การแผ่ขยายของอิสลามในหมู่เกาะมะฮ์รอจ (อินโดนีเซีย)

(หมู่เกาะมะฮ์รอจ  เป็นชื่อของหมู่เกาะอินโดนีเซีย  ในตำราของอัลมัสอูดีย์  ส่วนอิบนุ  บัตตูเตาะห์  ได้เรียกหมู่เกาะอินโดนีเซียว่า  ญาวะฮฺ  (ชวา)  เล็ก  และชวาใหญ่  นักภูมิศาสตร์อาหรับส่วนใหญ่ผนวกหมู่เกาะเหล่านี้เข้าไปในหัวเมืองมลายู  ชื่อเดิมของหมู่เกาะเหล่านี้ในสมัยโบราณ  คือ  นุสันตะรา และในขณะที่อินโดนีเซียได้รับเอกราชก็มีทัศนะหนึ่งให้เรียกชื่อ  นุสันตะรา  เป็นชื่อของประเทศนี้  แต่ทว่าในที่สุดก็เห็นพ้องกันให้เรียกว่า  อินโดนีเซีย  ซึ่งจริง ๆ ก็คือ  ฮินดูนีเซีย)

ชาวอาหรับเป็นนักการค้าวาณิชย์ในมหาสมุทรอินเดีย  และท้องทะเลในเอเชียใต้  จวบจนกระทั่งพวกโปรตุเกสเข้ามามีอิทธิพลในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่  16  ความเป็นนักการค้าวาณิชย์นี่เองคือสิ่งที่ทำให้พ่อค้ามุสลิมและบรรดานักเผยแผ่อิสลามที่ร่วมอยู่ในกองเรือสินค้าสามารถแสวงหาดินแดนที่สองของอิสลามที่มีความกว้างไกล  มีพลเมืองมากมาย  ตลอดจนทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์  ดินแดนที่กล่าวถึงนี้ก็คือ  หมู่เกาะมะฮ์รอจ  (อินโดนีเซีย)  หรือดินแดนสามพันหมู่เกาะ

 

 

นับเป็นความยากเย็นทีเดียว  ในการกำหนดช่วงเวลาที่อิสลามได้เข้าสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้  ตำราอ้างอิงทั้งหลายต่างก็บอกเล่าให้เราทราบว่า  บรรดาพ่อค้าชาวมุสลิมได้สร้างศูนย์กลางการค้าขายของตนขึ้นตามชายฝั่งตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของอิสลาม  บางทีอาจจะเป็นตอนปลายฮิจเราะห์ศักราชที่  2  และต้นฮิจเราะห์ศักราชที่  3  ตรงกับคริสต์ศตวรรษที่  8  และ  9  จุดของความเห็นที่แตกต่างกันนั้นก็คือ  บรรดาพ่อค้าชาวมุสลิมเหล่านี้มาจากที่ใด?  มาจากคาบสมุทรมาลายู  หรือมาจากอินเดีย?  ทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุดตรงนี้ก็คือ  กลุ่มคนชุดแรก ๆ ที่ได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในหมู่เกาะต่าง ๆ โดยทำหน้าที่การเผยแผ่อิสลามนั้นคือ  ชาวอาหรับนั่นเอง  ตามมาด้วยชาวอินเดีย 

 

ซินูก  เฮิร์กเน  มีความเห็นว่า  ชาวอินเดียรุ่นแรกส่วนใหญ่มาจากแคว้นกุจราจในอินเดียตะวันออก  ศูนย์กลางแรกของพวกนี้อยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกของสุมาตรา  ซึ่งพวกนี้เรียกว่า  ซัมดะร่า  สิ่งที่แน่ชัดก็คือ  ชาวอาหรับได้มาสู่สุมาตราพร้อมกับมัซฮับอัชชาฟิอีย์  ส่วนชาวอินเดียนั้นนำเอามัซฮับฮานาฟีย์มาสู่ดินแดนแห่งนี้  โดยที่มัซฮับฮานาฟีย์นั้นเป็นมัซฮับที่แพร่หลายในหมู่ชาวมุสลิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย  ซึ่งพวกอินเดียมุสลิมมาจากที่นั่น  อิบนุบัตตูเตาะห์ได้เล่าว่า  สุลต่าน  (ซุลตอน)  มุสลิมแห่งซัมดะร่าในราวศตวรรษที่  14  นั้นมีสัมพันธไมตรีอันดีกับเหล่าสุลต่านแห่งเดลฮีในราชวงศ์โมกุล

 

การค้นคว้าทางโบราณคดีได้ยืนยันว่า  มุสลิมได้รู้จักหมู่เกาะของอินโดนีเซีย  โดยเฉพาะเกาะสุมาตราตั้งแต่ยุคแรก ๆ  บรรดานักโบราณคดีได้ค้นพบสุสานของชายมุสลิมคนหนึ่งที่เสียชีวิตลงที่นั่นในปีฮ.ศ.ที่  60  (ค.ศ.679)  ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด  ทั้งนี้เพราะนักเดินเรือชาวอาหรับได้รู้จักดินแดนมะลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียมาก่อนหน้ายุคอิสลาม  ซึ่งเรามีข้อเขียนหลายข้อเขียนด้วยกันที่ถูกเขียนด้วยลายมือแบบมุสนัดระบุถึงร่องรอยของคลังและสิ่งก่อสร้างทางการค้าของชาวอาหรับในหมู่เกาะดังกล่าว 

 

ภายหลังจากการที่ชาวอาหรับทั้งหมดได้เข้ารับอิสลาม  ความตื่นตัวทางการค้าของพ่อค้าชาวโอมาน,  ฮัดร่อเมาต์และยะมันก็ได้เพิ่มมากขึ้นในการทำการค้ากับพลเมืองท้องถิ่นในหมู่เกาะดังกล่าว  ศาสนาอิสลามก็ได้รื้อฟื้นจิตวิญญาณใหม่ในหมู่พลเมืองเหล่านี้และได้มอบคุณลักษณะแห่งอารยธรรมอันสูงส่งแก่ผู้คนเหล่านั้นอย่างมากเกินกว่าที่หมู่เกาะเหล่านี้  เคยรู้จักมาก่อนในช่วงเวลานั้น  เราสามารถกล่าวได้โดยอาศัยพื้นฐานของข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งที่อัลมัสอูดีย์  ได้ระบุเอาไว้ในมุรูญูซซะฮับถึงหมู่เกาะเหล่านี้ว่าในขณะนั้นเป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับชาวมุสลิม 

 

โดยอัลมัสอูดีย์ได้กล่าวถึง  “ทะเลแห่งกะลาฮ์บ๊าร”  ว่า  :  และอธิบายถึงทะเลกะละฮฺ  ทะเลกันดะรอนจ์  ต่อมาก็ทะเลอันซินพ์ซึ่งเป็นทะเลที่อยู่ทางตะวันออกของอินโดจีน”  และมัสอูดีย์ยังกล่าวอีกว่า  :  ในท้องทะเลนั้นมีอาณาจักรอัลมะฮ์รอจ  และเกาะซะรีเราะห์  โดยกินพื้นที่ในท้องทะเลประมาณ  400  ฟัรซัค  มีชุมชนที่เจริญติดกันเป็นพรืดและที่นั่นมีทะเล  “อัซซาบิจ”  และ  “อัรรอมินีย์”  (มุรูญุซซะฮับของอัลมัสอูดีย์  1/154)  อัซซาบิจ  ก็คือเกาะสุมาตราและอัรรอมินีย์  ก็คือ  หมู่เกาะทางตะวันตกของสุมาตรา  ซึ่งบางทีก็เรียกกันว่า  “วักวากแห่งจีน”  ส่วนชะรีเราะห์  โดยมากจะหมายถึงชื่อของอาณาจักรซึ่งอยู่ในสุมาตราขณะนั้น

 

บรรดาพ่อค้ามุสลิมและนักเผยแผ่ศาสนาอิสลามได้ปฏิบัติตนตามแนวทางที่เที่ยงตรงในการดำเนินชีวิตและการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนทั้งหลายอันนำไปสู่การดึงดูดโน้มน้าวผู้คนทั้งหลายให้มีความสนใจต่อศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  และนำเอาพวกเขาเข้ารับอิสลาม  พ่อค้ามุสลิมเหล่านี้ก็กระชับสัมพันธ์ของพวกเขากับพลเมืองท้องถิ่นมากขึ้น  คลุกคลีและทำการสมรส  ตลอดจนนำพวกเขาสู่การยอมรับอิสลามเป็นสรณะ  ลูกหลานของพวกเขาก็เจริญเติบโตในฐานะของมุสลิม 

 

จากแนวทางนี้เองพวกพ่อค้ามุสลิมก็เปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมของพวกเขา  โดยเริ่มครอบครองที่ดินทำกินและสร้างบ้านเรือนเป็นชุมชน  ตลอดจนมีข้าทาสเป็นผู้รับใช้และนำเอาทาสเหล่านี้เข้าสู่ศาสนาอิสลาม  อันเป็นศาสนาของผู้เป็นนาย  พ่อค้ามุสลิมเหล่านี้จึงมีเกียรติและอำนาจ  ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยความสูงส่งทางวิทยาการของพวกเขา  การเกี่ยวดองทางการสมรส  การมีบุตรเป็นผู้สืบสกุลและมีทาสที่ถือในศาสนาของผู้เป็นนาย 

 

พ่อค้ามุสลิมจึงกลายเป็นแบบอย่างในท่ามกลางผู้คนเป็นพลเมืองท้องถิ่นด้วยความมีเกียรติและฐานันดรอันสูงส่งและยังได้ให้ความร่วมมือกับพลเมืองเหล่านั้นอย่างดี  อันเป็นการเพิ่มฐานะที่เป็นที่ยอมรับทางสังคม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพ่อค้ามุสลิมเหล่านี้สามารถพูดภาษาท้องถิ่นและข้องแวะกับบรรดาคหบดี,  เหล่าผู้นำชั้นสูงของกลุ่มชนนั้น  ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะพ่อค้ามุสลิมเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความเจริญทางอารยธรรมและวิทยาการ  ด้วยความประเสริฐของอัลอิสลามและอารยธรรมอันสูงส่ง  จากจุดนี้เองพวกเขาก็สามารถกุมตำแหน่งที่สำคัญและกลายเป็นผู้นำของกลุ่มชน  พลเมืองท้องถิ่นเหล่านี้ก็เข้ารับอิสลามมากขึ้นเป็นลำดับ

 

สุมาตรา  ดูเหมือนว่า  ประชาคมมุสลิมที่มีอิทธิพลชุดแรกได้สถาปนาขึ้นในอินโดนีเซียอยู่ในดินแดนอาเจะห์  ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสุมาตราหรือซัมดาร่าและเช่นกันเป็นที่กล่าวขานกันว่า  :  ผู้ที่ริเริ่มประชาคมมุสลิมในอินโดนีเซียนั้นเป็นนักเผยแผ่ศาสนาชาวอาหรับ  นามว่า  อับดุลลอฮฺ  อาริฟ  และมีศิษย์เอกนามว่า  บุรอานุดดีน  ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาอิสลามจนกระทั่งดินแดน  “บัรยามาน”  ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของสุมาตราเช่นกัน 

 

ณ  ที่นั่น  อิสลามมีความมั่นคงถึงขั้นที่ว่า  มีชายมุสลิมคนหนึ่งสามารถตั้งราชวงศ์ขึ้นครองอำนาจในนามของญีฮาน  ชาฮฺซึ่งค่อนข้างแน่ใจได้ว่า  ชายผู้นี้มีเชื้อสายอินเดียซึ่งต่อมาไม่นานเขาก็กลายเป็นชาวอินโดนีเซีย  และทำการสมรสกับสตรีชาวพื้นเมือง  โดยมีชื่อใหม่ว่า  “ศรี  บะดูฮา  ซุลตอน”

 

การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามในสุมาตราได้จำกัดอยู่เฉพาะในเขตชายฝั่งของเกาะอยู่เป็นเวลานาน  ทั้งนี้เพราะพวกพราหมณ์ฮินดูได้ฝังรากลึกลงสู่ดินแดนชั้นในมาก่อนหน้านี้แล้วโดยได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรที่มีชื่อว่า  “มินัง  กาเบา”

 

มาร์โค  โปโล ซึ่งได้ใช้ชีวิตราว  5  เดือนบนชายฝั่งทางตอนเหนือของสุมาตราในปลายค.ศ.ที่  12  ได้กล่าวว่า  ประชากรส่วนใหญ่ที่นั่นยังคงเป็นพวกกราบไหว้รูปเจว็ด  ยกเว้นอาณาจักรเปอร์ลัก  ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสุมาตราตรงข้ามกับมะละกา  ปรากฏว่าพลเมืองของอาณาจักรแห่งนี้ตามที่มาร์โค  โปโลกล่าวถึงเป็นชาวมุสลิมเนื่องจากมีพ่อค้าชาวอาหรับอยู่เป็นจำนวนมากที่นั่น 

 

จากดินแดนอาเจะห์อิสลามได้รุกคืบสู่ทางใต้ยังชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา  จนกระทั่งชาวมุสลิมได้มาถึงชายฝั่งตอนใต้และตะวันออกและลัดเลาะตามเส้นทางชายฝั่งขึ้นเหนือจนมาถึงดินแดน “ฮะรู” ตรงข้ามกับมะละกาเช่นกัน  ด้วยสิ่งดังกล่าวนี้เอง  พวกเขาก็สามารถมาถึงอาณาจักร “เปอร์ลัก” จากทางด้านตะวันออกซึ่งปรากฏว่าผู้นำคณะเผยแผ่ศาสนาอิสลามตามเส้นทางอันยืดยาวนี้มีชื่อว่าเชคอิสมาอีลโดยชะรีฟ  (เจ้าครองนคร)  มักกะห์ได้ส่งท่านเชคผู้นี้มาเพื่อทำการเผยแผ่อิสลามในสุมาตราจากเปอร์ลัก 

 

ท่านเชคอิสมาแอลก็เดินทางสู่นครสะมูดะเราะห์  (สุมาตรา)  ในเมืองสะมูดะเราะห์นี้มีผู้นำคนหนึ่งชื่อว่ามาร์ซีล  เป็นผู้ปกครองซึ่งท่านเชคอิสมาอีลและคณะของท่านก็สามารถเรียกร้องบุคคลผู้นี้ให้เข้ารับอิสลาม  และหลังจากเข้ารับอิสลาม  ชายผู้นี้ก็เปลี่ยนชื่อว่า  “อัลม่าลิก  อัซซอและห์”  และได้สมรสกับเจ้าหญิงแห่งเปอร์ลักและมีบุตรกับเจ้าหญิงองค์นี้  2  คน  อัลม่าลิก  อัซซอและห์  (หรือกษัตริย์ผู้ทรงธรรม)  ได้แผ่ขยายอาณาเขตอาณาจักรอิสลามของพระองค์  โดยได้ผนวกรวมอาณาจักรปาไสย  ซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตอนเหนือของสุมาตราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของพระองค์  ต่อมาพระองค์ได้ทรงแบ่งอาณาจักรให้พระราชโอรสทั้งสองปกครองคนละครึ่ง

 

อิบนุบัตตูเตาะห์  ได้เคยพักอยู่ในเมืองสะมูดะเราะห์ในราวปีค.ศ.1345  และได้เล่าให้เราทราบถึงกษัตริย์แห่งสะมูดะเราะห์ทรงมีพระนามว่า  อัลม่าลิก  อัซซอฮิร  และพระราชอำนาจอันกว้างไกลของกษัตริย์องค์นี้ตลอดจนความยุติธรรมและความเคร่งครัดของพระองค์และทรัพย์สินของพระองค์  ซึ่งดูเหมือนว่ากษัตริย์อัซซอฮิร  ผู้นี้เป็นพระราชโอรสหนึ่งในสององค์ของกษัตริย์อัซซอและห์  ซึ่งที่เราได้กล่าวมาแล้ว

 

และในเวลาเดียวกันนี้เอง  ศาสนาอิสลามก็เริ่มเปิดเส้นทางเข้าสู่ส่วนในของเกาะ  ซึ่งผู้คนได้เข้ารับอิสลามเป็นหมู่คณะ  แต่ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากชาวเมืองของอาณาจักร“อัลบ่าติก”ทางตอนกลางของเกาะ  นอกเสียจากว่า  การต่อต้านดังกล่าวก็ได้เริ่มอ่อนลงอันเป็นผลมาจากนโยบายทางการเมืองของพวกดัชต์  (ฮอลแลนด์)  ในการมุ่งกำจัดอำนาจทางการเมืองต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหมู่เกาะของอินโดนีเซีย 

 

ครั้นเมื่อพวกดัชต์ได้ปราบปรามอำนาจของอาณาจักร  “อัลบ่าติก”  ลงได้เป็นผลสำเร็จ  เส้นทางก็ปลอดโปร่งสำหรับการเผยแผ่อิสลาม  ผู้คนอันเป็นพลเมืองท้องถิ่นก็พากันเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมากและถือว่าการเข้ารับอิสลามของพวกเขาเป็นการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อพวกดัชต์ 

 

ยิ่งไปกว่านั้น  การหันเข้ารับอิสลามของชาวเมืองในอาณาจักรอัลบ่าติกเป็นที่แพร่หลายถึงขั้นที่ว่า  ชาวเมืองที่เคยเข้ารีตในศาสนาคริสต์โดยน้ำมือของพวกมิชชันน่ารี  ก็ได้เปลี่ยนมารับนับถืออิสลามซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนท้องถิ่น  ด้วยเหตุนี้เอง  เราจึงพบว่าอิสลามสามารถดึงดูดชาวเมืองในดินแดนปาเล็มบัง  ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสุมาตรา  โดยที่อิสลามได้แผ่ขยายปกคลุมดินแดนแห่งนี้ในตอนต้นศตวรรษที่  20

 

ชวา  ศาสนาอิสลามได้เข้าสู่เกาะชวาจากทางคาบสมุทรมลายู  และสามารถแผ่ขยายครอบคลุมได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้น  ทั้งนี้เพราะนักเผยแผ่อิสลามที่นั่นไม่พบการต่อต้านอันใด  ชาวชวาส่วนใหญ่จะตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณส่วนในของเกาะ  ซึ่งในช่วงเวลานั้นยังคงกราบไหว้รูปเจว็ด  การเปลี่ยนมารับนับถือศาสนาอิสลามของผู้คนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องง่าย  ผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่อิสลามนั้นมีชื่อว่า  ชัยค์อิบรอฮีม  ซึ่งเสียชีวิตในปีค.ศ.1419 

 

บุคคลผู้นี้ตลอดจนสานุศิษย์และผู้ปฏิบัติตามรุ่นหลัง ๆ ได้นำเอาชาวชวาทั้งหมดเข้ารับอิสลามก่อนศตวรรษที่  17  ประชากรในเกาะชวาจึงกลายเป็นประชากรมุสลิมโดยแท้นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงขั้นที่ว่า  มีการสร้าง  ริว๊าก  (ระเบียงที่กำหนดให้เป็นที่พักของนักศึกษา)  เป็นการเฉพาะสำหรับมุสลิมชวาในมัสยิดอัลอัซฮัร  อัชช่ารีฟ  โดยเรียกกันว่า  “ระเบียงของชาวชวา”  ประวัติศาสตร์อิสลามในชวานั้นมีความยาวนาน  ทั้งนี้เป็นเพราะว่าดินแดนแถบชายฝั่งของชวาในขณะที่อิสลามเดินทางมาถึงนั้นตกอยู่ในอิทธิพลของชาวอาหรับที่เป็นพ่อค้าและผู้อพยพ  ส่วนดินแดนชั้นในของเกาะนั้นอยู่ภายในเขตของพราหมณ์ฮินดู  และขนบธรรมเนียมประเพณีของศาสนาพราหมณ์ได้หยั่งรากลงลึกอย่างมั่นคงเหนือชายฝั่งของเกาะมาก่อนอิสลามเป็นระยะเวลาอันยาวนาน  นักเผยแผ่ชาวมุสลิมจึงยังไม่สามารถลบล้างอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ลงได้ในเบื้องแรก

 

มัสยิดในชวากลาง ในช่วงศตวรรษที่ 20

 

กล่าวกันว่า  รุ่งอรุณแห่งอิสลามในเกาะชวาได้เริ่มเฉิดฉายด้วยน้ำมือของเจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์  “บาจาจารอน”  ในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะชวา  เล่ากันว่า  เจ้าชายองค์นี้ได้สละราชบัลลังก์แก่พระอนุชาและหันไปเอาดีทางการค้าขายและเดินทางไปสู่ดินแดนของชาวอาหรับ  ณ  ที่นั่น  เจ้าชายองค์นี้ก็ได้เข้ารับอิสลามและมีชื่อว่า  “ฮัจยีบัรวา”  ขณะที่บุคคลผู้นี้ได้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิของตน  ก็ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จในการชักจูงพระอนุชา  ซึ่งเป็นกษัตริย์และพระราชวงศ์ให้เข้ารับอิสลาม  เจ้าชายผู้นี้จึงหนีเข้าป่าและหลบซ่อนตัวอยู่ในป่านั้น

 

ปลายศตวรรษที่  14  ได้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ในการเรียกร้องอิสลามด้วยน้ำมือของกษัตริย์อิบรอฮีม  หรือ  ชัยค์อิบรอฮีมที่ได้กล่าวถึงข้างต้น  ว่ากันว่า  ท่านชัยค์ผู้นี้เป็นลูกหลานของท่านซัยนุ้ลอาบิดีน  หลานของท่านอะลี  อิบนุ  อบีตอลิบ  (รฎ.)  ชัยค์อิบรอฮีมได้อาศัยอยู่ท่ามกลางชนเผ่าดั้งเดิมในดินแดนชั้นในของเกาะ  และเริ่มทำการเรียกร้องสู่อิสลามโดยมุ่งมั่นที่จะชักจูง  ราชาแห่งมัจฉาปาหิต  ชาวฮินดูในการเข้ารับอิสลามซึ่งอาณาจักรมัจฉาปาหิตแห่งนี้ครอบคลุมดินแดนส่วนใหญ่ของเกาะชวา  และเกือบทำสำเร็จ  ถ้าหากไม่เกิดความวุ่นวายมาขวางกั้น 

 

แต่อย่างไรก็ตามชัยค์อิบรอฮีม  ผู้นี้ก็สามารถเรียกร้องประชาชนในเกาะเป็นจำนวนมิใช่น้อยที่เข้ารับอิสลาม  และได้เสียชีวิตลงในปีค.ศ.1419  ศพของท่านถูกฝังอยู่ที่  “กรือเซะฮฺ”  สุสานของท่านยังคงได้รับการเยี่ยมเยียนจวบจนทุกวันนี้  จากการบอกเล่าของนักเดินทางชาวจีนที่เคยมาเยือนเกาะชวาในปีค.ศ.1413  พอจะเข้าใจได้ว่า  ชาวมุสลิมมีจำนวนมากทีเดียวในดินแดนต่าง ๆ ของเกาะชวา  จนกลายเป็นชนชั้นที่มีสถานภาพทางสังคมเด่นชัดทีเดียว 

 

ในช่วงเวลานั้นได้มีอาณาจักรต่าง ๆ ทางตอนกลางและตะวันออกของเกาะชวาปรากฏขึ้น  ซึ่งอาณาจักรที่มั่งคั่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาอาณาจักรเหล่านี้คือ  อาณาจักรมัจฉาปาหิต  ที่นิยมในศาสนาพราหมณ์ฮินดูและปลายสุดทางตะวันตกของเกาะยังมีอาณาจักรอื่น ๆ อีกเช่นกัน  ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ  อาณาจักรชริมบอน  ศาสนาอิสลามได้แพร่หลายทางตะวันออกของเกาะชวาด้วยการทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาของชายคนหนึ่งที่มีเชื้อสายกษัตริย์นามว่า  “รอดิน  เราะห์มัต”  โดยราชาแห่งมัจฉาปาหิตได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองตูมาบิล  บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือ  เจ้าเมืองผู้นี้ได้เปลี่ยนเป็นชาวเมืองทั้งหมดให้เข้ารับอิสลาม

 

เจ้าเมืองรอดิน  เราะห์มัต  ได้ส่งนักเผยแผ่คนหนึ่งที่ชื่อว่า  ชัยค์ค่อลีฟะห์ฮุซัยน์  ไปยังเกาะมาดูเราะห์  ชัยค์ผู้นี้ก็สามารถเปลี่ยนชาวเมืองให้เข้ารับอิสลาม  บรรดามัสยิดก็ถูกสร้างหลายต่อหลายแห่งในแว่นแคว้นที่กลายเป็นดินแดนอิสลาม  ในปีค.ศ.1478  บรรดามุสลิมก็สามารถโค่นอำนาจของราชาแห่งมัจฉาปาหิตที่พิทักษ์ศาสนาพราหมณ์ลงได้  ด้วยการณ์ดังกล่าว  อำนาจทางตะวันออกของชวาก็เปลี่ยนมือมายังชาวมุสลิม  ต่อมาอิสลามก็แพร่หลายทางตอนใต้ของเกาะชวา  ส่วนทางตอนกลางของเกาะนั้นการเผยแผ่ของศาสนาอิสลามเป็นไปอย่างช้า ๆ อยู่หลายศตวรรษ  แต่ทว่าก็ประสบความสำเร็จในที่สุดหลังจากความพยายามอย่างยากลำบาก  โดยมีบรรดานักเผยแผ่ทำหน้าที่สำคัญที่สุดก็คือ  ชัยค์นูรุดดีน  อิบรอฮีม  อะห์หมัด  ซึ่งท่านชัยค์ผู้นี้ได้ส่งเมาลานา  ฮะซ่านุดดีน  ผู้เป็นบุตรชายไปยังแคว้น  “บันตาม”  ทางตะวันตก  และประสบความสำเร็จในการชักจูงชาวเมืองให้เข้ารับอิสลาม  ในราวศตวรรษที่  17  เราจะพบว่าทางตะวันตกของเกาะชวานั้น  ชาวเมืองที่นั่นได้เข้ารับอิสลามอย่างสมบูรณ์  ชวาจึงได้กลายเป็นดินแดนอิสลามด้วยเหตุดังกล่าว

 

บอร์เนียว  (กลิมันตัน)  จากเกาะชวาและสุมาตรา  อิสลามก็เผยแผ่สู่เกาะบอร์เนียวและแพร่หลายตามชายฝั่งทางตะวันตกและทางตอนเหนือ  รัฐสุลต่านแห่งบรูไนก็เปลี่ยนไปรับอิสลาม  ภายหลังจากที่ศาสนาอิสลามได้ครอบคลุมตะวันตกของเกาะทั้งหมด  ส่วนดินแดนชั้นในของเกาะ  การรุกของอิสลามเข้าไปยังส่วนในเป็นไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากมีพื้นที่เป็นป่าดงดิบและมีเผ่าที่กราบไหว้รูปปั้นเป็นร้อยเผ่า

 

ศาสนาอิสลามได้แพร่หลายจากเกาะชวาสู่หมู่เกาะ  “ซิบิลีส” (เซลิเบส)  และมีเผ่าพื้นเมืองสองเผ่าใหญ่ได้เข้ารับอิสลามโดยไม่ลำบากนัก  เผ่าสองเผ่านี้มีอิทธิพลแผ่ปกคลุมคาบสมุทรกลิมันตันและซิลิบีส  คือเผ่ามากัตบ๊ารและอัลบูจี  หลังจากนั้นไม่นาน  เผ่าอัลฆูรซึ่งมีหลักแหล่งอยู่ในดินแดนชั้นในก็เข้ารับอิสลาม  บรรดามุสลิมในหมู่เกาะซิลิบีสจึงได้ร้องขอบรรดาผู้นำและนักเผยแผ่จากชาวเมืองแห่งอาณาจักรอาเจะห์  ซึ่งชาวเมืองอาเจะห์ก็ตอบรับคำเรียกร้องดังกล่าว  โดยทำการส่งนักเผยแผ่เป็นจำนวนมากมายังหมู่เกาะซิลิบีส

 

ตอนต้นของศตวรรษที่  17  หมู่เกาะซิลีบีสทั้งหมดได้เข้ารับอิสลามเกาะลอมบอร์กก็เข้ารับอิสลามตามหมู่เกาะซิลิบีส  ส่วนเกาะบาลีซึ่งตั้งอยู่ระหว่างลอมบอร์กกับชวานั้น  อิสลามได้เคยรุกเข้าไปในดินแดนบางส่วนของเกาะบาหลี  ขณะที่พวกดัชต์มาถึง  พวกดัชต์มีความหลงใหลกับความงดงามทางธรรมชาติของเกาะบาหลี  และวัดทางศาสนาพุทธ  (หรือฮินดู)  ที่มีอยู่มากมาย  ตลอดจนความมีรูปโฉมอันงดงามของสตรีบาหลีและความชำนาญของพวกนางในการเต้นระบำพื้นเมืองของอินโดนีเซีย 

 

พวกดัชต์จึงถือว่าเกาะบาหลี  เป็นเขตพักผ่อนตากอากาศและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว  พวกนี้จึงได้สร้างโรงแรมและสถานบันเทิงต่าง ๆ ขึ้นในเกาะบาหลี  พวกดัชต์ไม่อนุญาตให้บรรดานักเผยแผ่ปฏิบัติหน้าที่อันใดในดินแดนแห่งนี้  การแผ่ขยายของอิสลามในบาหลีจึงหยุดชะงักลง  บาหลีจึงกลายเป็นเกาะแห่งการท่องเที่ยว  และศูนย์กลางของความบันเทิงในหมู่เกาะอันกว้างใหญ่จวบจนทุกวันนี้

 

ส่วนหมู่เกาะซุนด้าน้อย  ซึ่งอยู่ถัดมาจากเกาะลอมบอร์กทางตะวันออกโดยมีเกาะติมอร์เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด  ในราวศตวรรษที่  17  หมู่เกาะเหล่านี้ก็ได้เข้าอยู่ในดินแดนของอิสลาม  สาธารณรัฐอินโดนีเซียได้ผนวกรวมหมู่เกาะเหล่านี้เข้าไปยังดินแดนของตนในช่วงทศวรรษที่  60  ของศตวรรษที่  20  หลังเกิดการรัฐประหารขึ้นในโปรตุเกสภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของจอมทรราชย์ซาลาซฺาร

 

จากทางตะวันตกของสุมาตราก็ได้มีกลุ่มชนมุสลิมอพยพไปยังคาบสมุทรมลายู  ซึ่งในคาบสมุทรมลายูมีพ่อค้าและนักเผยแผ่ศาสนาเป็นจำนวนมากจรดดินแดนทางใต้สุดของมะละกา  กลุ่มชนมุสลิมดังกล่าวได้เริ่มทำการเผยแผ่ศาสนาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่  12  และรุกขึ้นสู่ตอนเหนือจนถึงเมืองมะละกาซึ่งเป็นราชธานีของอาณาจักรมะละกา  ต่อมาก็ได้มีพ่อค้าชาวอาหรับซึ่งเป็นนักเผยแผ่ศาสนาจากนครญิดดะห์  นามว่า  “ซิดี  อับดุลอะซีซ”  ได้มุ่งสู่อาณาจักรแห่งนี้ 

 

ท่านชัยค์ผู้นี้สามารถทำให้กษัตริย์แห่งนี้ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามและทรงพระนามว่า  มุฮำหมัด  ประชาชนในมะละกาจึงเข้ารับอิสลามตามกษัตริย์ผู้นี้  อาณาจักรมะละกา  จึงกลายเป็นอาณาจักรอิสลามแรก ๆ ในคาบสมุทรมลายูที่อาณาจักรอื่นเอาอย่าง  เช่น  อาณาจักรกุวัยดะห์  (เกดะห์-ไทรบุรี)  ทางตอนเหนือของคาบสมุทร  ซึ่งเข้ารับอิสลามโดยสมบูรณ์ในปีค.ศ.1501  ก่อนหน้านี้อาณาจักรกุวัยดะห์  เคยนิยมในศาสนาฮินดู  มีกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า  ราชา  เป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้เข้ารับอิสลามด้วยน้ำมือของนักเผยแผ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นชาวอาหรับนามว่า  อับดุลเลาะห์  ท่านชัยค์ผู้นี้ได้ใช้ให้กษัตริย์สร้างมัสยิดขึ้นหลายแห่งในอาณาจักรของพระองค์  และกำหนดให้แต่ละมัสยิดมีกลุ่มคนราว  40  คน  ทำหน้าที่ดูแลมัสยิดและประกอบศาสนกิจ  หลังจากนั้นราชาองค์นี้ก็ได้ติดต่อกับสุลต่านแห่งอาเจะห์  สุลต่านแห่งอาเจะห์จึงได้มีสาส์นโต้ตอบกับราชาแห่งกุวัยดะห์และยังได้มอบตำรับตำราทางศาสนาอิสลามให้อีกด้วย

 

เช่นนี้เองเราจะพบว่าศาสนาอิสลามได้ดำเนินไปในหมู่เกาะของอินโดนีเซีย  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า หมู่เกาะแห่งอินเดียตะวันออก  และอิสลามก็ได้ก้าวกระโดดสู่คาบสมุทรมะละกาเพื่อไปสู่หมู่เกาะที่เหลือ

 

บางคนอาจจะคิดว่า  สาเหตุที่เราพูดอย่างสรุป ๆ ถึงประวัติศาสตร์แห่งการที่อิสลามเข้าสู่หมู่เกาะอินโดนีเซียและการแพร่หลายของอิสลาม  นั่นเป็นเพราะว่าการเข้ารับอิสลามของชาวอินโดนีเซียเป็นไปอย่างสะดวกง่ายดาย  มิยากลำบากอันใด  แต่ทว่าความสำเร็จที่เด่นชัดดังที่เราได้ประจักษ์เห็นนี้  ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้  นอกจากจะต้องมีการเสียสละทุ่มเทอันใหญ่หลวงและต้องอาศัยความอดทนอย่างยาวนาน 

 

อุปสรรคต่าง ๆ ที่ประดาหน้าเข้าถาโถมบรรดานักเผยแผ่ทั้งหลายก็คงจะไม่น้อยไปกว่าที่นักเรียกร้องอิสลามในดินแดนของพวกเติร์กทางตะวันออกสุดของดินแดนอิสลามได้ประสบ  อันเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างกลางระหว่างดินแดนอิสลามกับแผ่นดินจีน  ดินแดนต่าง ๆ ในอินโดนีเซียนั้นมีสภาพเป็นป่าทึบดงดิบยากลำบากในการฝ่าเข้าไป  เนื่องจากมีเทือกเขา  ป่าดงดิบและแหล่งน้ำลำคลองหนองบึงเป็นจำนวนร้อยแห่ง 

 

ฉะนั้นบรรดานักเผยแผ่จำต้องมีความอดทนและทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อไปให้ถึงชนพื้นเมืองอินโดนีเซียในดินแดนชั้นในของหมู่เกาะ  เมื่อพวกเขาสามารถเข้าไปถึง  ก็จะต้องอาศัยปฏิภาณอันชาญฉลาดตลอดจนจรรยามารยาทอันงดงาม  เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับชนพื้นเมือง  และอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปยังดินแดนของตนและตั้งหลักแหล่งอยู่ท่ามกลางพวกนั้น  หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มทำการเผยแผ่อย่างค่อยเป็นค่อยไปและละมุนละม่อม

 

นักเผยแผ่เหล่านี้โดยมากจะเป็นพ่อค้าแสวงหาผลกำไรจากการค้าในการสืบสานการเรียกร้องสู่ศาสนาอิสลาม  พวกเขาไม่มีอำนาจของรัฐอยู่เบื้องหลังที่จะคอยสนับสนุนพวกเขาด้วยกำลังทรัพย์หรือกำลังคน  “ชะรีก้า”  นักค้นคว้าชาวดัชต์ได้เล่าถึงบรรดากษัตริย์ของชวาทั้งยุคก่อนอิสลามและหลังรับอิสลามในประวัติศาสตร์ของเขาว่า  อย่างไรที่นักเผยแผ่เหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งใดนอกจากการเผยแผ่ศาสนาอิสลามเป็นประการสำคัญ  หัวหน้าเผ่าที่เคารพรูปปั้นบางคนในพื้นที่ชั้นในของชวา  ได้ตั้งเงื่อนไขต่อพ่อค้าที่ต้องการเข้าสู่ดินแดนของพวกเขาว่าจะต้องสมรสกับสตรีที่ยากจน  บรรดาแม่หม้ายสูงอายุและสตรีที่ไม่มีสามีเลี้ยงดูพวกนาง 

 

ปรากฏว่าพ่อค้าชาวมุสลิมไม่ได้ใส่ใจเลยว่าจะต้องใช้จ่ายทรัพย์สินมากเพียงใด  และจะต้องค้าขายขาดทุนโดยขอเพียงให้ได้ตั้งหลักแหล่งและเป็นที่ยอมรับไว้ใจของชนพื้นเมือง  พ่อค้ามุสลิมจากแคว้นฮัฏร่อเมาต์  ในคาบสมุทรอารเบียบางคนต้องรับผิดชอบอุปการะสตรีที่ยากจนเป็นจำนวนนับร้อยจากชนเผ่าเหล่านี้และได้สัญญาว่าจะหาสามีมาให้กับนางเหล่านี้  ซึ่งเขาก็ทำตามคำมั่นสัญญานั้นโดยมอบสินสมรสแก่สตรีเหล่านั้นทั้งหมด  ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาก็หมดสิ้นไปในวิถีทางเช่นนี้  แต่ทว่าก่อนหน้าที่เขาผู้นี้จะเสียชีวิตในสภาพของยาจก  เขาก็ได้เห็นผลของการเสียสละของตน  โดยสตรีเหล่านี้ซึ่งเขาเคยอุปการะเลี้ยงดูได้ให้กำเนิดบุตรชายและหญิงเป็นจำนวนนับสิบแก่อิสลาม 

 

และพวกเขาเหล่านี้ก็ดำเนินบทบาทการเผยแผ่อย่างต่อเนื่องด้วยการสมรสกับชนพื้นเมือง  ศาสนาอิสลามก็แพร่หลายไปอย่างกว้างไกลเนื่องด้วยความใจบุญสุนทานของชายผู้นี้ในแคว้นกาดู  ซึ่งนับเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าดงดิบมากที่สุดของชวา  สิ่งที่สมควรกล่าวถึงก็คือ  ศาสนาพราหมณ์ฮินดูนั้นได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนแห่งนี้มาก่อน  บรรดานักบวชฮินดูต่างก็ทุ่มเทอย่างมากในการที่จะทำให้การรุกคืบของอิสลามหยุดชะงักลง 

 

แต่ทว่าบรรดาพ่อค้าชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ที่นั่น  ซึ่งถือเป็นหลักสำคัญอันเข้มแข็งของศาสนาพราหมณ์เป็นที่อวดเบ่งบารมีกับชนพื้นเมืองที่ยากจน  และไม่อยากสุงสิงกับพวกเหล่านี้นอกเหนือจากการเกี่ยวดองทางการสมรส  พ่อค้าอินเดียเหล่านี้จะติดต่อสัมพันธ์กับบรรดาเศรษฐีและผู้มีหน้ามีตาเท่านั้น  เมื่อมุสลิมได้กระทำดังที่ได้กล่าวมาก็เป็นที่กระจ่างสำหรับชนพื้นเมืองถึงความประเสริฐและความมีมนุษยธรรมของอิสลาม  ผู้คนจึงเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมาก 

 

พวกเขาเหล่านี้ก็ต้องทึ่งกับสิ่งที่พวกเขาได้พบในหลักคำสอนของอิสลามจากความอะลุ้มอะล่วยและความสะดวกง่ายดาย  และนับเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่ปรากฏว่า  ท่ามกลางเหล่านักเผยแผ่อิสลามที่เป็นพ่อค้ามีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ทรงภูมิความรู้ในหลักนิติศาสตร์อิสลาม  มีชื่อปรากฏในข้อเขียนว่า “ซากิตตีน”  ซึ่งน่าจะเป็นชื่อที่เพี้ยนมาจากคำว่า  ซะกียุดดีน  บุคคลผู้นี้ได้สร้างโรงเรียนขึ้นเพื่อทำการสอนวิชานิติศาสตร์และหลักการของศาสนา  บรรดาบุตรหลานของพ่อค้าชาวมุสลิมตลอดจนชนพื้นเมืองได้เรียนรู้หลักการศาสนาในโรงเรียนแห่งนี้ 

 

ในระหว่างที่หลักการในศาสนาฮินดูได้กำหนดให้บุตรชายคนหัวปีมีสิทธิ์รับมรดกเพียงผู้เดียว  ศาสนาอิสลามก็ได้แบ่งสรรมรดกอย่างเป็นธรรมระหว่างบรรดาผู้เป็นทายาทของผู้ตาย  ในขณะที่ศาสนาฮินดูห้ามสตรีรับมรดก  ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มอบให้ครอบครัวของสามีที่ตายมีสิทธิ์ในการอัปเปหินางออกจากกลุ่มชนได้และบรรดาพระในศาสดาฮินดูก็ยังได้ถือว่าเป็นการดีสำหรับสตรีที่สามีตายถ้าหากนางเผาตัวเองทั้งเป็นไปพร้อมกับร่างของสามี 

 

ครั้นเมื่อผู้นั้นได้มองเห็นว่าอิสลามได้มอบสิทธิอันสมบูรณ์แก่สตรีในการรับมรดกและมอบให้นางมีสิทธิเสรีภาพในการใช้จ่ายทรัพย์สินของนาง  และอิสลามได้เรียกร้องสู่ความละมุนละม่อมและสงสารกับสตรีหม้ายและดูแลทรัพย์สินของพระนาง  ผู้คนเหล่านี้จึงเริ่มหันมาสู่ศาสนาแห่งความเอื้ออารีนี้  พ่อค้าชาวฮินดูนั้นเมื่อต้องการทำดีกับคนยากจนก็จะโยนสิ่งที่เขาต้องการให้แต่ไกลจากคนยากจนผู้นั้น  และคนยากจนผู้นั้นก็ยังไม่สามารถเข้ามาหยิบสิ่งของที่ถูกโยนให้นอกจากจากนายเหนือหัวผู้นั้นจะเดินจากไป 

 

ฉะนั้นเมื่ออิสลามได้กำหนดสิทธิแก่คนยากจนในทรัพย์สินของคนรวยโดยคนยากจนนั้นจะเอาสิทธิดังกล่าวด้วยคำสั่งใช้ของศาสนาอย่างสมเกียรติและภาคภูมิ  ไม่ตะขิดตะขวงใจ  เมื่อเป็นเช่นนี้พวกพระในศาสนาฮินดูจึงยุยงกษัตริย์ที่มีอำนาจในแว่นแคว้นนั้นให้กดดันชาวมุสลิมและคณะผู้เผยแผ่โดยกล่าวว่า  “เมื่อใดที่ศาสนาอิสลามแพร่หลายในดินแดนนี้ทรัพย์สินของพระองค์ก็จะถูกลิดรอนและพระองค์ก็จะสิ้นเนื้อประดาตัว” 

 

ท่านชัยค์  ซะกียุดดีนจึงได้กล่าวแก่กษัตริย์ว่า  ในทางตรงกันข้ามนั่นแหล่ะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  ท่านชัยค์จึงเรียกร้องกษัตริย์ผู้นี้ให้เข้ารับอิสลามและท่านชัยค์ได้ยอมสละทรัพย์สินส่วนตัวของท่านแก่กษัตริย์เพื่อชดใช้ในส่วนที่กษัตริย์ต้องสูญเสียไปในการจ่ายซะกาต  ครั้นเมื่อกษัตริย์ได้เข้ารับอิสลามและทำการจ่ายทรัพย์ซะกาต  ผู้คนก็รักพระองค์มากยิ่งขึ้นและได้ถวายเครื่องบรรณาการแก่พระองค์อย่างพร้อมใจ  ทรัพย์สมบัติของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้นและมีศิริมงคลและได้มีบัญชาให้เรียกตัวท่านชัยค์  ซะกียุดดีนเข้าเฝ้าเพื่อรับทรัพย์สินของท่านคืน  ท่านชัยค์ผู้ทรงธรรมก็ปฏิเสธที่จะรับคืน 

 

แต่ต่อมาก็ได้รับเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ท่านชัยค์ได้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปซื้อเรือสำเภาลำหนึ่งและนำเอาชาวมุสลิมที่ประสงค์จะประกอบพิธีฮัจญ์ลงเรือซึ่งรวมถึงมุสลิมใหม่ด้วย  ท่านชัยค์เดินทางถึงนครมักกะห์พร้อมด้วยบรรดาฮุจญาจ จำนวน  200  คนชะรีฟผู้ครองนครมักกะห์ทรงปิติยินดีต่อฮุจญาจเหล่านี้เป็นอันมาก  พระองค์ได้ต้อนรับพวกเขาอย่างดีตลอดจนยังรับเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายที่พักแก่พวกเขาทั้งในนครมักกะห์และม่าดีนะห์  มุสลิมเหล่านี้ได้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิของพวกเขาโดยได้รับการขนานนามว่า  “ฮัจยี”  พวกเขาเหล่านี้เป็นศิริมงคลของดินแดนแห่งนี้เพราะพวกเขาได้หันสู่กิจการของศาสนาและเผยแผ่ศาสนาให้แพร่หลาย

 

นักเผยแผ่อิสลามโดยรวม ๆ จะมีชื่อเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่า  ซัยยิด  ชะรีฟ  หรือวะลีย์  (เมาลานา)  ซึ่งบางคนสืบเชื้อสายถึงวงศ์วานของท่านศาสดา  (ซ.ล.)  แต่ส่วนใหญ่จะถูกเรียกด้วยชื่อจริงหรือคำขึ้นต้นดังกล่าวอย่างรวม ๆ ซึ่งมีผลอย่างใหญ่หลวงในการดึงดูดผู้คนให้ปฏิบัติตามนักเผยแผ่เหล่านี้  บรรดาหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ตลอดจนบุคคลสำคัญต่างก็ยินดีที่จะเกี่ยวดองกับบุคคลเหล่านี้ด้วยการสมรสเพื่อแสวงหาความมีศิริมงคล  ซึ่งการเกี่ยวดองด้วยการสมรสนั้นมีผลอย่างมากในการเข้ารับอิสลามของชาวอินโดนีเซีย  โดยมากแล้วพ่อค้ามุสลิมจะสมรสกับชนพื้นเมืองและสร้างครอบครัวและให้กำเนิดบุตรหลานที่เป็นมุสลิม 

 

หลักฐานยืนยันที่ได้จากสุสานหลายแห่งซึ่งนักค้นคว้าได้ค้นพบทางตอนเหนือของสุมาตรา  ในรัฐอาเจะห์ , ซัมดะเราะห์  และปาไสย  ต่างก็บ่งชี้ว่าบรรดาเจ้าครองนครรัฐต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ยินดีในการสมรสบุตรีของตนกับลูกหลานของพ่อค้าชาวมุสลิม  และบ่อยครั้งที่บุตรเขยได้สืบทอดบัลลังก์จากผู้เป็นพ่อตาเมื่อเขาสิ้นชีวิตลง  และด้วยวิธีการเช่นนี้  รัฐต่าง ๆ เป็นจำนวนมากได้เปลี่ยนไปรับอิสลาม 

 

กษัตริย์อัลกามิ้ลแห่งอาเจะห์  ซึ่งเราได้กล่าวมาก่อนแล้ว  (สิ้นพระชนม์  607/1210)  ก็เป็นผลมาจากการที่พ่อค้ามุสลิมนามว่าอับดุรเราะห์มานได้สมรสกับราชบุตรีของกษัตริย์อาเจะห์องค์สุดท้ายที่เป็นพวกกราบไหว้รูปปั้น  ซึ่งได้เข้ารับอิสลามก่อนหน้าการสมรสนี้เพียงเล็กน้อย  ครั้นเมื่อกษัตริย์องค์นี้สิ้นพระชนม์อับดุรเราะห์มานผู้นี้กลายเป็นกษัตริย์และทรงพระนามว่า  อัลกามิ้ล  ซึ่งเรารู้ถึงเรื่องนี้จากลายลักษณ์อักษรที่ถูกบันทึกอยู่ที่สุสานของกษัตริย์องค์นี้ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ

 

บรรดาพ่อค้าชาวมุสลิมได้เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนหลายพันดีนารเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์  เพราะการประกอบพิธีฮัจญ์สู่บัยติลลาฮ์  อัลฮะรอมนั้นคือสุดยอดปรารถนาของคนรุ่นหนุ่มสาวชาวมุสลิมอินโดนีเซีย  ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้กลับมาพร้อมคำนำหน้าว่า  “ฮัจยี”  ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงใช้จ่ายอย่างไม่อั้นในการประกอบพิธีฮัจญ์  นำเอาผู้คนเป็นร้อยจากลูกหลานของชนพื้นเมืองลงเรือสำเภาและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาในการเดินทาง  ต่อมาผู้คนเหล่านี้ก็ได้กลับสู่มาตุภูมิในฐานะมุสลิมผู้เคร่งครัดและนักเผยแผ่อิสลามหลังจากเสร็จพิธีฮัจญ์

 

การดำเนินการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในชวา , สุมาตรา และเกาะอื่น ๆ จากหมู่เกาะของอินโดนีเซียได้บรรลุถึงขีดสุดในราวศตวรรษที่  16  อันเป็นช่วงเวลาที่พวกโปรตุเกสได้รุกรานปล้นสะดมภ์หมู่เกาะเหล่านี้  การปฏิบัติตัวของพวกโปรตุเกสเป็นส่วนหนึ่งที่ผันแปรผู้คนมาสู่อิสลาม  บรรดาพ่อค้ามุสลิมและเหล่านักเผยแผ่ได้ยืนเคียงข้างชาวเมืองและเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อวิถีทางดังกล่าวเคียงบ่าเคียงไหล่กับชนพื้นเมืองที่เข้ารับอิสลามด้วยน้ำมือของพวกเขา  นามชื่อแห่งอิสลามมีความเกี่ยวพันกับความยุติธรรม  และช่วยเหลือผู้ที่ถูกอธรรมและปกป้องมาตุภูมิในขณะที่ศาสนาคริสต์มีความเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของพวกโปรตุเกส  ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้รุกรานและปล้นสะดมภ์ 

 

ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงมีแนวร่วมและได้รับการสนับสนุนอย่างใหญ่หลวงจากกรณีดังกล่าว  พวกดัชต์ไม่ค่อยได้ทุ่มเทในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์สักเท่าไหร่ในหมู่เกาะดังกล่าว  หรือแม้กระทั่งในความพยายามที่จะทำให้การรุดหน้าของอิสลามหยุดชะงักลง  ทั้งนี้เพราะเป้าหมายใหญ่ของพวกดัชต์นั้นมุ่งเป้าไปยังการสะสมรวบรวมทรัพย์สมบัติ  ผูกขาดในการขนส่งเครื่องเทศ , ของหอม , งาช้าง และไม้มะค่า  และสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นทรัพยากรของดินแดนแห่งนี้โดยนำเอาสิ่งเหล่านี้ไปสู่กลุ่มประเทศตะวันตก  พวกดัชต์ได้พบว่าการทำการค้ากับชาวมุสลิมเป็นการส่งเสริมในกรณีดังกล่าว 

 

พ่อค้าเหล่านี้ที่มีทั้งชาวอาหรับและชาวอินโดนีเซียต่างก็กระจัดกระจายอยู่ในดินแดนชั้นในของหมู่เกาะต่าง ๆ และมีความสามารถในการรวบรวมผลผลิตจำนวนมหาศาลได้เป็นอย่างดี  ซึ่งผลผลิตทั้งหมดก็จะถูกนำมาขายให้กับศูนย์กลางทางการค้าของพวกดัชต์ตามชายฝั่ง  จากจุดนี้นี่เองพวกดัชต์จึงพบว่าเป็นการดี  สำหรับพวกเขาในด้านการเงินและการค้าขาย  ถ้าหากพวกเขาไม่ไปแข่งขันหรือแทรกแซงกิจการของอิสลาม  เพื่อพวกดัชต์จะได้ทำการค้าอย่างสะดวกและไม่มีอุปสรรค  พวกดัชต์สามารถกอบโกยทรัพยากรจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกได้อย่างมหาศาลมากกว่าที่อังกฤษสามารถกอบโกยจากอินเดียทั้งหมดด้วยนโยบายทางการเมืองเช่นนี้  เพราะพวกเขาไม่ต้องสร้างภาระให้กับตัวเองในการสู้รบปรบมือกับอิสลาม  เหมือนเช่นที่อังกฤษได้กระทำในอินเดีย  หรือเหมือนกับที่ฝรั่งเศสได้กระทำในแอฟริกาเหนือ 

 

พวกดัชต์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ  จากผลกำไรของพวกเขาในการสร้างสาธารณูปโภค  ในขณะที่พวกอังกฤษและฝรั่งเศสได้ดำเนินการตัดถนนและเส้นทางคมนาคมตลอดจนให้ความคุ้มครองเส้นทางและการค้าของพวกเขา  และสร้างความมั่นคงต่ออำนาจทางการเมืองในดินแดนที่ตกอยู่ใต้อาณัติ  โดยเข้าใจเอาว่าพวกเขาจะอยู่ในดินแดนเหล่านั้นตลอดกาล  ส่วนพวกดัชต์นั้นพอใจกับศูนย์กลางทางการค้าที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งอย่างชั่วคราวไม่ถาวร  พวกเขาจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อนำเอาสินค้าไปขายยังยุโรปด้วยราคาอันแพงลิบลิ่ว  ด้วยการวางนโยบายทางการเมืองเช่นนี้ได้ทำให้ฮอลแลนด์กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยอยู่ท่ามกลางกลุ่มประเทศยุโรปถึงแม้ว่าอาณาเขตของฮอลแลนด์นั้นจะมีขนาดเล็กก็ตามพวกดัชต์  (ฮอลแลนด์)  ได้สะสมทองคำ , เพชรพลอย และหนังสัตว์  ตลอดจนสิ่งที่มีราคาแพงลิบลิ่วในประเทศของตน  จนกลายเป็นประเทศที่มีทุนสำรองมากที่สุดในโลก  และยังสามารถเข้าร่วมหุ้นกับบริษัทของกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกาอีกด้วย

 

นักบูรพาคดี  สัญชาติฮอลแลนด์  คือ ซินุก  เฮิร์กเนย์ได้ชี้แนะต่อรัฐบาลฮอลแลนด์ให้ใช้นโยบายดังกล่าว  โดยเขียนบันทึกไว้ในเอกสารภาษาฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า  “มุมมองในการดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อหมู่เกาะอินเดียตะวันออก”  ในข้อเขียนดังกล่าว  ซินุก  ได้เตือนให้รัฐบาลปล่อยชาวมุสลิมให้จมปลักอยู่ในเรื่องราวทางศาสนาของพวกเขา  เพื่อเรื่องการค้าขายและการได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะได้ตกเป็นของฝ่ายเรา  และพวกเขาก็จะได้ไม่สร้างความอึดอัดต่อพวกเรา 

 

ยิ่งไปกว่านั้นนักบูรพาคดีผู้นี้ยังได้แนะนำให้รัฐบาลทำการส่งเสริมการแพร่หลายของศาสนาอิสลามในหมู่เกาะต่าง ๆ เพื่อชาวมุสลิมจะได้จมปลักอยู่กับศาสนาของพวกเขามากยิ่งขึ้นอีกด้วย  พวกดัชต์จึงเสวยสุขอยู่กับทรัพย์สินที่เป็นกำไรจากการค้า  กองเรือสินค้าของดัชต์ได้ล่องทะเลในสภาพที่ที่ระวางเรือว่างเปล่ามุ่งหน้าจากยุโรป  โดยรับเอาบรรดาฮุจญาจชาวอินโดนีเซียจากชายฝั่งต่าง ๆ ของอาหรับและอินเดียด้วยค่าเช่าเพียงเล็กน้อยและส่งบรรดาฮุจญาจเหล่านี้ลงยังเมืองท่าที่ญิดดะห์และยัมบูอ์ 

 

นอกจากนี้พวกดัชต์ยังไม่พยายามนำเอาตัวอักษรลาตินเข้าไปใช้ในดินแดนแห่งนี้  เพื่อจัดพิมพ์ตำราภาษาอินโดนีเซีย  แต่ทว่าพวกดัชต์ได้ดำเนินการส่งเสริมการใช้อักษรอารบิก  ซึ่งถูกใช้ในการเขียนตำราภายในดินแดนอินโดนีเซียมาก่อน หน้าที่ของพวกเขาจะเข้ามามีอำนาจ ภาษาอินโดนีเซียจึงยังคงถูกเขียนด้วยตัวอักษรอารบิกจนกระทั่งไม่นานมานี้ในตรอกข้างมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรยังคงมีตำราภาษามลายู  ,  ชวาและอินโดนีเซียถูกตีพิมพ์ด้วยอักษรอาหรับในโรงพิมพ์หลายแห่ง  และกรุงไคโรในเวลานั้นนับได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการตีพิมพ์ตำราภาษาอาหรับของโลก 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงพบว่า  นักบูรพาคดีซีนูก  เป็นผู้ได้รับใช้อิสลามโดยที่เขาไม่รู้ตัว  ดังนั้นในช่วงศตวรรษที่ 17,18,19 จึงนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการแผ่ขยายอิสลามที่ครอบคลุมอย่างแท้จริงและได้รับเกียรติอย่างสูงสุดในดินแดนดังกล่าว

 

แต่ทว่าพวกดัชต์ก็ได้หันไปสนับสนุนกฎหมายที่อิงขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสำคัญเพื่อขจัดหลักกฎหมายอิสลามให้หมดไป  เฉกเช่นที่พวกฝรั่งเศสได้กระทำในดินแดนตะวันตกของโลกอิสลามในขณะที่พวกเขารณรงค์ต่อต้านอิสลามด้วยการประกาศกฎหมาย  “ธรรมเนียมแห่งชนชาติเบอร์เบอร์”  ในดินแดนตะวันตกไกล (แถบแอลจีเรีย-ตูนีเซีย)