ความมีชาติพันธุ์มลายูโดยสายเลือดของชาวมุสลิมมลายูบางกอก

คำว่า “ชาติพันธุ์มลายูโดยสายเลือด” นั้นเราคงมิได้มุ่งหมายตามคำนิยามของนักมานุษวิทยาหรือนักชาติพันธุ์วิทยา แต่หมายถึงความเป็นชาติพันธุ์มลายูโดยสายเลือดของบรรพบุรุษไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายบิดาหรือฝ่ายมารดา ทั้งนี้หากเราจะสืบค้นถึงชาติพันธุ์มลายูที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ คือ ไม่ปนกับสายเลือดของชาติพันธุ์อื่นเลย ก็คงมิอาจจะหาชาวมลายูที่มีลักษณะเช่นนั้นได้อีกแล้วในปัจจุบัน

 

และโดยข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์แล้ว สายเลือดของชาติพันธุ์มลายูในปัตตานีดารุสสลามเองก็ปะปนกับสายเลือดของชาติพันธุ์อื่นที่มิใช่ชาติพันธุ์มลายูมาก่อนแล้วในอดีต ไม่ได้ต่างอะไรกับชาติพันธุ์ “ไต,ไท” ที่เป็นบรรพบุรษของคนไทยทุกวันนี้ที่ผสมปนเปกับชาติพันธุ์อื่นๆ จนไม่เหลือสายเลือดบริสุทธ์อีกแล้ว ในสายเลือดของคนไทยจึงมีทั้งมอญ เขมร ลาว ฝรั่ง แขก จีน ไม่เว้นแม้กระทั่งแอฟริกัน

 

ในเอกสาร “ตารีค ปาตานี” บันทึกว่า “คนอาหรับและเปอร์เซียจำนวนมากแต่งงานกับคนมลายูที่เมืองปัตตานี…” (หน้า 18-20) ทั้งชาวอาหรับและเปอร์เซียมิใช่ชาติพันธุ์ มลายู และการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์นี้ก็คงเกิดขึ้นกับคนจีนและคนสยามในหัวเมืองมลายูด้วยเช่นกัน

 

ดังนั้นชาวมุสลิมมลายูบางกอกก็คงหลีกหนีไม่พ้นจากการปะปนทางสายเลือดกับชาติพันธุ์อื่นๆ แน่นอนการปะปนทางสายเลือดที่เกิดขึ้นก็มิใชชาวมลายูบางกอกทั้งหมด แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะชาวมลายูโดยลักษณะนิสัยแล้วมักจะเลือกแต่งงานกันในระหว่างกลุ่มประชาคมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ชวา เขมรจาม เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมมลายูบางกอกยังคงรักษาสายเลือดของพวกเขาเอาไว้ ไม่ว่าเป็นทางฝ่ายบิดา หรือมารดาก็ตาม เพราะโดยเงื่อนไขของศาสนาอิสลาม มุสลิมจะแต่งงานกับมุสลิมด้วยกันเท่านั้น คนที่มิใช่มุสลิมจะมีชาติพันธุ์ใดก็ตามเมื่อจะแต่งงานกับคนมุสลิมก็ต้อง “มาโสะ นนายู” คือเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเสียก่อน และเมื่อ “มาโสะ นนายู” แล้วก็กลายเป็นมลายูไปโดยปริยายไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมาสังคมชาวมลายูบางกอกเป็นสังคมปิดและเป็นสังคมที่มีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น

 

การแต่งงานกับคนที่มิใช่มุสลิมแต่เดิมถือเป็นสิ่งที่สังคมในอดีตรังเกียจ เพราะชาวมลายูบางกอกจะถือในความเป็นมุสลิมบะกอ คือมุสลิมแต่เดิมเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สภาพสังคมของชาวมุสลิมมลายูบางกอกเปลี่ยนไปกลายเป็นสังคมเปิด จากเดิมที่ในชุมชนมุสลิมจะมีเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น และเกือบทุกครอบครัวในชุมชนก็จะมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ คือรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร บางชุมชนมีต้นตระกูลอยู่เพียง 2 ถึง 3 ตระกูลก็แต่งงานเกี่ยวดองระหว่างกัน นานๆ ทีจะมีเขยหรือสะใภ้ที่เป็นคนต่างตระกูลหรือต่างกำปง

 

แต่การแต่งงานกับคนต่างศาสนาที่มาโสะ นนายูนั้นก็มีบ้างแต่ไม่มาก โดยมากจะเป็นมอญทางฝ่ายหญิง หรือเป็นคนไทยพุทธเดิมที่เข้ารับอิสลาม ทั้งนี้สังเกตได้ว่า ชาวมลายูถูกนำไปไว้ในพื้นที่ใด ก็จะมีชาวมอญพลัดถิ่นถูกย้ายเข้าไปไว้ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน อย่างกรณีชาวมอญที่บ้านปากเกร็ด ก็จะอยู่ใกล้กับชาวมลายูมุสลิมที่บ้านท่าอิฐ จังหวัดนนทบุรี ที่พระประแดงก็เช่นกัน มีชุมชนมลายูถูกย้ายไปไว้ที่นั่นเช่นเดียวกับชุมชนมอญพระประแดง หรือแม้กระทั่งที่จังหวัดปทุมธานีก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมของชาวมุสลิมมลายูบางกอกกลายเป็นสังคมเปิดเพราะบ้านเมืองมีความเจริญมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มีคนต่างถิ่นต่างศาสนาเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อประกอบอาชีพในบริเวณกำปงของชาวมุสลิมมลายูซึ่งกลายเป็นเจ้าของที่ดินและพื้นที่อันเป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการสร้างบ้านเช่า ห้องเช่า อาคารที่พักอาศัย หรือหมู่บ้านจัดสรร ความเกี่ยวพันข้องแวะกับคนที่มิใช่มุสลิมในกำปงเดิมกับชาวมุสลิมเจ้าของที่ดินจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

 

กอปรกับคตินิยมในการตั้งข้อรังเกียจกับการแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่มุสลิมแต่เดิมลดความเข้มข้นลงจึงเกิดคนมุสลิมมลายูที่ปะปนสายเลือดกับคนกลุ่มอื่นปรากฏขึ้นในเกือบทุกชุมชนของชาวมุสลิมมลายูบางกอกซึ่งชาวมุสลิมใหม่เหล่านี้มีทั้งที่เป็นชาวจีนและชาวไทยพุทธ เมื่อพวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามก็ได้ศึกษาเรียนรู้หลักคำสอนของอิสลามจนมีศรัทธาที่มั่นคงลูกหลานที่เกิดขึ้นในขั้นต่อมาก็เป็นมุสลิมโดยสมบูรณ์

 

ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่มีศรัทธาอ่อนแอและไม่มั่นคงในศาสนาอิสลามอยู่บ้างก็ตาม ดังนั้นความเป็นชาติพันธุ์มลายูโดยสายเลือดสำหรับลูกหลานชาวมลายูบางกอกโดยส่วนใหญ่ยังคงได้รับการรักษาและสืบสานอยู่ต่อไป เพราะพวกเขายังคงแต่งงานและเกี่ยวดองอยู่ในระหว่างคนมุสลิมมลายูหรือมิใช่มลายูก็ตาม ส่วนที่แต่งงานกับคนต่างชาติพันธุ์และต่างศาสนานั้นก็มาโสะ นนายู เกือบทั้งสิ้น  และสายเลือดมลายูในตัวบุตรหลานของพวกเขาก็ยังคงมีอยู่ไม่ว่าจากฝ่ายบิดาหรือมารดาที่เป็นมลายูมุสลิมก็ตาม

 

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ในปัจจุบันมีชาวมลายูบางกอกได้แต่งงานเกี่ยวดองกับลูกหลานของชาวมลายูตานีและจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น เพราะการไปมาหาสู่สะดวกกว่าแต่ก่อน ลูกหลานของพี่น้องมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็นิยมมาศึกษาต่อที่เมืองบางกอก บางคนจบการศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เมืองบางกอกแล้วก็หางานทำอยู่ที่นี่และแต่งงานมีครอบครัวกับชาวมลายูบางกอกในพื้นที่ กรณีเช่นนี้เห็นจะมีมากขึ้นทุกวันซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะเท่ากับเป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ขาดจากกันให้กลับมาผูกพันเกี่ยวข้องกันอีกครั้ง

 

และนั่นก็หมายความว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีคนมลายูรุ่นหนึ่งที่เป็นลูกหลานของคนมลายูตานีและมลายูบางกอกร่วมกัน ชาติพันธุ์มลายูก็ย่อมสืบต่อไปตามวิถีของมันและต่อยอดออกไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนอย่างที่ดาโต๊ะ ลักษมณาแห่ง  มะละกานามว่า ฮังตุวฮได้เคยกล่าวเอาไว้ด้วยประโยคที่เลืองลือว่า “ตะอฺกัน ฮิลัง บังซอ มลายู ดะริดุนยาอินี” (ชาติพันธุ์มลายูไม่มีวันสูญสิ้นไปจากโลกนี้)