ชายผู้แปรเปลี่ยนวิถีแห่งศรัทธาและการบริโภค

               ครั้งหนึ่งกองทหารม้าของท่านศาสนทูต ได้ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจของทหาร และจับชายผู้หนึ่งจากเผ่าบะนู ฮะนีฟะห์  เป็นเชลยโดยที่เหล่าทหารของท่านศาสนทูต ไม่รู้ว่าเขาผู้นี้เป็นใคร! จวบจนเมื่อพวกเขานำเชลยผู้นี้มายังท่านศาสนทูต พระองค์ก็ได้ทรงกล่าวขึ้นว่า : พวกท่านทราบหรือไม่ว่า บุคคลที่พวกท่านจับมาเป็นเชลยนี้คือ ซุมามะห์ บุตร อะซาล คนเผ่าบะนู ฮะนีฟะห์ ขอพวกท่านจงปฏิบัติกับเชลยผู้นี้อย่างดีเถิด!


              
“หลังจากพระองค์ทรงสั่งการณ์เช่นนั้นต่อเหล่าสาวกแล้ว พระองค์ได้กลับมายังครอบครัวของพระองค์และทรงสั่งว่า : พวกท่านจงรวบรวมอาหารเท่าที่พวกท่านมีอยู่ และจงสั่งอาหารนั้นไปยังซุมามะห์ ผู้ตกเป็นเชลยเถิด” พระองค์ยังได้ทรงใช้ให้นำแม่อูฐ ที่มีน้ำนมมากตัวหนึ่งมาคอยรีดเอาน้ำนมเพื่อให้ซุมามะห์ดื่มกิน


              
ปรากฏว่าซุมามะห์รับประทานอาหารทั้งหมดที่รวบรวมมาให้ตลอดจนน้ำนมอูฐจนหมดสิ้นก็ยังไม่อิ่มเอมเสียที ท่านศาสนทูต  (ซ.ล.) จึงได้มาหาซุมามะห์และกล่าวขึ้นแก่เขาว่า : “โอ้ ซุมามะห์จงเข้ารับอิสลามเถิด”  ซุมามะห์ จึงกล่าวขึ้นอย่างโอหังว่า :  พอเสียทีเถิด มุฮัมมัด ! ป่วยการที่ท่านจะเรียกร้องฉันเข้าสู่อิสลาม ท่านจักกระทำการอันใดก็ตามใจท่านเถิด ถ้าหากว่าท่านจะเข่นฆ่าฉัน ท่านก็ได้เข่นฆ่าผู้มีหนี้เลือดเป็นแน่แท้ และถ้าหากว่าต้องการเอาค่าไถ่ตัวก็เรียกร้องมาเลยตามที่ท่านมีความประสงค์”


              
เมื่อซุมามะห์ยืนกรานเช่นนั้นเขาจึงถูกคุมตัวเอาไว้ในฐานะเชลยอย่างไม่มีกำหนด ต่อมาในภายหลังมีอยู่วันหนึ่งท่านศาสนทูต (ซ.ล.) ได้มีคำสั่งให้ปล่อยซุมามะห์เป็นไทแก่ตัว  ครั้นเมื่อเหล่าสาวกได้ปล่อยซุมามะห์ให้เป็นไท ซุมามะห์ก็ออกเดินทางจนมาถึง ตำบลอัลบะเกียะอ์และที่นั่นซุมามะห์ได้ชำระร่างกายอย่างหมดจดและมุ่งหน้าหวนกลับมาหาท่านศาสนทูต  (ซ.ล.) โดยให้สัตยาบันกับพระองค์ในการเข้ารับอิสลาม ซุมามะห์ อยู่กับท่านศาสนทูต (ซ.ล.) จนถึงเวลาเย็น เหล่าสาวกได้นำอาหารมาเลี้ยงซุมามะห์ ปรากฏว่าซุมามะห์ได้รับประทานอาหารเพียงแต่น้อย ตลอดจนได้ดื่มน้ำนมอูฐเพียงนิดหน่อยเท่านั้น


ชาวมุสลิมที่เห็นการปฏิบัติตัวของซุมามะห์ก็เกิดความประหลาดใจโดยถ้วนหน้า ท่านศาสนทูต (ซ.ล.) จึงทรงกล่าวขึ้นว่า : “ด้วยเหตุใดหรือที่พวกท่านจำต้องแปลกใจ? หรือว่าพวกท่านแปลกใจกับชายคนหนึ่งที่ทานอาหารลงกระเพาะในตอนเช้าขณะมีสภาพเป็นผู้ปฏิเสธและทานอาหารลงสู่กระเพาะในตอนเย็นขณะเป็นมุสลิม แท้จริงผู้ปฏิเสธจะบริโภคอาหารถึงเจ็ดกระเพาะ และมุสลิมจะนั้นบริโภคอาหารเพียงกระเพาะเดียว”


              
นี่แหละผู้ศรัทธาที่รัก พลังแห่งความศรัทธานั้นสามารถแปรเปลี่ยนวิถีชีวิตและความเคยชินของปุถุชนได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือภายในระยะเวลาค่อนวันเท่านั้น อิบนุ ฮิชามได้เล่าว่า ขณะที่ซุมามะห์ประกาศเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่านศาสนทูต (ซ.ล.)  เขาได้เผยความในใจแก่พระองค์ว่า : แน่แท้ ใบหน้าของท่านนั้นเป็นใบหน้าที่ฉันเคยชิงชังมากที่สุด และมาบัดนี้มันได้กลายเป็นใบหน้าที่ฉันรักมากที่สุด และศาสนาของท่านก็เคยเป็นศาสนาที่ฉันชิงชังมากที่สุด  มาบัดนี้ศาสนาของท่านได้กลายเป็นศาสนาที่ฉันรักมากที่สุด และดินแดนที่ท่านอาศัยอยู่ก็เคยเป็นดินแดนที่ฉันชิงชังมากที่สุด  มาบัดนี้ได้กลายเป็นดินแดนที่ฉันรักมากที่สุด” 


              
อิบนุ ฮิชามยังได้เล่าอีกว่า ซุมามะห์ผู้นี้ได้ออกเดินทางสู่นครมักกะฮเพื่อประกอบพิธีอุมเราะห์ เมื่อเขาได้เข้าสู่นครมักกะฮเขาก็ได้ประกาศคำว่า “ลับบัยกัลลอฮุมม่าลับบัยก์  (คำกล่าวตัลบียะห์)  นับว่าท่านเป็นบุคคลแรกที่เข้าสู่นครมักกะฮและอาจหาญกล่าวถ้อยความดังกล่าวต่อหน้าเหล่ากุรอยซ์ พวกนั้นได้จับตัวท่านเอาไว้และพลางกล่าวขึ้นว่า : “ท่านบังอาจนักที่หาญกล้ากล่าวคำเช่นนั้นต่อหน้าพวกเรา” ว่าแล้วพวกกุรอยซ์ก็จับตัวท่านสู่แดนประหาร คนหนึ่งจากพวกกุรอยซ์จึงกล่าวว่า : พวกท่านจงปล่อยซุมามะห์ไปเถิด เพราะพวกท่านจำต้องอาศัยอาหารที่ส่งมาค้าขายจากแคว้นอัลยะมามะห์ (อันเป็นมาตุภูมิของซุมามะห์) พวกนั้นจึงได้ปล่อยท่านไปในที่สุด


              
(คัดจากหนังสือ ฟิกฮุดดะอ์วะห์ วัลเอียะอ์ลาม ของดร. อิมาเราะห์ บ่าคีบ หน้า 222)