ความจริง…จากพระเจ้า? หรือ ความเท็จ…จากชัยฏอน!!! | ศาสนาทั้งหลายนับถืออะไร?

بسم الله الرحمن الرحيم

الحمد لله الذي هدانالهذا وماكنالنهتدى لولا أن هدانالله نشهد أن لاإله إلالله وحده لاشريك له ونشهد أن محمداعبده ورسوله ، اللهم صل وسلم وبارك على النبي المبعوث رحمة للعالمين وعلى آله الطاهرين وصحابته أجمعين

أمابعد ؛

ตามที่พี่น้องของเราได้ฝากข้อความไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ขอให้ช่วยเป็นธุระในการตรวจสอบเนื้อหาและข้อมูลซึ่งปรากฏอยู่ในเว็บไซต์หนึ่งที่ใช้หัวข้อว่า ความจริง…จากพระเจ้า? เนื่องจากเกรงว่าเนื้อหาและข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้ผู้เข้าไปอ่านซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิมเกิดความสับสนและหมิ่นเหม่ต่อการมีหลักศรัทธาและความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) ที่ผิดเพี้ยนและวิปลาสไปจากแนวทางของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ

ทางผู้จัดทำเว็บไซต์ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสิ่งที่พี่น้องของเรากริ่งเกรงเลย หากแต่ว่าภารกิจนั้นมีมาก ส่วนเวลาที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงเอื้ออำนวยให้นั้นมีจำกัด อีกทั้งมีความจำเป็นในการต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาในเว็บไซต์ดังกล่าวให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนเสียก่อน จึงจะทำการวิพากษ์และแจกแจงข้อเท็จจริงว่า อันใดเท็จ อันใดจริงในกาลต่อมา

กระนั้นพี่น้องของเราก็มีใจร้อนรนต่อสิ่งที่ปรากฏในเว็บไซต์นั้น จึงได้ส่งกระทู้มาอีกพร้อมโพสต์ข้อความลงในคอลัมน์ ฝากข้อความ หน้าเว็บไซต์ของเรา แต่เนื่องจากคณะผู้จัดทำเว็บไซต์พิจารณาแล้วว่า เมื่อข้อความที่ถูกโพสต์นั้นสุ่มเสี่ยง เราจึงได้ลบลิงค์เว็บไซต์และข้อความที่ถูกโพสต์ขึ้นไว้นั้นเสีย เกลือกว่าเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของลูกโซ่ที่เชื่อมต่อการเผยแพร่ข้อความหมิ่นเหม่นั้นเสียเอง

มาบัดนี้ ด้วยการเอื้ออำนวยของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เราจึงได้ลงมือปกป้องความจริงและหลักศรัทธาที่ถูกต้องที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานในคัมภีร์ อัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ตลอดจนสิ่งที่บรรดานักปราชญ์ของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺได้อรรถาธิบายไว้ และปัดป้องพร้อมหักล้างสิ่งที่ผู้เขียนลงในเว็บไซต์นั้นได้กล่าวตู่และเจือสมว่าเป็นความจริง…จากพระเจ้า ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว คือความเท็จ…จากชัยฏอนที่ผู้เขียนสำคัญผิดว่าเป็นพระเจ้า!

ในตอนท้ายของข้อเขียนที่ปรากฏในเว็บไซต์ มีข้อความเชิญชวนให้ติดต่อหาความจริงโดยบอกเบอร์โทรศัพท์ และย้ำว่าที่นั่น ไม่ขึ้นกับสถาบัน ไม่ขึ้นกับโต๊ะครู ไม่ได้แยกออกมาเป็นพวก แต่ที่นั่นมีญะมาอะฮฺกับผู้ที่ต้องพบกับความจริงที่อ้างว่ามาจากพระเจ้า แสดงว่าผู้เขียนน่าจะเป็นมุสลิม จึงขอเรียกร้อง ณ จุดนี้เป็นอันดับแรกว่า ขอให้ญะมาอะฮฺของท่านกลับใจ (เตาบะฮฺ) จากสิ่งที่พวกท่านอ้างว่าเป็นความจริงนั้นเสีย นับแต่วินาทีนี้เสียเถิด เพราะสิ่งที่ท่านเขียนไว้นั้น เป็นความจริงเพียงเล็กน้อย แต่เป็นความเท็จและความคลาดเคลื่อนที่เสียหายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับน้ำผึ้งหนึ่งหยดที่ผสมยาพิษเต็มแก้ว

ข้อเรียกร้องนี้เป็นที่เปิดเผย เพราะเป็นข้อความที่ปรากฏในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเมื่อรู้ถึงหูของพวกท่านว่า มีผู้ใดวิพากษ์ข้อความที่ท่านเขียนไว้แล้ว ท่านก็สามารถเข้ามาอ่านได้โดยสะดวก เรามิใช่ศัตรูกับพวกท่าน แต่เราเป็นศัตรูกับสิ่งที่ท่านกล่าวอ้าง

หากว่าท่านยังคงยืนกรานในความเชื่อของท่าน นั่นก็เป็นภาระของท่านที่จะต้องแบกรับในวันแห่งการพิพากษาต่อพระพักตร์ของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ซึ่งท่านกล่าวอ้างว่าพระองค์ทรงดลใจมายังท่าน หากท่านรู้อย่างที่ท่านกล่าวอ้างจริง ก็จงรู้ไว้เสียเถิดว่า การกล่าวตู่ต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นมีโทษสถานใด!

ต่อจากนี้ไป เราจะทำการวิพากษ์และหักล้างข้อเขียนของท่านด้วยการขอความคุ้มครองต่อพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้ทรงรู้ยิ่ง ทรงได้ยินยิ่งจากการล่อลวงของชัยฏอนที่ถูกอัปเปหิจากพระเมตตาของพระองค์ และด้วยพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้ทรงเมตตา กรุณายิ่ง เราขอเริ่มภารกิจของเรา ขอพระองค์ทรงชี้ทางสว่างแก่เราและทรงให้เรามีหัวใจที่มั่นคงในแนวทางของพระองค์


ศาสนาทั้งหลายนับถืออะไร?

บาทหลวง นักปราชญ์ นักวิชาการ บรรดาอุละมะ โต๊ะครู เชค อุสตาส เมาลานา นักตัฟซีร นักฮะดีด นักนิติศาสตร์ นักคิด สำนักคิดฯ    ศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (ดีนนุลลอฮฺ) เรียกร้องไปสู่ความจริง (ดีนนุลฮัก) มีหนึ่งเดียวคือ พระเจ้า ศาสนาแห่งมนุษย์ (ดีนนุลอาดัม) เรียกร้องนำไปสู่ระบบตอฆูต (ดีนนุลตอฆูต) มนุษย์ร้อยคน ร้อยศาสนา ร้อยมัซฮับ ร้อยสถาบันฯ    ความจริงไม่มีสอนจากสถาบันไหนๆ นอกจาก “พระผู้เป็นเจ้า”   (เขียนตามที่เขาพิมพ์ลงเว็บฯ) (1/12)

*ถ้าคำว่า “นับถือ” หมายถึง การอิบาดะฮฺและอิอฺติก็อด (คือศรัทธาและเคารพกราบไหว้เอาเป็นพระเจ้า) ศาสนาอิสลาม อันเป็นศาสนาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือที่ท่านเรียกว่า ดีนนุลลอฮฺ หรือ ดีนนุลฮัก ย่อมมิใช่ศาสนาที่ท่านกล่าวถึง เพราะศาสนาอิสลามไม่ได้ใช้ให้มนุษย์ศรัทธาและเคารพกราบไหว้บรรดาบุคคลที่ท่านยกมากล่าวทั้งหมดนั้น

แต่ถ้าคำว่า “นับถือ” หมายถึง เคารพยกย่องคือไม่ล่วงละเมิด ไม่ล่วงเกิน และยอมรับในคุณงามความดีที่บุคคล เช่น อุละมาอฺ นักตัฟสีร นักหะดีษ นักนิติศาสตร์ เป็นต้น ได้ทุ่มเทกำลังสติปัญญาของพวกเขาในการถ่ายทอดหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอันมีตัวบทจากกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺของท่านรอสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบุคคลดังกล่าวดำเนินตามวิถีของกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ การนับถือตามความหมายที่ว่านี้เป็นคำสอนที่ศาสนาใช้ให้มุสลิมทุกคนปฏิบัติตามและยอมรับในการเป็นผู้สืบสานหลักคำสอนอันเป็นความจริงจากพระเจ้าของบรรดาอุละมาอฺที่แท้จริงเหล่านั้น

ดังที่อัล-กุรอานระบุว่า

يَرْفَعِ الله الذين آمنوامنكم والذين أوتواالعلم درجاتٍ

ความว่า : “(อัลลอฮฺ) จะทรงยกบรรดาผู้มีศรัทธาจากหมู่สูเจ้าให้สูงส่ง และ (จะทรงยก) บรรดาผู้ถูกประทานความรู้ให้สูงส่งหลายระดับขั้น”

(อัล-มุญาดะละฮฺ : 11)


*ศาสนาอิสลามมิได้ใช้ให้มุสลิมนับถือบรรดาอุละมาอฺตามความหมายในเชิงศรัทธาเชื่อมั่นและเคารพกราบไหว้ หรือปฏิบัติตามอุละมาอฺในสิ่งที่ขัดกับกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ และไม่ปรากฏว่ามีอุละมาอฺที่แท้จริงคนใดที่จะบังอาจเรียกร้องผู้คนให้เชื่อและปฏิบัติตามความเห็นของตนที่ขัดกับกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ เพราะนั่นเป็นการก้าวล่วงสิทธิของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในการกำหนดศาสนบัญญัติ และเป็นการละเมิดต่อสุนนะฮฺของท่านรอสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ที่เป็นผู้เผยแผ่และอรรถาธิบายศาสนบัญญัติของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)


*บรรดาอุละมาอฺที่แท้จริงล้วนเป็นธรรมทายาท ผู้สืบสานหลักการของศาสนา (وَرَثَةُالأَنْبِيَاءِ)  ไม่ว่าจะเป็นอุละมาอฺตัฟซีร หะดีษ ฟิกฮฺ ฯลฯ อุละมาอฺในประชาชาติของท่านรอสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นผู้ที่มีสถานภาพแตกต่างจากบรรดาบาทหลวง ปุโรหิต ธรรมาจารย์ของชาวคัมภีร์ (อะฮฺลุลกิตาบ) ซึ่งพวกหลังนี้ ก้าวล่วงสิทธิของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในการวางบัญญัติว่าสิ่งใดอนุมัติและสิ่งใดต้องห้าม (อัล-หะลาล วัล-หะรอม) และพวกเขาบริโภคทรัพย์จากผู้คนโดยมิชอบ และบิดเบือนคัมภีร์ของพระเจ้าด้วยมือของพวกเขา ตลอดจนปกปิดสัจธรรมของพระเจ้า

ดังนั้นกรุณาโปรดอย่าสับสนและนำอุละมาอฺของประชาชาติที่ดีที่สุดนี้ (ค็อยรุล-อุมมะฮฺ) ไปเปรียบเทียบกับนักการศาสนาพวกนั้น ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประณามพวกเขาไว้ในคัมภีร์ อัล-กุรอาน


*ศาสนาแห่งองค์อัลลอฮฺ (دِيْنُ اللهِ) ก็คือ ศาสนาอิสลาม เพราะคำว่า “ดีนุลลอฮฺ” ถูกระบุไว้ในอายะฮฺ 83 สูเราะฮฺ อาลิ-อิมรอน ว่า:

أفَغَيْرَدِيْنِ الله يَبْغُوْنَ وله أَسْلَمَ مَن في السموات والأرض طَوْعًاوَكَرْهًا وإليه يُرْجَعُون

“อื่นจากศาสนาแห่งองค์อัลลอฮฺกระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา ทั้งที่ผู้ซึ่งอยู่ในชั้นฟ้าและผืนแผ่นดินได้ยอมนอบน้อมต่อพระองค์ ทั้งนอบน้อมโดยง่ายและโดยลำบาก และยังพระองค์ พวกเขาจะต้องถูกกลับคืน”

และอายะฮฺที่ 85 สูเราะฮฺอาลิ-อิมรอน ก็ถูกกล่าวตามหลังมาว่า

وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَالإسْلاَمِ دِيْنًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الآخِرة مِنَ الخاسرين

ความว่า : “และผู้ใดก็ตามที่แสวงหาอื่นจากอิสลามมาเป็นศาสนา ก็จะไม่ถูกตอบรับจากผู้นั้นเลย และเขาผู้นั้นในอาคิเราะฮฺเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุน” ความจริงจากพระเจ้าก็คือ อิสลามคือศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ใดแสวงหาศาสนาอื่นจากอิสลาม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ขาดทุนในอาคิเราะฮฺ

และศาสนาแห่งสัจธรรม (دِيْنُ الحَقِّ) ก็คือ ศาสนาอิสลาม เพราะคำว่า ดีนุลหักฺ ถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน เอาไว้ดังนี้

قاتلواالذين لايؤمنونَ بالله ولاباليوم الآخر ولايُحَرِّمُون ماحَرَّم اللهُ ورسولُه ولايدينون دينَ الحق من الذين أوتواالكتاب حتى يُعْطُواالجزيةعن يَدٍ وَهُمْ صاغرون

ความว่า “สูเจ้าทั้งหลายจงสู้รบกับบรรดาผู้ที่พวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและไม่ศรัทธาต่อวันสุดท้าย ไม่ถือว่าสิ่งที่อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์บัญญัติห้ามเอาไว้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและพวกเขาไม่ถือในศาสนาแห่งสัจธรรมจากบรรดาผู้ที่ถูกประทานคัมภีร์จนกว่าพวกเขาจะมอบภาษีญิซยะฮฺจากความสามารถ (หรือโดยการกำหราบ) ในสภาพที่พวกเขาต่ำต้อย (หรือยอมจำนนต่อรัฐอิสลาม)”

(อัต-เตาบะฮฺ : 29)

ในอายะฮฺนี้ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีบัญชาให้ชาวมุสลิมสู้รบกับชาวคัมภีร์ (อะฮฺลุลกิตาบ) ซึ่งไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว แต่พวกเขาเชื่อว่านบีอีซา (อ.ล.) เป็นพระเจ้าหรือเป็นหนึ่งในสามของพระเจ้า และพวกเขาไม่ถือตามศาสนาแห่งสัจธรรม นัยของอายะฮฺนี้จึงบ่งถึงศาสนา 2 ฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งคือผู้ที่เชื่อในศาสนายูดาย (ยะฮูดียะฮฺ) ซึ่งกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาคือพวก สะดูสี (เศาะดูกียูน) ไม่เชื่อในวันสุดท้าย และศาสนาคริสต์ (มะสีหิยะฮฺ) ซึ่งพวกเขาไม่ถือตามธรรมบัญญัติในคัมภีร์เก่าที่ห้ามบริโภคเนื้อสัตว์หลายชนิด แต่พวกเขาเลือกที่จะห้ามบริโภคและงดเว้นจากเพียงบางประการเท่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งคือ ฝ่ายศาสนาแห่งสัจธรรม คือศาสนาอิสลาม ซึ่งมุสลิมยึดถือและถูกบัญชาให้สู้รบกับฝ่ายแรกจนกว่าพวกฝ่ายแรกจะยอมจ่ายภาษีญิซยะฮฺและยอมอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม

อายะฮฺที่ระบุคำว่า ดีนุลหักฺ ต่อมาคือ

هوالذين أرسل رَسُوْلَه بالهدى ودين الحق ليظهره على الدين كله ولوكره المشركون

ความว่า “พระองค์คือพระผู้ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์มาด้วยทางนำและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นปรากฏเด่นชัดเหนือศาสนาทั้งปวง และถึงแม้ว่าบรรดาพวกตั้งภาคีจะไม่พึงใจก็ตาม”

(อัตเตาบะฮฺ : 32)

ศาสนทูตที่พระองค์ทรงส่งมาก็คือนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทางนำที่ท่านนำมาประกาศก็คือคัมภีร์อัล-กุรอาน และศาสนาแห่งสัจธรรมก็คือ อิสลาม ซึ่งมีหลักการทั้งในด้านความเชื่อและ การปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ มีอัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นธรรมนูญที่ชัดเจน เป็นที่ประจักษ์และโดดเด่นยิ่งกว่าศาสนาใดๆ

นอกเหนือจากคุณลักษณะของศาสนาอิสลามที่ถูกให้คุณลักษณะว่า เป็นศาสนาแห่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) -ดีนุลลอฮฺ- และศาสนาแห่งสัจธรรม -ดีนุลหักฺ- แล้วในคัมภีร์อัล-กุรอานยังให้คุณลักษณะของศาสนาอิสลามอีกว่า ศาสนาแห่งความเที่ยงตรง (อัด-ดีนุลก็อยฺยิมฺ), ศาสนาแห่งหลักการซึ่งมีความเที่ยงตรง มีความยุติธรรม และมีความละเอียดรัดกุม (ดีนุล-ก็อยยิมะฮฺ) และศาสนาแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง (อัด-ดีนุลคอลิศ) เป็นต้น

*เมื่อเราพูดถึงศาสนาอิสลาม เรามุ่งหมายถึง ศาสนาของอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นสัจธรรม เป็นศาสนาที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงตรัสรับรองว่า

إن الدين عند الله الإسلام

ความว่า “แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคือ อิสลาม”

(อาลิ-อิมรอน : 19)

เมื่อศาสนา ณ อัลลอฮฺมีหนึ่งเดียวคือ ศาสนาอิสลาม ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย ในการพูดถึงศาสนาของมนุษย์ (ดีนุนนาสฺ) เพราะมนุษย์ก็คือมนุษย์ เป็นสิ่งถูกสร้าง เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ มนุษย์เป็นผู้ปฏิบัติตาม อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสั่งใช้ มนุษย์จึงไม่อาจก้าวล่วงสิทธิของอัลลอฮฺด้วยการตั้งศาสนาขึ้นมาเอง ถึงแม้ว่ามนุษย์จะอ้างว่าตนสามารถคิดตั้งศาสนาขึ้นมาได้ นั่นก็ไม่ใช่ศาสนาอิสลาม มิใช่ศาสนา ณ พระองค์อัลลอฮฺ

แน่นอนเราไม่คัดค้านว่าศาสนาที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเองเป็นศาสนาแห่งฏอฆูต เพราะฏอฆูตก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาโดยก้าวล่วงและละเมิดต่อสิทธิของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไม่ว่าฏอฆูตนั้นจะเป็นวัตถุหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นสิ่งถูกสร้าง เมื่อศาสนาที่แท้จริงคืออิสลาม เป็นศาสนาหนึ่งเดียว ณ พระองค์อัลลอฮฺ จึงป่วยการที่จะพูดว่า “มนุษย์ร้อยคนร้อยศาสนา ร้อยมัซฮับ ร้อยสถาบัน” เพราะศาสนาทั้งร้อยนั้น มิใช่ศาสนาของอัลลอฮฺ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่ละคนในร้อยคนนั้นมีความเข้าใจว่าเป็นศาสนาของพระองค์ ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้หรือไม่ใช่ก็ได้

ในทำนองเดียวกัน มัซฮับก็คือ ความเข้าใจของคนที่สังกัดมัซฮับ ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่มัซฮับที่ตนสังกัดนั้น ก็มีหนึ่งเดียว ไม่ได้แยกไปตามจำนวนของคนที่สังกัดมัซฮับ สถาบันก็เป็นเรื่องในทำนองเดียวกัน คำพูดที่คุณยกมาเป็นคำพูดของคนที่ไม่แยกแยะว่าอะไรคือศาสนาที่แท้จริง และอะไรคือความเข้าใจของแต่ละคนที่ถือศาสนานั้นๆ ศาสนาและหลักการของศาสนากับความเข้าใจของบุคคลเป็นคนละเรื่องกัน


หากพวกคุณไม่แยกแยะอย่างที่ว่า เราก็ย่อมกล่าวได้เช่นกันว่า คุณก็เป็นหนึ่งในร้อยคนนั้น และถ้าญะมาอะฮฺของคุณมีร้อยคน ศาสนาของพวกคุณก็มีร้อยศาสนาเช่นกัน หากพวกคุณกล่าวว่า : ไม่เลย! ญะมาอะฮฺของเราทั้งร้อยคนนั้นมีศาสนาหนึ่งเดียวเหมือนกัน คือศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (ดีนุลลอฮฺ-ดีนุลหักฺ) เราก็กล่าวได้เช่นกันว่า : ไม่เลย! ชาวมุสลิม พี่น้องของเราทั้งร้อยคนนั้นมีศาสนาหนึ่งเดียวเหมือนกัน คือศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า คือศาสนาอิสลาม ศาสนาแห่งสัจธรรม!

ความจริงเป็นสิ่งที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงตรัสว่า

اَلحَقٌّ مِنْ رَبِّكَ فَلاَ تَكُوْنُوْنَنَّ مِنَ المُمْتَرِيْن

ความว่า “อันความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ฉะนั้นจงอย่าเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่คลางแคลงใจ”

(อัล-บะกอเราะฮฺ 47)

คัมภีร์อัล-กุรอาน คือ ความจริงที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) สุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็คือ ความจริงที่มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ความจริงจากแหล่งข้อมูลอันเป็นสัจธรรมทั้งสองถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง เช่น จากเศาะหาบะฮฺผู้รับความจริงนั้นมาจากท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) รับมาจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ด้วยการวะฮียฺ แล้วชนรุ่นตาบีอีนก็รับมาจากเศาะหาบะฮฺ ชนรุ่นตาบีอิตตาบีอีนก็รับมาจากชนรุ่นก่อนจนกระทั่งสืบทอดมาถึงชนรุ่นหลัง

ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงที่มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพราะความจริงนั่นเอง พวกเราจึงถูกใช้ให้กำชับกัน (وَتَوَاصَوْابِالحَقِّ) ตราบใดที่พวกเรากำชับในระหว่างพี่น้องผู้ศรัทธาด้วยความจริงอันมีที่มาจากคัมภีร์ อัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะมีสถาบัน จะสังกัดมัซฮับ หรือไม่มีสถาบัน จะไม่สังกัดมัซฮับ (เช่นบรรดาอุละมาอฺ มุจญตะฮิดีน) นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ

สำคัญอยู่ที่ว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่สั่งสอนหรือสิ่งที่เรียนรู้นั้นเป็นความจริงที่มาจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็เพียงพอแล้วในการยึดถือว่านั่นคือความจริง ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีสถาบันจะไม่สั่งสอนหรือไม่พูดความจริง หรือคนที่ไม่มีสถาบัน ไม่สังกัดหรือขึ้นกับโต๊ะครูจะต้องเป็นผู้พูดความจริงเสมอไป เรื่องสถาบันหรือสำนักมิใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่สาระแห่งความจริงต่างหาก และดูเหมือนพวกคุณจะเน้นย้ำว่าความจริงไม่มีสอนจากสถาบันไหนๆ เหมือนกับว่าสิ่งที่สอนกันตามสถาบันไม่ใช่ความจริง

แล้วสิ่งที่พวกคุณอ้างว่าเป็นความจริงจากพระเจ้านั้น คุณรู้ได้อย่างไร หากพวกคุณไม่เรียนรู้คัมภีร์อัล-กุรอานและศึกษาสุนนะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ถ้าความจริงไม่มีสอนจากสถาบันไหนๆ แล้วพวกคุณตั้งญะมาอะฮฺทำไม? หรือว่าพวกคุณได้รับวะฮียฺโดยตรงจากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) โดยไม่ต้องศึกษาหลักการของศาสนาที่มีระบุไว้ในอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ กระนั้นเราก็พบว่าสิ่งที่พวกคุณเขียนไว้นั้นเป็นสิ่งที่พวกคุณสอนกันในญะมาอะฮฺของพวกคุณ ญะมาอะฮฺของพวกคุณก็คือสถาบันนั่นเอง!