ชาวเปอร์เซียถามถึงเหตุชัยชนะของชนมุสลิม
พวกเปอร์เซีย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลกในยุคร่วมสมัยกับการอุบัติขึ้นของอิสลามก็เกิดความสงสัยเช่นเดียวกับพวกโรมันภายหลังความปราชัยของเปอร์เซียให้แก่ชนมุสลิมในยุคแรกพวกเขาต้องการทราบว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชนมุสลิมมีพลังกล้าแข็งจนสามารถปราบปรามกองทัพเปอร์เซียลงได้อย่างราบคาบ ก่อนการล่มสลายของจักรวรรดิเปอร์เซีย ในสมัยราชวงศ์แซสซานิด (ซาซานียะห์) โดยมีคุซโร (กิซรอ) ผู้ทรงพระนามว่า ยัซดะญัรด์ ที่ 3 เป็นจักรพรรดิเปอร์เซียองค์สุดท้าย
ชนมุสลิมได้สร้างความปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่าแก่กองทัพเปอร์เซียอันทรงแสนยานุภาพ เฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิอัลกอดีซียะห์ (ฮ.ศ.14/ค.ศ.635) และสมรภูมินะฮาวันด์ (ฮ.ศ.21/ค.ศ.642) ซึ่งกองทัพเปอร์เซียได้รับความปราชัยอย่างย่อยยับพวกเขาจึงได้ส่งบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยบุตรชายของดุฮกอน (ผู้ครองแคว้น) คนหัวปีและเจ้าพนักงานประจำวิหารแห่งอัคคีคนหนึ่งพร้อมด้วยบะฮ์รอมผู้เป็นแม่ทัพของเปอร์เซียทั้งหมดได้ปลอมตัวและเดินทางรอนแรมจนถึงนครมะดีนะฮฺ
ครั้นเมื่อเข้าสู่ตัวเมืองมะดีนะฮฺ คนกลุ่มนี้ก็ไม่พบว่ามีมุสลิมคนใดเลยที่พอจะสอบถามพูดคุยด้วยได้ พวกเขาต่างก็ถามกันเองว่า พวกมุสลิมไปไหนกันหมดล่ะ? ครั้นต่อมาพวกเขาก็ได้คำตอบว่า “ชาวมุสลิมกำลังนมัสการอยู่ในมัสญิดเป็นหมู่คณะโดยพวกเขาได้ละทิ้งบ้านช่องและร้านรวงของพวกเขาไว้ ตลอดจนทุกสิ่ง” ต่อมาชาวเปอร์เซียทั้งสามคนก็ได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ท่ามกลางชนมุสลิมในนครมะดีนะฮเป็นระยะเวลานานพอสมควร เพื่อที่พวกเขาจักได้ทราบสภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนมุสลิมมากขึ้น
ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ความกระจ่างเกี่ยวกับข้อเร้นลับแห่งพลังแฝงของชาวมุสลิมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพวกเขาขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาพบว่าชาวมุสลิมใช้ชีวิตอย่างเสมอภาค มิได้แบ่งชนชั้นวรรณะ บ่อยครั้งที่ชนเปอร์เซียทั้งสามได้พบเห็นว่าผู้นำปวงชนผู้ศรัทธา คือ ท่านอุมัร อิบนุ อัลคอตตอบ (ร.ฎ.) กระทำตัวเหมือนปุถุชนธรรมดาคน ๆ หนึ่ง ท่านมักนอนหลับอยู่ที่ข้างอาคารมัสญิดของท่านศาสนทูต โดยไม่มีเหล่าทหารองครักษ์คุ้มกันความปลอดภัย ไม่มีข้าราชบริพารหรือวงศาคณาญาติมาห้อมล้อมคอยปรนนิบัติพัดวี และพวกเขายังเคยเห็นท่านอุมัร (ร.ฎ.) ตัดสินคดีความแก่ผู้คนอย่างยุติธรรม และทำโทษบุตรชายของท่านเอง ตามข้อตัดสินของศาสนาโดยไม่มีอภิสิทธิ์อันใดในการยกเว้น
ชาวเปอร์เซียทั้งสามเกิดความพิศวงเป็นอันมากต่อศาสนาอิสลามซึ่งจรรโลงสร้างผู้คนเหล่านั้นให้มีวิถีชีวิต เช่นนี้ และทราบความจริงเกี่ยวกับข้อเร้นลับในชัยชนะของชนมุสลิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดและอุทิศตนเพื่อศาสนาของตน มาบัดนี้ชาวเปอร์เซียทั้งสามคนก็มิอาจฝืนหัวใจของตนได้อีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดได้พร้อมใจกันประกาศตนเข้ารับอิสลามอย่างดุษฎีในที่สุด
เช่นนี้แหละ เหล่าผู้เป็นปรปักษ์ต่ออิสลามในยุคก่อนได้บรรลุถึงความจริงที่ว่า พลังความเข้มแข็งของชนมุสลิมนั้นคือศาสนาของพวกเขานั่นเอง
นายเฟชเชอร์ นักประวัติศาสตร์ชาวคริสเตียนได้กล่าวว่า : “ศาสนาอิสลามได้มีส่วนขับเคลื่อนชนอาหรับมุสลิมด้วยพลังเฉพาะตัวที่ก่อเกิดความมีชีวิตและความมั่นคงอย่างไร้ขอบเขต มาตรว่าไม่มีพลังเช่นนี้ซึ่งเกิดขึ้นจากสายสัมพันธ์ทางศาสนาที่เป็นปึกแผ่น แน่นอนชาวอาหรับก็จำต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนซึ่งหากไม่มีกรณีเช่นนี้ชัยชนะอันระลอกแล้วระลอกเล่าย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้
และมาตรแม้นว่าไม่มีจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพแผ่ซ่านในหมู่ชนอาหรับโดยมีเพียงแต่ความกระหายสงครามและทรัพย์สงครามแล้วไซร้ แน่นอนชาวอาหรับย่อมมิอาจเอาชนะความพึงพอใจของชาวซีเรีย ชาวอียิปต์ เปอร์เซีย และชนชาติเบอร์เบอร์ ต่อการปกครองของพวกเขาได้เลย ฉนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าส่วนสำคัญจากความสำเร็จของชาวอาหรับในการพิชิตและการสงครามของพวกเขา ล้วนแต่กลับสู่การปรากฏขึ้นของศาสนาใหม่ในใจกลางดินแดนของพวกเขา”
(ประวัติศาสตร์ยุโรป ยุคกลาง หน้า 63) อ้างจากหนังสือ “พึงระวัง กลยุทธิ์ใหม่ในการเผชิญหน้ากับอิสลาม” ดร. ซะอ์ดุดดีน อัซซัยยิดซอและห์ หน้า 28-30