ประวัติศาสตร์ปัตตานีดารุสสลาม

        คำว่า “ปัตตานี ดารุสสลาม” (فطانى د ارالسلام) ซึ่งมีความหมายว่า “ปัตตานี นครรัฐแห่งสันติภาพ” ได้ถูกเรียกขานภายหลังการเข้ารับอิสลามของสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ ซิลลุลลอฮฺ ฟิลอาลัม (เดิมคือ พญา ตู นักปา อินทิรา มหาวังสา) ในราวปีค.ศ.1457 (Cheman 1990 p.34) โดยมีชีค ซาอีด ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาอิสลามเข้าสู่ราชสำนักของปัตตานีเป็นผู้ตั้งชื่อ (อารีฟีน บินจิและคณะ ; “ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู” (2550) หน้า 63) ในชั้นหลังมีการเรียกดินแดนปัตตานีว่า “ปัตตานี ดารุ้ลมะอาริฟ” หมายถึง “ปัตตานี นครรัฐ แห่งสรรพวิทยา” อีกเช่นกัน 

 

        ประวัติศาสตร์ “ปัตตานี ดารุสสลาม” ถือเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นการเฉพาะและถือเป็นส่วนหนึ่งจากประวัติศาสตร์ของชาติสำหรับพลเมือง ของประเทศโดยรวม ในช่วงหลัง ๆ มานี้มีการรวบรวมและวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของปัตตานี ดารุสสลาม กันอย่างคึกคักโดยเฉพาะในแวดวงนักวิชาการผู้สันทัดกรณีและผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

 

        ในบทความนี้จะมุ่งวิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตต่อข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ปัตตานีดารุสสลามในเชิงรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์อิสลามเป็นหลัก เนื่องจากมีการนำเอาเหตุการณ์ในอดีตซึ่งโดยมากจะเกี่ยวพันกับสงครามประเพณีระหว่างสยาม-ปัตตานีมาอ้างเพื่อปลุกระดมผู้คนในท้องที่ให้เกิดความรู้สึกร่วมในการฟื้นฟูปัตตานีดารุสสลามในฐานะรัฐเอกราชที่เคยรุ่งเรืองและเป็นเกียรติภูมิสำหรับชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูและตอกย้ำความทารุณโหดร้ายที่ชาวมุสลิมมลายูได้รับจากสยามในฐานะผู้รุกรานและผู้ทำลายนครรัฐที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรมลายู มัสยิดปินตูกืรบัง (กรือแซะ) พระราชวังอิสตานะฮฺนีลัม และบ้านเรือนของราษฎรถูกเผาทำลาย ลูกหลานสุลต่าน วงศานุวงศ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และประชาชนหลายพันคนถูกกวาดต้อนเป็นเชลย (อ้างแล้ว หน้า 150)

 

        สงครามและความพ่ายแพ้ที่ชาวมลายูปัตตานีประสบได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวด เคียดแค้นและชิงชังสยามตราบจนทุกวันนี้ การปลุกความรู้สึก (สมางัต) โดยอ้างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และความเจ็บปวดที่บรรพบุรุษของชาวมลายูปัตตานีได้รับจึงสอดรับกับคติ ชาติพันธุ์นิยมอย่างลงตัวและมีผลทำให้ความคิด ความเชื่อ และความเข้าใจของผู้ที่ถูกปลุกระดมมีความซับซ้อนและฝังลึกมากยิ่งขึ้น ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงมิใช่สิ่งที่ผู้คนรับรู้กันโดยผิวเผิน หากแต่เป็นมายาคติที่ถูกตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาและเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น ทั้งในรูปของมุขปาฐะที่สืบสานจากรุ่นสู่รุ่นและการเขียนตำรับตำราอิงประวัติศาสตร์ตลอดจนการถ่ายทอดผ่านการบรรยาย อภิปราย หรือแม้กระทั่งการสัมมนาในหลาย ๆ โอกาส อย่างไรก็ตาม เรื่องราวข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นย่อมเป็นข้อมูลดิบที่ผู้คนในยุคหลังสามารถวิเคราะห์และสืบค้นเพื่อเพิ่มเติมมิติและแง่มุมต่าง ๆ ที่อาจจะถูกละเอาไว้ได้เสมอ

 

ปัตตานีเป็นรัฐอิสลาม

        ก่อนหน้าที่ศาสนาอิสลามจะเผยแผ่เข้ามายังปัตตานีนั้นพลเมืองและราชสำนักของปัตตานีถือในศาสนาฮินดู-พราหมณ์และศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตารีคปาตานี น.4-5) โดยมีชาวอินเดียเป็นผู้นำเข้ามาเผยแผ่ ต่อมาภายหลังเมื่อศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้ามายังปัตตานี พลเมืองมลายูจึงเข้ารับอิสลามทำให้ในดินแดนปัตตานีมีทั้งมลายูมุสลิม และมลายูพุทธ ศาสนาอิสลามเป็นที่ยอมรับของชาวมลายู มาก่อนหน้าการเข้ารับอิสลามของราชสำนักปัตตานีเป็น เวลาหลายร้อยปี ครั้นถึงราวปีค.ศ.1457 พญาตู นักปา อินทิรา มหาวังสาและเหล่าบรรดาอำมาตย์มนตรี แม่ทัพนายกอง รวมถึงพระโอรสและพระธิดาก็เข้ารับอิสลามอย่างเป็นทางการด้วยการเชิญชวนของชัยค์ ซาอีด ปัตตานีจึงกลายเป็นรัฐอิสลามนับแต่บัดนั้น โดยถูกเรียกขานว่า “ปาตานี ดารุสสลาม” มีการรับรูปแบบการปกครองของอิสลามมาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยถือเอาคัมภีร์อัลกุรอ่าน เป็นธรรมนูญการปกครอง และอัลฮะดีษ เป็นแนวปฏิบัติในวิถีชีวิต มีผู้รู้ในศาสนาอิสลามเป็นที่ปรึกษาทางศาสนาและกฎหมายชะรีอะฮฺ ในส่วนของชัยค์ ซาอีดนั้นนักวิชาการบางท่านเรียกตำแหน่งของท่านว่า “ชัยคุลอิสลาม” ทำหน้าที่ตีความ (FATWA) ปัญหาทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรปาตานีอีกด้วย (ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู ; อารีฟีน บินจิและคณะ หน้า 63,64,66)
 
 
        การที่ปัตตานีเปลี่ยนสภาพจากรัฐพราหมณ์-พุทธมาเป็นรัฐอิสลามนี้คงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการเปลี่ยนสภาพของรัฐมลายูอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ อาทิเช่น รัฐมลายูในอาเจะห์, สุมาตรา, ชวา, กลันตัน, ตรังกานู, มะละกาและปาหัง เป็นต้น ทั้งนี้รัฐมลายูเหล่านี้ได้เปลี่ยนสภาพจากรัฐพราหมณ์ – พุทธมาเป็นรัฐอิสลามด้วยลักษณะและวิธีการคล้าย ๆ กัน หากรัฐปัตตานีเป็นรัฐอิสลามด้วยการเผยแผ่ของผู้รู้ทางศาสนาอิสลามและการยอมรับของพลเมืองมลายูและราชสำนัก รัฐมลายูอื่นๆ ก็เช่นกัน  แต่ทว่าทั้งหมดได้เปลี่ยนสภาพเป็นรัฐอิสลาม บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเลยหรือไม่?
 
 
        กล่าวคือ เป็นรัฐอิสลามทั้งภาพลักษณ์ภายนอก โครงสร้างระบอบ การปกครอง และจิตวิญญาณ หรือเป็นรัฐของชาวมลายูมุสลิมที่ยังคงมีอิทธิพลของวัฒนธรรมและความเชื่อแบบมลายูโบราณฝังรากหยิ่งลึกอยู่ซึ่งบางทีวัฒนธรรมและความเชื่อดังกล่าวอาจจะเป็นผลพวงจากการรับเอาคติความเชื่อฝ่ายพราหมณ์-พุทธที่มีอิทธิพลเข้มข้นมาก่อนในภูมิภาคนี้ ทั้งในส่วนของนุสันตารา (อินโดนีเซีย) และคาบสมุทรมลายู ถึงแม้ว่าศาสนาอิสลามได้เข้าไปแทนที่ศาสนาพุทธในราชสำนักแล้ว และมีผลทำให้โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของปัตตานีโดยภาพรวม ๆ ค่อย ๆ กลายสภาพจากความเป็นสังคมมลายูที่แฝงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมผสมชวาและฮินดู-พุทธ มาเป็นสังคมมลายูที่ยึดเกาะกับวัฒนธรรมอิสลามมากขึ้นก็ตาม (รัฐปัตตานีในศรีวิชัย ; สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ, สำนักพิมพ์มติชน (2547) หน้า 243)
 
 
        และในรัชสมัยของสุลต่านอิสมาอีล ชาห์ซึ่งศาสนาอิสลามได้เจริญรุ่งเรืองและแผ่กระจายไปทั่วราชอาณาจักรของพระองค์และอาณาจักรอื่น ๆ ในแหลมมลายู ชัยค์ ซาอีดซึ่งเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้าสู่ราชสำนักและเรียกขานดินแดนนี้ว่า ปัตตานี ดารุสสลาม ก็ยังคงพักอาศัยอยู่ใน “เบียรอ” (วิหาร) เพราะขณะนั้นคนที่นับถือศาสนาอิสลามยังมีไม่มากนัก คนทั่วไปยังคง นับถือศาสนาฮินดู-พุทธและยังไม่มีการสร้างมัสยิดขึ้นแต่อย่างใด (ดูรายละเอียดใน “ปาตานีประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู” อ้างแล้ว หน้า 66,73) การสร้างมัสยิดแห่งแรกเกิดขึ้นในรัชสมัย สุลต่านมุศ็อฟฟัร ชาห์ ตามคำแนะนำของเชค ซอฟียุดดีน ซึ่งระบุว่า : “รัฐอิสลามนั้น ต้องมีมัสยิดสักแห่งหนึ่ง เพื่อให้ราษฎรใช้เป็นสถานที่สักการะพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮฺตะอาลา หากไม่มีมัสยิดก็จะไม่เห็นความเป็นรัฐอิสลาม” (อ้างแล้ว หน้า 73, และ A.Teeuw & D.K.Wyat p.78)
 
 
        การเป็นรัฐอิสลามของปัตตานี ดารุสสลามจึงมิได้เกิดขึ้นแบบเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์นับแต่การเข้ารับอิสลามของปฐมกษัตริย์ แห่งศรีมหาวังสา (ซุลต่าน อิสมาอีล ชาฮฺ) อย่างที่เข้าใจ แต่ค่อย ๆ มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นรัฐอิสลามอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรื่องราวของพ่อค้าชาวเมือง มินังกาเบาจากเกาะสุมาตรา คือ ชีค ก็อมบ็อก กับลูกศิษย์ที่ชื่อ อับดุลมุบีน ลักลอบขายทองเหลืองให้กับพ่อค้าชาวมะละกา จนเป็นเหตุให้ถูกประหารชีวิต เนื่องจากกระทำผิดต่อคำประกาศของสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ และถูกนำศพไปทิ้งในแม่น้ำยะหริ่ง โดยห้ามมิให้ฝังศพบุคคลทั้งสองบนแผ่นดินปัตตานี (อ้างแล้ว หน้า 70/รัฐปัตตานีในศรีวิชัย หน้า 340)
 
 
        ก็ถือเป็น สิ่งที่ก่อให้เกิดความน่ากังขาว่า ปัตตานีดารุสสลาม เมื่อแรกเป็นรัฐอิสลามนั้น ถือรูปแบบการปกครอง ของอิสลามมาใช้ในการปกครองบ้านเมืองและตัดสินคดีความตามกฎหมายชะรีอะฮฺจริงจังหรือไม่? เพราะบุคคลทั้งสองที่ถูกประหารชีวิตนั้นถึงแม้จะกระทำผิดต่อคำประกาศของสุลต่าน แต่ก็เป็นมุสลิม เมื่อถูกประหารชีวิตแล้วก็น่าจะจัดการศพของบุคคลทั้งสองตามกฎหมายชะรีอะฮฺและที่สำคัญในเวลานั้น ชัยค์ ชะอีด ซึ่งมีตำแหน่ง “ชัยคุลอิสลาม” ตามที่มีนักวิชาการบางท่านระบุ (พีรยศ ราฮีมมูลา “อิสลามศาสนาแห่งสันติภาพ” บรรยายที่ มอ.ปัตตานี 16 สิงหาคม 2546) ก็ยังคงมีชีวิตอยู่และมีตำแหน่งรับผิดชอบในการตีความ ฟัตวาปัญหาทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรปัตตานี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ขัดกับข้อความที่ระบุในทำนองว่า ปัตตานีดารุสสลามเป็นรัฐอิสลามที่บังคับใช้กฎหมายชะรีอะฮฺ และมีนักปราชญเป็นปรึกษาทางศาสนาแก่สุลต่านโดยมีตำแหน่งเป็นถึง “ชัยคุลอิสลาม” เลยทีเดียว (อ้างแล้ว หน้า66)
 
 
        ในรัชสมัยสุลต่าน มันโซร ชาห์ แห่งราชวงศ์ศรีมหาวังสา พระองค์ทรงสูญเสียพระธิดาองค์เล็ก ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อ 5 พระชันษาเท่านั้น พระองค์รับสั่งให้ฝังพระศพของพระธิดาไว้ใกล้กับพระราชวัง เสาหลักที่หลุมศพประดับด้วยทองคำ และมีโองการมิให้ประชาชนพลเมืองใช้ครกตำข้าวเป็นเวลานาน 40 วัน เนื่องจากพระองค์มีความเชื่อว่าการใช้ครกตำข้าวจะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน รบกวนพระศพของพระธิดาอันเป็นที่รักของพระองค์ทำให้ประชาชนต้องหยุดตำข้าว หากมีความจำเป็นก็ต้องไปให้ห่างจากวังหลวงจนไปถึงบ้านสุไหงปาแน (บริเวณบ้านบานาในปัจจุบัน) (อ้างแล้ว หน้า 77)
 
 
        ความเชื่อเช่นนี้ตลอดจนการประดับเสาหลักที่คลุมศพด้วยทองคำเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม  ทั้ง ๆ ที่ในรัชสมัยของสุลต่านมุศอฟฟัร ชาห์ ท่านดาโต๊ะ ราชาศรี ฟากิฮฺ (Raja Seri Faqih) หรือชัยค์ ซอฟียุดดีน เป็นผู้ทำหน้าที่ปรึกษาศาสนาอิสลามในราชสำนัก (อ้างแล้ว หน้า 73) ซึ่งถ้าหากท่านชัยค์ ซ่อฟียุดดีนสิ้นชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีบุตรชายของท่านนามว่า วันมุฮำหมัด ทำหน้าที่เป็นครูสอนศาสนาให้แก่ราชา มันโซร พระอนุชาของสุลต่าน (A.Malek p.38) รวมถึงท่านวัน ญาฮารุลลอฮฺซึ่งเป็นหลานของดาโต๊ะ ราชา ศรีฟากิฮฺ และเป็นพระพี่เลี้ยงของพระโอรสและธิดาของสุลต่านมันโซร ชาห์ (อ้างแล้ว หน้า 77) จริงอยู่ที่ความผิดเพี้ยนในเรื่องความเชื่อเดิมอาจจะยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ในปัตตานีดารุสสลาม เพราะในขณะนั้นยังถือว่าปัตตานีดารุสสลามเป็นรัฐอิสลามที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในคาบสมุทรมลายู แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าปัตตานีดารุสสลามในเวลานั้นยังคงมีอิทธิพลของความเชื่อเดิมผสมผสานอยู่ในวัฒนธรรมของชาวมลายู
 
 
        ประเด็นของการขึ้นครองอำนาจในปัตตานีดารุสสลามของบรรดาสุลตอนะฮฺ (กษัตริยา) นับแต่รัชสมัยราชินีฮิเยา (1584-1616), ราชินีบีรู (1616-1624), ราชีนีอูงู (1624-1635) และราชินีกูนิง (1635-1686) ในราชวงศ์ศรีมหาวังสา รวม 4 พระองค์ และราชินีมัสกลันตัน (1960-1707), ราชินี มัสชายัม (1707-1710) และราชินีเดวี (1710-1719) ในรัชสมัยหลังรวมปัตตานีดารุสสลามมีราชินีเป็นผู้ปกครองสูงสุด 7 พระองค์ก็ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับประเด็นที่ว่า ปัตตานีดารุสสลามใช้ระบอบอิสลามและกฎหมายชะรีอะฮฺในการปกครองตามที่ระบุข้างต้น ทั้งนี้นักวิชาการได้กำหนดเงื่อนไขของประมุขสูงสุด (إمام أعظم) ของรัฐอิสลามว่า ต้องเป็นเพศชาย (الذكورة) โดยมติเอกฉันท์ (الإجماع) (อัลฟิกฮุ้ลอิสลามีย์ ว่า อะดิลละตุฮฺ ; ดร.วะฮะบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ ; สำนักพิมพ์ ดารุ้ลฟิกรี่ ดามัสกัส (1984) เล่มที่ 6 หน้า 693)
 
 
        เหตุที่มีราชินีหลายองค์ปกครองปัตตานีดารุสสลามนั้นเนื่องจากมีการฆาตรกรรมระหว่างพี่น้องที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังปัตตานีถึง 2 ครั้งทำให้พระโอรสสิ้นพระชนม์ถึง 4 พระองค์ คือ สุลต่านปาติกสยาม, ราชาบัมบัง, สุลต่านบะฮาดุรและราชาบีมา ดังนั้นบรรดาขุนนางจึงได้ประชุมหารือเพื่อเลือกสรรผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองปัตตานีต่อไป เมื่อไม่มีพระโอรสจึงพิจารณาเลือกพระธิดา คือ ราชินีฮิเยา ปัตตานีดารุสสลามจึงเป็นอาณาจักรแรกในเอเชียอาคเนย์ ที่ผู้ปกครองเป็นสตรี ก่อนจะมีขึ้นในเมืองอาเจะห์ (ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู หน้า 84)

    การปกครองรัฐที่มีสตรีเป็นประมุขสูงสุดในฐานะกษัตริยาของปัตตานีดารุสสลาม อาจจะเป็นเรื่องที่อนุโลมได้ในกรณีจำเป็น (الضرورة) เนื่องจากรัฐจำเป็นต้องมีประมุขเป็นผู้ปกครองสูงสุด รูปแบบการปกครองอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญ ตราบใดที่หลักศาสนบัญญัติยังถูกบังคับใช้ (อัลฟิกฮุลอิสลามีย์ ว่า อะดิลละตุฮู ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ เล่มที่ 6/664-665) และการมีประมุขในสภาวะเช่นนี้เป็นกรณียกเว้น (حالة استثناﺌﻴﺔ) และเป็นการป้องกันการหลั่งเลือด (อ้างแล้ว หน้า 682) อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ของปัตตานีดารุสสลาม กรณีมีประมุขเป็นสตรีหรือกษัตริยาหลายพระองค์ติดต่อกัน ก็ดูจะยาวนานจนเกินความจำเป็นอีกทั้งนักวิชาการก็ระบุว่า นักนิติศาสตร์อิสลามทั้งหมดต่างก็มีมติเป็นเอกฉันท์ (อิจฺญมาอฺ) ว่า ตำแหน่งประมุขสูงสุด (อิมามะฮฺ) จะไม่มีการสืบทอดเป็นมรดก (إن الأمامة لاتورث) (อัลฟัซฺล์ ฟิลมิลัล วันนิฮัล ; อิบนุ ฮัซฺมิน 4/167)

 

        ประเด็นเกี่ยวกับเงื่อนไขของประมุขสูงสุดในรัฐอิสลามอาจจะไม่ต้องคำนึงถึงก็ได้ หากผู้นั้นสามารถชิงอำนาจในการปกครองเหนือผู้คนทั้งหลายได้สำเร็จ และการปฏิบัติตามเชื่อฟังประมุขที่ได้อำนาจมาด้วยวิถีทางนี้ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นตามมา (อ้างแล้ว 6/683) ซึ่งก็พอจะรับฟังได้ในกรณีที่เกิดขึ้นในรัฐปัตตานีดารุสสลาม ทั้งนี้โดยพิจารณาว่าบรรดาเหล่ามนตรี ขุนนาง และแม่ทัพมีสถานะเทียบได้กับสภาที่ปรึกษา (أهل الشورى) ซึ่งมีการประชุมหารือและมีมติในการยกเอาสตรีขึ้นเป็นประมุขสูงสุดในการปกครอง กระนั้นนักวิชาการอิสลามก็ยังกำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติของสภาที่ปรึกษานี้เอาไว้หลายประเด็นอีกเช่นกัน (ดูรายละเอียดในอัลฟิกฮุลอิสลามีย์ ฯ อ้างแล้ว 6/684-687)

 

การเป็นรัฐอิสลามที่สมบูรณ์ตามระบอบรัฐศาสตร์อิสลามสำหรับกรณีของปัตตานีดารุสสลามจึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงรายละเอียดกันต่อไป และทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเป็นรัฐอิสลามในเชิงรัฐศาสตร์อิสลามเท่านั้น มิได้มุ่งหักล้างและปฏิเสธข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงแต่อย่างใด อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการมากกว่าที่เคยเป็นมาเพราะน้อยนักที่จะพูดถึงกันในประเด็นนี้ ทั้ง ๆ ที่มีความสำคัญอยู่มิใช่น้อยในการยืนยันความเชื่อ ความเข้าใจและความเป็นจริงที่ระบุถึงปัตตานีดารุสสลามว่าเป็นรัฐอิสลามตามที่เล่าและเขียนสืบกันมาว่าเป็นจริงมากน้อยเพียงใด

วัลลอฮุอะอฺลัม