ข้อเสนอสุดพิเศษที่มิอาจตอบรับ

               กองทัพฝ่ายโรมันได้จับตัวท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ ฮุซาฟะห์ อัซซะฮ์มีย์ ผู้เป็นสาวกของท่านศาสนทูตเป็นเชลยศึกในสมรภูมิแห่งเมืองกอยซารียะห์ แคว้นชาม (ซีเรีย) ซึ่งตรงกับสมัยของท่านคอลีฟะห์อุมัร (ร.ฎ.) พวกทหารโรมันได้ส่งตัวท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ไปยังจักรพรรดิเฮราคลีอุส (ฮิรอกล์) ผู้เป็นทรราชย์ของโรมันซึ่งตั้งค่ายบัญชาการรบอยู่ในแคว้นชาม

               พวกทหารที่คุมตัวท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ได้ทูลแก่จักรพรรดิโรมันว่า : “ชายคนนี้เป็นสาวกคนหนึ่งของมุฮัมมัด” เฮราคลีอุสจึงกล่าวขึ้นว่า : เอาไหม? เราจะแบ่งอาณาจักรของเราให้แก่ท่านครึ่งหนึ่ง พร้อมกับอภิเษกสมรสธิดาของเราให้กับท่าน ถ้าหากว่าท่านยอมเข้ารับศาสนาคริสต์” ช่างเป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนใจ สำหรับผู้อ่อนศรัทธายิ่งนักแต่ท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) สาวกผู้มั่นคงในศรัทธาและยอมสละชีพได้ทุกเมื่อเพื่อศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าได้ประกาศอย่างไม่หวั่นเกรงว่า :

               “มาตรแม้นว่าท่านได้มอบสิ่งที่ท่านครอบงำอยู่ทั้งหมดให้กับฉันและสิ่งที่ท่านครอบครองอยู่ทั้งหมดตลอดจนอำนาจของชาวอาหรับทั้งมวล ฉันก็จักไม่มีวันถอนกลับจากศาสนาของมุฮัมมัดแม้เพียงกระพริบตา”

               เฮราคลีอุสจึงกล่าวว่า : “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จักประหารชีวิตเจ้า” ท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ก็ตอบว่า : ท่านยอมสามารถกระทำเช่นนั้นได้อยู่แล้วนี่! “ว่าแล้ว จักรพรรดิเฮราคลีอุสจึงมีคำสั่งให้นำตัวท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ไปตรึงกางเขนพร้อมยังได้บัญชาแก่เหล่าเพชรฆาตแม่นธนูให้ยิงท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ในระยะใกล้กับเรือนร่างของท่าน โดยเฮราคลีอุสก็ยังไม่เลิกราที่จะเสนอต่อต่อท่านถึงข้อเสนอนั้น ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธอย่างไม่ยี่หระแม้แต่น้อย

               เฮราคลีอุสจึงบัญชาให้นำตัวท่านลงมาจากที่ตรึงกางเขนและใช้ให้ทหารนำหม้อขนาดใหญ่ใบหนึ่ง  เทน้ำใส่ลงไปและต้มจนเดือดพล่านพอน้ำในหม้อเดือดได้ที่ก็มีบัญชาให้นำเอาเชลยศึกมุสลิมมาสองคนและโยนคนหนึ่งลงไปในหม้อใหญ่ใบนั้น โดยที่เฮราคลีอุสก็ยังคงเสนอให้ท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ยอมรับศาสนาคริสต์ ท่านก็ยังคงยืนกรานและปฏิเสธข้อเสนอนั้น ครั้นต่อมาท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ก็ร้องไห้ จึงมีผู้กราบทูลแก่จักรพรรดิว่า “เขาได้ร้องไห้แล้ว พะยะค่ะ!” เ

               ฮราคลีอุสเข้าใจว่าท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) เกิดความกลัวจึงได้ร้องไห้ออกมาจึงมีบัญชาให้นำตัวท่านกลับมาแล้วถามว่า : อะไรทำให้เจ้าร้องไห้กระนั้นหรือ? ท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ตอบว่า : “นั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งชีวิตที่ถูกโยนลงไปประเดี๋ยวเดียวมันก็หมดไป ฉันปรารถนาที่จะมีชีวิตเท่ากับจำนวนเส้นผมของฉันที่ถูกโยนลงสู่กองเพลิงเพื่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)”

               จักรพรรดิเฮราคลีอุสผู้อหังการจึงกล่าวกับท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ขึ้นว่า : เมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ ก็ป่วยการ ฉะนั้นถ้าเจ้ายอมจุมพิตศีรษะของเรา เราก็จักวางมือจากเจ้าและปล่อยให้เจ้าเป็นไท? ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) จึงกล่าวแก่เฮราคลีอุสว่า : ฉันจะยอมจุมพิตศีรษะของท่านแต่ท่านจะต้องปลดปล่อยเชลยศึกทั้งหมด! “ เฮราคลีอุสตอบว่า: ได้สิ! ถ้าเจ้ายอม ข้าก็ยอมทำตามคำขอของเจ้า” ดังนั้นท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.)  จึงได้จุมพิตศีรษะ ของเฮราคลีอุส

               หลังจากได้รับการปลดปล่อย ท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ได้นำเชลยศึกทั้งหมดเดินทางกลับสู่นครมะดีนะฮ และเข้าพบท่านอุมัร (ร.ฎ.) พร้อมบอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ท่านอุมัร (ร.ฎ.) จึงกล่าวว่า : ถือเป็นหน้าที่เหนือมุสลิมทุกคนในการที่จะจุมพิตศีรษะของอิบนุ ฮุซาฟะห์ และฉันจะเป็นคนแรก” ว่าแล้วท่านอุมัร (ร.ฎ.) ก็ได้จุมพิตศีรษะของท่านอิบนุ ฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.)

               ในบางกระแสรายงานว่า : เมื่อท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ได้รับการทดสอบต่าง ๆ นานา ท่านก็มีความอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น ต่อมาพวกโรมันก็ได้นำตัวท่านคุมขังเอาไว้ในบ้านหลังหนึ่ง โดยให้สุราและเนื้อสุกรเป็นอาหาร ท่านก็อยู่ในบ้านหลังนั้นโดยไม่ทานไม่ดื่มสิ่งใดเป็นเวลาถึงสามวัน ครั้นเมื่อพวกทหารได้มาดูสภาพของท่าน ก็ได้ทูลแก่จักรพรรดิเฮราคลีอุสว่า ท่านฮุซาฟะห์กำลังจะตาย ถ้าไม่นำตัวออกมาจากที่คุมขัง

               เฮราคลีอุสจึงมีบัญชาให้นำตัวท่านออกมาและถามว่า อะไรคือสิ่งที่หักห้ามท่านไม่ให้กินและดื่ม?  ท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ตอบว่า : พึงทราบเถิดว่า ข้อคับขันอันเป็นวิกฤตินั้นได้อนุมัติให้ฉันทานและดื่มสิ่งทั้งสองนั้นได้ (สุราและเนื้อสุกร) แต่ฉันรังเกียจที่จะทำให้ท่านสิ้นหวังต่อศาสนาอิสลามต่างหาก” แล้วเฮราคลีอุสก็ได้ตั้งข้อเสนอด้วยการจุมพิตศีรษะของตนดังที่กล่าวมาแล้ว

               และบางกระแสรายงานระบุว่า จำนวนของเชลยศึกที่ถูกปลดปล่อยเนื่องจากการจุมพิตศีรษะเฮราคลีอุสของท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) นั้นมีจำนวนถึง 300 คนและเฮราคลีอุสยังได้มอบทรัพย์สินเป็นจำนวน 30,000 ดีนาร เด็กรับใช้ทั้งชายและหญิงเป็นจำนวน 60 คนแก่ท่านฮุซาฟะห์อีกด้วย อนึ่งท่านฮุซาฟะห์ (ร.ฎ.) ได้เสียชีวิตในปีฮ.ศ.ที่ 30 ตรงกับสมัยของท่านคอลีฟะห์อุสมาน (รฎ.)

               (คัดจากหนังสือ ซิยัร อัลอะอ์ลาม ของท่านอัซซะฮ์บีย์ 3/358-359)