สภาพของการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ

“มนุษย์ลุกขึ้นออกมาจากกุโบร์ในสภาพเปลือยกายทุกคนรวมทั้งท่านรอซูลด้วยหรือ? และทำไมท่านจึงไม่ทราบว่าตัวเองฟื้นแล้วพร้อมคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ลุกขึ้นมาฟื้นพร้อมกัน ดังกุรอานชี้แจงว่า “และบรรดาผู้ศรัทธาได้บอกว่า แน่นอนพวกท่านได้พำนักอยู่ตามกำหนดของอัลเลาะฮ์จนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ ดังนั้นนี่คือวันฟื้นคืนชีพ แต่พวกท่านไม่เคยรู้” (หน้า 3 บรรทัดที่ 10 ลงมาจากข้างบน)

 


*เมื่อท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกว่า :

يُحْشَرُالنَّاسُ يَوْمَ القِيَامَةِ حُفَاةً عُرَاةً غُرْلاً

“มนุษย์จะถูกไล่ต้อน (สู่ทุ่งมะหฺชัร) ในวันกิยามะฮฺในสภาพที่เปลือยเท้า เปลือยกาย ไม่ได้ถูกขลิบหนังหุ้มปลายองคชาติ” (บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺและมุสลิม) เมื่อท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) ได้ยินท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวเช่นนั้น ท่านหญิงจึงกล่าวว่า : ผู้ชายและผู้หญิงทั้งหมด (มาอยู่รวมกัน) พวกเขาจะมองดูกันและกัน? ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จึงกล่าวว่า :

يَاعَائِشَةُ اَلأَمْرُ أَشَدُّ مِنْ أَنْ يَنْظُرَ بَعْضُهُمْ إِلى بَعْضٍ

“โอ้อาอิชะฮฺ เรื่องราว (ในวัน) นั้นรุนแรงเกินกว่าการที่พวกเขาจะมองดูซึ่งกันและกัน” (รายงานพ้องกันโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นผู้สัจจริง สิ่งที่ท่านกล่าวก็ย่อมเป็นความจริงตามนั้น และนั่นเป็นเรื่องราวหรือสภาพที่จะเกิดขึ้นในวันกิยามะฮฺ ซึ่งมีสภาพที่แตกต่างจากสภาพของโลกนี้ เพราะในวันกิยามะฮฺไม่ได้มีการบังคับใช้หลักการที่บังคับใช้ในโลกนี้โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องปกปิดร่างกายหรือการเข้าสุหนัตอีก และสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะมาใส่ใจในเรื่องการเปลือยกายหรือการมองดูอวัยวะพึงสงวน (เอาเราะฮฺ) ในระหว่างกัน

แต่การเปลือยกายก็ไม่ได้ปรากฏอยู่เช่นนั้นตลอดไป เพราะมีอัล-หะดีษระบุว่า ในเวลาต่อมา บรรดาผู้ประพฤติดีก็จะถูกสวมใส่อาภรณ์ที่ล้ำค่า และมนุษย์คนแรกที่จะถูกสวมใส่อาภรณ์จากสรวงสวรรค์ก็คือ นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) -บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ รายงานจากอิบนุอับบาส-

เมื่อสภาพการเปลือยกายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนรวมถึงท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ด้วยและเป็นสภาพในวันกิยามะฮฺ พวกคุณก็อย่าได้เอาสภาพและหลักปฏิบัติที่ถูกบังคับใช้ในโลกนี้ไปกำหนดสภาพที่เกิดขึ้นในวันกิยามะฮฺ เพราะเป็นคนละสภาพกัน เมื่อสภาพแตกต่างกันก็ย่อมไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกันได้ จึงไม่มีความจำเป็นอันใดในการตั้งคำถามดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย

*เมื่อมีอัล-หะดีษระบุว่า ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) คือบุคคลแรกที่สุสานของท่านแยกออก (ฟื้นคืนชีพจากสุสาน) –บันทึกโดยมุสลิม- และท่านเป็นบุคคลแรกที่ฟื้นคืนชีพภายหลังการเป่าสังข์ที่ทำให้ทุกชีวิตฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ยกเว้นผู้ที่อัลลอฮฺทรงมีพระประสงค์ยกเว้นเอาไว้ จากการสิ้นชีวิตเมื่อมีการเป่าสังข์ครั้งแรก -บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺและมุสลิม- ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ระบุชัดเจนว่า

فَأَكُوْنُ أَوَّلَ مَنْ يُبْعَثُ

“ดังนั้น ฉันจะเป็นบุคคลแรกที่ถูกฟื้นคืนชีพ”

เราก็ต้องเชื่อว่านั่นเป็นความจริง มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ระบุเอาไว้ว่า ท่านไม่ทราบว่าบุคคลผู้นั้นได้รับการยกเว้นหรือว่าฟื้นขึ้นก่อนท่าน (ญามิอุ้ลอุศูล 8/513 หะดีษเลขที่ 6308) บุคคลผู้นั้นคือนบีมูซา (อ.ล.)

ดังนั้นการตั้งคำถามของพวกคุณว่า “และทำไมท่านจึงไม่ทราบว่าตัวเองฟื้นคืนชีพแล้วพร้อมคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ลุกขึ้นมาพร้อมกัน” จึงเป็นคำถามที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับความจริงที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้บอกเอาไว้ เพราะท่านรู้อยู่แล้วตามที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีวะฮียฺมาบอกแก่ท่านว่า ท่านคือบุคคลแรกที่จะฟื้นคืนชีพจากสุสานในวันกิยามะฮฺ เมื่อท่านทราบอยู่แล้วจะบอกว่าท่านไม่ทราบได้อย่างไร?

และเมื่อท่านเป็นบุคคลแรกที่ฟื้นคืนชีพ แล้วจะบอกว่าท่านฟื้นคืนชีพพร้อมกับคนอื่นๆ ได้อย่างไร? การที่ท่านเป็นบุคคลแรกก็แสดงว่าท่านฟื้นคืนชีพก่อนทุกคน มีเพียงนบีมูซา (อ.ล.) เท่านั้นที่ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ระบุว่า ท่านไม่ทราบว่า นบีมูซา (อ.ล.) ฟื้นคืนชีพก่อนท่านหรือไม่! ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่รู้ตัว ไม่ทราบว่าฟื้นคืนชีพแล้วอย่างที่พวกคุณกล่าวอ้าง

*พวกคุณอ้างอายะฮฺที่ 56 จากสูเราะฮฺ อัร-รูม มาประกอบว่า : …ดังกุรอานชี้แจงว่า “และบรรดาผู้ศรัทธาได้บอกว่า แน่นอนพวกท่านได้พำนักอยู่ตามกำหนดของอัลเลาะฮ์ จนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ ดังนั้นนี่คือวันฟื้นคืนชีพ แต่พวกท่านไม่เคยรู้ (หน้า 3 บรรทัดที่ 11-12 จากข้างบน) การตัดตอนเนื้อความจากอัล-กุรอานนำมาประกอบเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของพวกคุณเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งในข้อเขียนของพวกคุณ ซึ่งทำให้ความจริงจากพระเจ้ากลายเป็นสิ่งวิปลาสไป

เพราะความจริงที่ปรากฏในอัล-กุรอาน ก็คือต้องย้อนกลับไปอ่านอายะฮฺก่อนหน้านั้นคือ อายะฮฺที่ 55 ของสูเราะ อัร-รูม และอ่านอายะฮฺหลังจากนั้นคือ หลังจากอายะฮฺที่ 56 ซึ่งพวกคุณยกมาประกอบด้วย เพราะเป็นเนื้อหาเดียวกัน ดังที่อัล-กุรอานระบุว่า :

وَيَوْمَ تَقُوْمُ السَّاعَةُ يُقْسِمُ المُجْرِمُوْنَ مَالَبِثُوْا غَيْرَ سَاعَةٍ كذٰ لِكَ كَانُوْا يُؤْفَكُوْنَ ٭ وَقَالَ الَّذِيْنَ أُوْتُواالعِلْمَ وَالإِيْمَانَ لَقَدْ لَبِثْتُمْ فِي كِتَابِ اللهِ إِلى يَوْمِ البَعْثِ فَهٰذَا يَوْمُ البَعْثِ وَلٰكِنَّ كُمْ كُنْتُمْ لاَتَعْلَمُوْنَ ٭ فَيَوْمَئِذٍ لاَيَنْفَعُ الَّذِيْنَ ظَلَمُوْا مَعْذِ رَتُهُمْ وَلاَهُمْ يُسْتَعْتَبُوْنَ ٭

ความว่า : “และวันที่โมงนั้น ยามนั้น จะเกิดขึ้น (วันกิยามะฮฺ) บรรดาผู้กระทำอาชญากรรม (จากบรรดาผู้ตั้งภาคีและผู้ที่ฝ่าฝืน) จะสาบานว่าพวกเขาไม่ได้พำนักอยู่ในโลกและสุสานนอกจากชั่วเวลาหนึ่ง เช่นนั้นแหละพวกเขาเคยผินออก (จากการยอมรับความจริงในการพำนักอยู่ในสุสานและการปฏิเสธการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน) และบรรดาผู้ที่พวกเขาถูกนำมาซึ่งความรู้และการศรัทธากล่าวว่า แน่แท้พวกท่านพำนักอยู่ในบันทึก (อัล-เลาหุล มะหฺฟูซ) จวบจนวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ดังนั้นนี่คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ แต่พวกท่านเคยไม่รับรู้มาก่อน วันนั้นแหละย่อมไม่ยังประโยชน์ต่อบรรดาผู้อธรรม ซึ่งการแก้ตัวของพวกเขาและพวกเขาจะไม่ถูกร้องขอให้กลับตัวอีก”

(อัร-รูม : 55-57)

สิ่งที่อัล-กุรอานระบุเอาไว้ในบรรดาอายะฮฺข้างต้นบ่งชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ในวันกิยามะฮฺซึ่งบรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพจะกล่าวสาบานว่า ช่วงเวลาของพวกเขาในโลกนี้และช่วงเวลาหลังความตายในบัรซัคช่างสั้นนัก เวลาที่พวกเขากล่าวคำสาบานจึงเป็นช่วงเวลาภายหลังการฟื้นคืนชีพ และ อัล-กุรอานก็ระบุถึงคำพูดของบรรดาผู้ศรัทธาที่กล่าวกับบรรดาผู้ปฏิเสธในวันกิยามะฮฺว่า เวลาของโลกดุนยา (อายุขัย) และเวลาในโลกบัรซัค (หลังสิ้นอายุขัย) จวบจนถึงเวลาที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺเป็นสิ่งที่เป็นไปตามการกำหนดในบันทึกของพระเจ้าคือ อัลเลาหุล มะหฺฟูซฺ

แล้วผู้ศรัทธาก็ย้ำกับบรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพว่า วันนี้คือวันกิยามะฮฺที่พวกท่านถูกให้ฟื้นคืนชีพ ซึ่งขณะมีชีวิตอยู่ในดุนยาพวกท่านไม่ยอมรับรู้ ไม่ยอมศรัทธา และกล่าวหาว่าเป็นเรื่องโกหก และเมื่อพวกท่านได้ถูกให้ฟื้นคืนชีพในวันนี้ (คือวันกิยามะฮฺ) แล้วก็สายเกินแก้แล้ว! นี่คือสาระสำคัญที่ได้จากอายะฮฺข้างต้นตามที่อัล-กุรอานบอกให้เราทราบถึงสภาพของผู้ปฏิเสธในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ไม่ใช่เป็นเรื่องในขณะนี้หรือวันนี้ที่อยู่ใน พ.ศ. 2554/2011เพราะประโยคที่ว่า “ดังนั้น นี่คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ (فَهذَايَوْمُ البَعْثِ) คำว่า “นี่คือ” (هَذَا) บ่งชี้ถึงวันนั้น โมงนั้นที่มนุษย์จะฟื้นคืนชีพ (وَيَوْمَ تَقُوْمُ السَّاعَةُ) ไม่ได้หมายถึง วันนี้ ที่พวกเรากับพวกคุณกำลังเขียนโต้ตอบกันอยู่!

เพราะผู้ปฏิเสธทั้งหลายในวันนี้ ยังคงนับวันนี้อยู่ในปฏิทินของพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธวันนี้ใน พ.ศ. นี้ แต่พวกเขาปฏิเสธวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งเมื่อถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ บรรดาผู้ศรัทธาจึงตอกย้ำกับพวกปฏิเสธวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “วันนี้ หรือ นี่คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพที่พวกท่านเคยปฏิเสธมาก่อนในดุนยานั่นไง” วันที่บรรดาผู้ศรัทธาจะกล่าวถ้อยคำดังกล่าวว่า วันนี้ หรือนี่คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ นั่นคือวันกิยามะฮฺภายหลังการเป่าสังข์ครั้งที่สองที่มนุษย์จะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง เพราะไม่มีผู้ศรัทธาคนใดกล่าวกับพวกปฏิเสธการฟื้นคืนชีพใน พ.ศ.นี้ว่า วันนี้ (ตรงกับวันจันทร์ที่…เดือน…พ.ศ….) เป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีพ จะมีก็แต่พวกคุณนั่นแหละที่ว่าอย่างนั้น!