิมในเวลานั้นยังไม่ใช่ผู้ชำนาญในการศึกทางทะเล แต่เป็นวีรบุรุษแห่งท้องทะเลทราย ดังนั้นค่อลีฟะฮฺจึงยังไม่อนุญาตเพื่อการดังกล่าว แต่มูซา อิบนุ นุซัยฺร์ก็สามารถทำให้ค่อลีฟะฮฺเห็นด้วยว่า ท้องทะเลบริเวณคอคอดมิใช่ท้องทะเลที่หฤโหดแต่อย่างใด แต่ก็จะส่งกองลาดตระเวนเข้าไปดูสถานการณ์ของฝั่งอัลอันดะลุสเสียก่อน
หลังจากค่อลีฟะฮฺได้วางพระทัยแล้ว ท่านมูซาจึงส่งกองลาดตระเวนที่นำโดยฏ่อรีฟ อิบนุ มาลิกพร้อมด้วยกำลังพล 400 นายลงเรือ 4 ลำในเดือนร่อมาฎอน ปีฮ.ศ.91 และยกพลขึ้นบกที่เกาะแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเกาะอัลคอฏรออฺ (Algeciras) ในภายหลังเกาะดังกล่าวถูกเรียกขานด้วยชื่อของฏ่อรีฟ (Tirifa) ซึ่งเป็นมุสลิมคนแรกจากแอฟริกาเหนือที่เหยียบเท้าของเขาลงบนผืนแผ่นดินอัลอันดะลุส
อนึ่งเกาะดังกล่าวเคยถูกเรียกว่า “Isla de las palomas” จากจุดยุทธศาสตร์นี้ฎ่อรีฟได้นำทัพจู่โจมเขตชายฝั่งทางตอนใต้ของอัลอันดะลุส ซึ่งเป็นเขตตรงกันข้ามกับเมืองคิวต้า (ซิบตะฮฺ) กำลังพลของฏ่อรีฟกลับมาฝั่งแอฟริกาอย่างปลอดภัยพร้อมกับทรัพย์สงครามเป็นอันมาก ก่อนหน้านั้นจูเลียนผู้ปกครองเมืองคูต้าได้ทำการติดต่อกับมูซา อิบนุ นุซัยฺร์โดยยื่นข้อเสนอว่าจะยอมส่งมอบเมืองคิวต้าและเปิดทางให้มูซาทำการพิชิตอัลอันดะลุสตามความต้องการ
เมื่อท่านมูซาสอบถามถึงสิ่งที่จูเลียนต้องการเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เจ้าชายอาชิล่าก็ตอบว่า “เรามิได้ปรารถนาอำนาจในการเป็นกษัตริย์ สิ่งที่เราปรารถนาหากท่านทำการสำเร็จก็คือการที่ท่านนำเอาที่ดินเพาะปลูกของกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของเราซึ่งมีนับพันแห่งทั่วแคว้นอัลอันดะลุสมอบคืนแก่เรา” ท่านมูซาจึงเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่เล็กน้อยจึงสัญญาว่าจะมอบที่ดินเพาะปลูกนั้นคืนแก่เจ้าชาย ส่วนตัวมูซาก็จะได้รับเกียรติแห่งการพิชิตอัลอันดะลุสและยังได้รับเมืองคิวต้าซึ่งเป็นเมืองแห่งเดียวที่ยังไม่สามารถพิชิตได้เป็นข้อแลกเปลี่ยนอีกด้วย
ในปีฮ.ศ.92/คศ.711 มูซา อิบนุ นุซัยฺร์ได้จัดเตรียมกองทัพซึ่งมีกำลังพลจำนวน 7,000 คนประกอบด้วยชนเผ่าเบอร์เบอร์เกือบทั้งหมด มีชาวอาหรับเพียง 300 คนเท่านั้นที่เข้าร่วมในกองทัพ โดยแต่งตั้งให้ตอริก อิบนุ ซิยาดฺ เป็นแม่ทัพใหญ่ และมีอับดุลมาลิก อิบนุ อบีอามิร อัลมุอาฟีรีย์, มุฆีซ อัรรูมีย์ และอัลกอมะฮฺ อัลลัคมีย์ เป็นนายกอง กองทัพของตอริกได้เคลื่อนกำลังพลสู่ท้องทะเลจากท่าเรือเมืองตอนญะฮฺ ในเดือนรอญับ ปีฮ.ศ.92 (เมษายน คศ.711) โดยใช้เรือรบจำนวน 4 ลำที่จูเลียนเป็นผู้จัดหาให้ นอกจากนี้มูซายังได้อาศัยกองเรือที่ถูกต่อขึ้นในเมืองตูนิเซียเพื่อใช้ลำเลียงกำลังพลและม้าศึกระหว่างสองฝั่งของทะเลคอคอดสู่ค่ายทหารซึ่งเป็นจุดรวมพลบริเวณภูเขาที่มีชื่อว่ากัลป์บีย์ (Calpe) ในภายหลังภูเขาลูกนี้ถูกเรียกขานว่า ภูเขาของตอริกหรือภูผาแห่งการพิชิต
การยกพลขึ้นบก ณ ฝั่งอัลอันดะลุสของกองทัพอิสลามในเวลานั้นมีความเหมาะสมยิ่งนัก เพราะลาซริก (Rodrigo) กำลังติดพันอยู่กับการปราบปรามพวกกบฏ อัลบัชกันฺซ์ (Vascones) ในเขตบันบะลูนะฮฺ ประกอบกับเวลานั้นพลเมืองอัลอันดะลุสกำลังตกอยู่ในภาวะโกรธแค้นต่อการปกครองของลาซริกที่อยุติธรรม ทันทีที่ยกกำลังพลขึ้นบก แม่ทัพตอริกก็บัญชาการให้ทหารสร้างค่ายและท่าเรือเพื่อใช้ติดต่อกับเมืองคิวต้า (ซิบตะฮฺ) และยังสั่งให้ก่อกำแพงขึ้นรอบภูเขาตอริกเรียกกันว่า “กำแพงของชาวอาหรับ” (อิบนุ อุซารีย์ เล่มที่ 2 หน้า 13, อัลมุกรีย์ เล่ม 1 หน้า 218)
ต่อมาแม่ทัพตอริกได้ส่งอับดุลมะลิก อิบนุ อบีอามิรฺพร้อมด้วยกองทหารจำนวนหนึ่งออกเดินทางไปตามเส้นขนานกับชายฝั่งตอนเหนือ และสามารถยึดครองป้อมปราการแห่งหนึ่งที่รู้จักกันว่า กุรฎอญินะฮฺ อัลญะซีเราะฮฺ (Carteya) ได้สำเร็จ แล้วแม่ทัพตอริกก็สั่งให้เคลื่อนกำลังพลสู่ทิศตะวันตก และสามารถยึดครองเขตรายล้อมเมืองกุรฎอญินะฮฺ และตั้งค่ายทหารขึ้นบริเวณฝั่งตรงกันข้ามกับ ”อัลญะซีเราะฮฺ อัลคอฏรออฺ” (Algeciras) โดยมอบหมายให้จูเลียนกับกำลังทหารของตนทำหน้าที่ดูแลค่ายทหารนี้และคอยป้องกันหากพวกวิสิโกธยกพลมาโจมตี
ข่าวการยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งตอนใต้ของอัลอันดะลุสล่วงรู้ถึงหูลาซริกแบบสายฟ้าแลบ ลาซริกกังวลใจต่อเรื่องดังกล่าว จึงนำทัพกลับสู่นครโทเลโด (ฏุลัยฏิละฮฺ) และจากนครโทเลโดลาซริกเคลื่อนกำลังพลจำนวน 40,000 – 100,000 คนตามรายงานที่แตกต่างกันเพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของชาวมุสลิม เมื่อแม่ทัพตอริกรู้ข่าวการเคลื่อนกำลังพลของลาซริกจึงมีสาส์นถึงท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์เพื่อขอกำลังเสริมโดยแจ้งให้ทราบว่าสามารถพิชิตอัลญะซีเราะฮฺ อัลคอฎรออฺ (Algeciras) และยึดครองเส้นทางผ่านสู่อัลอันดะลุสแล้ว ตลอดจนยังสามารถยึดครองบางเขตจนถึงอัลบุฮัยเราะฮฺ (Albufera) อีกด้วย
ท่านมูซาจึงได้ส่งทัพเสริมจำนวน 5,000 นายข้ามฝั่งไปสมทบกับกองกำลังของท่านตอริก ณ อัลอันดะลุส รวมแล้วมีจำนวนกำลังพลมุสลิมทั้งหมด 12,000 นาย พร้อมกันนี้ยังมีจูเลียนและทหารของตนค่อยชี้จุดอ่อนและสืบข่าวให้แก่ฝ่ายมุสลิม
กองทัพของลาซริก มุ่งหน้ามาจนถึงเขตวาดี ลักกะฮฺ (Lago) และตั้งค่ายทหารอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองตอรีฟ กองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายได้เผชิญหน้ากันในวันอาทิตย์ที่ 28 ร่อมาฎอน ฮ.ศ.92/19 ก.ค. คศ.711 คือ 83 วันให้หลังนับจากการยกพลขึ้นบกของกองทัพมุสลิมที่ภูเขาตอริก (ญิบรอลต้า) ณ สถานที่ซึ่งเรียกว่า วาดี บัรฺบ๊าฏ หรือ วาดี ลักกะฮฺ (Guadalete,Rio) ใกล้กับเมืองชะซูนะฮฺ สงครามยืดเยื้ออยู่หลายวัน และยุติลงด้วยความปราชัยของลาซริกอย่างราบคาบ ฝ่ายลาซริกหลบหนีไปได้ บางรายงานระบุว่าลาซริก จมน้ำตายในสมรภูมิดังกล่าว
สมรภูมิวาดี ลักกะฮฺ หรือ วาดี บัรบาฏ นี้ได้สร้างความสูญเสียแก่กองกำลังทหารส่วนใหญ่ของพวกวิสิโกธ ฝ่ายมุสลิมพลีชีพไปราว 3,000 คน กระนั้นแม่ทัพตอริก อิบนุ ซิยาดก็ไม่ต้องการเสียเวลาจึงรุกคืบหน้าอย่างรวดเร็วและไล่ติดตามกำลังทหารของพวกวิสิโกธที่แตกพ่าย ตอริกนำทัพเข้าพิชิตเมืองชะซูนะฮฺและเคลื่อนทัพผ่านเมืองมูรูรฺ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับนครโคโดบาฮฺ นครหลวงของอัลอันดะลุส หลังจากนั้นก็ผ่านกอรมูนะฮฺ (Carmona)
และเข้ายึดครองเมืองลักเกาะฮฺ และอัลบีเราะฮฺ (Elvira) หลังจากปิดล้อมอยู่นาน การพิชิตดินแดนของหัวเมืองทั้งหมดเสร็จสิ้นในเดือนเชาว๊าล ฮ.ศ.92 ตอริก อิบนุ ซิยาดได้นำทัพสู่เมืองอิชบีลียะฮฺ (Sevilla) ซึ่งเป็นเมืองเอกทางตอนใต้ เมื่อชาวเมืองเห็นว่าพวกตนไม่สามารถต้านทานกองทัพของมุสลิมได้จึงได้ร้องขอให้ทำสนธิสัญญาประนีประนอมในการยอมจ่ายญิซยะฮฺให้กับฝ่ายมุสลิม
พวกทหารวิสิโกธได้รวมตัวกันอยู่ ณ ป้อมปราการอิสตะญะฮฺ แต่ตอริก อิบนุ ซิยาดสามารถจับกุมแม่ทัพของป้อมปราการแห่งนี้เป็นเชลยได้จึงยอมทำสนธิสัญญาประนีประนอมกับฝ่ายมุสลิม หลังจากนั้นตอริกก็พากำลังทหารขึ้นสู่ตอนเหนือและพิชิตเมืองญิยาน (Jaen) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของนครโทเลโด (ฏุลัยฏิละฮฺ)
นครโทเลโด (Toledo) หรือ ฏุลัยฏิละฮฺ เป็นศูนย์กลางการปกครองอัลอันดะลุสของราชสำนักวิสิโกธ กองทัพของตอริก อิบนุ ซิยาดได้ไล่ติดตามกองทัพของพวกวิสิโกธที่แตกพ่ายจนถึงนครโทเลโดและพิชิตนครแห่งนี้ได้ในปีฮ.ศ.ที่ 93 ได้โดยง่าย และเมื่อยาตราทัพเข้าสู่ตัวเมืองก็พบว่าว่างเปล่าจากผู้คน เซนดรัด สังฆนายกของสเปนได้หลบหนีสู่กรุงโรมตลอดจนพลเมืองต่างก็หลบหนีออกจากนครแห่งนี้ก่อนที่จะตกเป็นของฝ่ายมุสลิม
เมื่อข่าวการพิชิตอัลอันดะลุสทราบถึงท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์ ซึ่งรอฟังข่าวด้วยความจดจ่อ ประกอบกับแม่ทัพตอริก อิบนุ ซิยาดได้ร้องขอให้ท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์ยกทัพข้ามมาพิชิตอัลอันดะลุสร่วมกัน ท่านมูซาจึงนำทัพจำนวน 18,000 คนข้ามฝั่งมายังอัลญะซีเราะฮฺ อัลคอฎรออฺ (Algeciras) ในปีฮ.ศ.ที่ 93 โดยเดินทัพคนละเส้นทางกับเส้นทางการเดินทางของแม่ทัพตอริก อิบนุ ซิยาด และสามารถพิชิตหัวเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอัลอันดะลุส เช่น ชะซูนะฮฺ กอรมูนะฮฺ, ป้อมรออฺว๊าก, นครอิชบีลียะฮฺ, ลับละฮฺ, อักชูนบะฮฺ, บาญะฮฺ และมาริดะฮฺ (Merida) ซึ่งไพร่พลของลาซริกได้ตั้งรับอยู่ในช่องเขาซีร่า เดอ ฟรันเธีย และคอยหาโอกาสโจมตีกองทัพของชาวมุสลิม
ท่านมูซารับรู้ถึงแผนการของพวกศัตรูในระหว่างเส้นทางสู่นครโทเลโด ดังนั้นท่านมูซาจึงส่งคนไปแจ้งท่านตอริกและกำลังพลในระหว่างเส้นทางของเมืองมาริดะฮฺและโทเลโดให้มารวมพล ณ เขตไตเตอร์ (Teitar) เมื่อแม่ทัพตอริกได้พบท่านมูซาแล้วก็ถูกตำหนิในเรื่องการไม่เชื่อฟังคำสั่ง ท่านตอริกก็ประนีประนอมกับท่านมูซา ท่านมูซาจึงให้ท่านตอริกเป็นแม่ทัพหน้า และท่านมูซาจะเป็นทัพหลังทั้งสองได้นำกองทัพผ่านไปในเส้นทางของถนนที่โรมันสร้างไว้นับจากเมืองมาริดะฮฺถึงเมืองชะละมังเกาะฮฺ ทัพของท่านมูซาได้เคลื่อนพลเข้าไปในเส้นทางที่ไพร่พลของลาซริกคอยดักซุ่มโจมตี
การรบพุ่งระหว่าง 2 ฝ่ายเกิดขึ้น ณ บริเวณแม่น้ำบัรบาลอส (Barbalos) ซึ่งในการศึกครั้งนี้ ลาซริกถูกสังหารโดยมัรวาน บุตรของท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์มุสลิมได้สร้างความปราชัยแก่พวกวิสิโกธอย่างย่อยยับในสมรภูมิครั้งนี้ในปีฮ.ศ.ที่ 94 หลังจากนั้นแม่ทัพทั้ง 2 คือมูซาและตอริกก็ได้ยาตราทัพเข้าสู่นครโทเลโดอีกครั้ง มีการส่งคนไปแจ้งข่าวชัยชนะของกองทัพมุสลิมให้ค่อลีฟะฮฺ อัลวะลีด อิบนุ อับดุลมะลิก ณ กรุงดามัสกัส รับทราบ
กองทัพของชาวมุสลิมใช้เวลาตลอดในช่วงฤดูหนาวในนครโทเลโด ครั้นเมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลง แม่ทัพทั้ง 2 ได้ร่วมกันพิชิตเขตตอนเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย ในระหว่างที่มูซากำลังเตรียมกองทัพเพื่อโจมตีเขตญะลีกียะฮฺ (Galicia) อยู่นั้น มุฆีซฺ อัรรูมีย์ ทูตจากค่อลีฟะฮฺ อัลวะลีด อิบนุ อับดิลมะลิกได้มาแจ้งข่าวให้ท่านมูซาออกจากอัลอันดะลุส และยุติการแผ่ขยายดินแดน แต่ท่านมูซาร้องขอให้ยืดระยะเวลาออกไปจนกว่าจะสามารถพิชิตคาบสมุทรไอบีเรียได้ทั้งหมดเสียก่อน และแบ่งกำลังพลออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งท่านมูซานำทัพเองโดยเคลื่อนทัพ ตามเส้นทางจากเมืองซะระกุสเฏาะฮฺ (Zaragoza) กอลูนียะฮฺ และบะลันซียะฮฺ (Valencia)
อีกทัพหนึ่งนำโดยตอริก อิบนุ ซิยาด เคลื่อนพลไปตามลำน้ำอิบเราะฮฺ (Ebro) จนถึงเมืองฮารู และจากฮารู เคลื่อนทัพสู่บัรฟีซกา, อามายะฮฺ, ลีอองและอัสตะริกเกาะฮฺ กองทัพของท่านมูซาสามารถพิชิตแคว้นญะลีกียะฮฺ (Galicia) ได้สำเร็จ ในระหว่างนั้นเอง อบูนัซรฺ ทูตของค่อลีฟะฮฺ อัลวะลีดก็เข้าพบท่านมูซาอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายกองทัพของตอริกก็สามารถพิชิตเมืองอามายะฮฺและอัสตะริกเกาะฮฺได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามท่านมูซาก็ได้เดินทางสู่นครดามัสกัสตามบัญชาของค่อลีฟะฮฺ โดยตั้งให้อับดุลอะซีซบุตรชายของตนปกครองเมืองอิชบีลียะฮฺ (ซีวิล) ซึ่งถูกเลือกเป็นราชธานีของแคว้นอัลอันดะลุสและตั้งให้อับดุลลอฮฺ บุตรชายคนโตปกครองแคว้นแอฟริกา
ท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์ได้เดินทางถึงนครดามัสกัสในตอนต้นเดือนญุมาดา อัลอูลา ปีฮ.ศ.96/คศ.715 ซึ่งขณะนั้นค่อลีฟะฮฺ อัลวะลีด อิบนุ อับดิลมะลิกกำลังประชวร และสิ้นพระชนม์หลังจากท่านมูซา เข้าสู่นครดามัสกัสได้ 40 วัน ในภายหลังสุลัยมาน อิบนุ อับดุลมะลิกก็ได้รับสัตยาบันขึ้นเป็นค่อลีฟะฮฺในลำดับถัดมาของราชวงศ์อัลอุมาวียะฮฺ ต่อมาค่อลีฟะฮฺสุลัยมานมีความประสงค์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์จึงได้ชวนให้มูซาร่วมเดินทางไปด้วย
ท่านมูซา อิบนุ นุซัยฺร์เคยวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้ตนได้รับชะฮีดในการสู้รบหรือสิ้นชีวิตลงในนครม่าดีนะฮฺ ซึ่งคำวิงวอนขอของท่านมูซาก็ถูกตอบรับ ท่านเสียชีวิตในนครม่าดีนะฮฺ ในปีฮ.ศ.97 ขณะมีอายุได้ 78 ปี (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ)
การพิชิตอัลอันดะลุสทั้งหมดสิ้นสุดลงภายในระยะเวลา 3 ปีคงเหลือเพียงเขตภูเขาบลายหรือบลาโอ ซึ่งถูกเรียกขานตามชื่อของแม่ทัพคริสเตียนที่มีกำลังพลของพวกวิสิโกธอยู่เพียง 30 คนเนื่องจากเป็นเขตภูเขาสูงและทุรกันดารยากต่อการเคลื่อนทัพเข้าโจมตี ในภายหลังเขตภูเขา บลาโอได้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังพลของนักรบคริสเตียนที่มักจะโจมตีชาวมุสลิมในอัลอันดะ ลุสอยู่เนืองๆ
มูซา อิบนุ นุซัยฺร์
ฮ.ศ.19 |
ถือกำเนิดในแคว้นชามเป็นชนรุ่นตาบิอีน มุอาวียะฮฺมอบหมายให้ทำยุทธนาวี ให้สัตยาบันแก่อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัซซุบัยฺร์ หลังจากมุอาวียะฮฺสิ้นชีวิต กลายเป็นเสนาบดีของอับดุลอะซีซ อิบนุ มัรวานเจ้าเมืองอียิปต์ |
ฮ.ศ.86 | ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองมณฑลแอฟริกา |
ฮ.ศ.92 |
เตรียมแผนการเพื่อพิชิตอัลอันดะลุส |
ฮ.ศ.92 |
ส่งกองทัพแรกภายใต้การนำของตอริก อิบนุ ซิยาด เพื่อพิชิตตอนใต้ของอัลอันดะลุส |
ฮ.ศ.93 | ปราบปรามตอนใต้ของอัลอันดะลุสและพิชิตหัวเมืองอื่น |
ฮ.ศ.95 | มูซาและตอริก อิบนุ ซิยาดกลับสู่นครดามัสกัส |
ฮ.ศ.96 | ค่อลีฟะฮฺ สุลัยมาน อิบนุ อับดิลมะลิก |
ฮ.ศ.97 | มูซา อิบนุ นุซัยฺร์แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่สิ้นชีวิต |